ฉินยาไม่ได้สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา
ใส่เสื้อกันหนาวสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกจากประตูไป
ซูจ้านก้มลงไปมองบัตรเดบิคที่ตกอยู่ข้างๆ เขา เก็บมันขึ้นมา แล้วรีบวิ่งตามไป เขาคว้ามือของฉินยาที่เพิ่งเดินออกไปไว้ จากนั่นก็พาเธอออกไปข้างนอก
ฉินยาขัดขืนและตำหนิไปว่า “นี่คุณคิดจะทำอะไร?”
ซูจ้านไม่ได้สนใจเธอ ลากเธอไปที่ลานจอดรถ ดันเธอเข้าไปในรถ เพื่อกันไม่ให้เธอลงจากรถ ในตอนที่ผลักเธอเข้าไปในรถ เขาก็ล็อกรถเอาไว้
ฉินยารู้สึกโกรธมาก ตบเข้าที่กระจกอย่างแรง “ซูจ้านนี่คุณคิดจะทำอะไร?”
ซูจ้านยังคงไม่สนใจ จากนั้นก็รีบขับรถออกจากโรงพยาบาลไป
“การที่คุณทำแบบนี้ มีแต่จะทำให้ฉันเกลียดคุณยิ่งกว่าเดิม คุณไม่เพียงไม่ซื่อสัตย์ แต่ยังไร้เหตุผลอีก ฉันไปตกลงแต่งงานกับคุณได้ยังไง ฉันต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ!” ฉินยาขยี้หน้าของตัวเองอย่างแรง เหมือนต้องการทำให้ตัวเองใจเย็นลง
แต่การเผชิญหน้ากับซูจ้านที่เป็นแบบนี้ ไม่มีทางที่เธอจะทำให้ใจสงบลงได้เลย
ช่างเป็นคนที่น่าผิดหวังจริงๆ!
“คุณจะไปไม่ใช่เหรอครับ? ข้าวของของคุณอยู่ที่บ้าน ผมจะส่งคุณไปเอาไง”
ซูจ้านยิ้มเยาะเย้ย “ผมมันไม่มีหัวใจ ผมมันเจ้าชู้ แล้วคุณล่ะ? บอกว่าจะไปก็ไป ไม่ให้โอกาสเลยสักนิด เคยนึกถึงความรู้สึกของผมบ้างมั้ย? การเลือกที่จะแต่งงานกับคุณ ผมก็ต้องคิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ใช่ แฟนเก่าของผมกลับมาแล้ว แต่ว่า ผมไม่ได้รักเธอ ไม่ได้รักแล้ว แต่คุณกลับดึงดันไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมให้ความเชื่อใจกับผมเลยสักนิด!”
ยิ่งพูดซูจ้านก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
“ความเชื่อใจมันเป็นเรื่องของทั้งสองฝ่าย คุณยังไม่มีให้ฉันเลย แล้วฉันจะมีให้คุณได้ยัง?” ฉินยาจ้องหน้าเขา “ฉันเคยให้โอกาสคุณ ฉันเคยบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าห้ามคุณไปเจอเธออีก แต่คุณกลับไปเจอเธอไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่คุณมีโอกาสที่จะพูดกับฉัน แต่คุณก็ไม่ยอมบอก วันนี้ถ้าคุณมีฉันอยู่ในหัวใจจริง ตอนที่ไปเจอเธอคุณก็จะนึกถึงฉัน ว่าฉันจะกังวลใจรึเปล่าถ้าคุณไปเจอผู้หญิงคนนั้น ฉันจะเจ็บปวดเสียใจบ้างมั้ยถ้าคุณไปหาเธอ ฉันเป็นเด็กกำพร้า ถึงแม้จะถูกสามีภรรยาที่ใช้ได้คู่หนึ่งรับเลี้ยงเอาไว้ มีชีวิตวัยเด็กที่สวยงาม แต่ว่า ในใจก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย การตัดสินใจแต่งงานกับคุณ คุณรู้มั้ยว่าฉันต้องใช้ความกล้าแค่ไหน?” เสียงของเธอแหบซ่านอย่างมาก “คุณรู้รึเปล่าว่าฉันคาดหวังไว้มากมายเท่าไหร่?”
ดวงตาของซูจ้านแดงมาก เขามองดูการกล่าวโทษของฉินยา แต่เขากลับเถียงอะไรไม่ออกเลย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การที่เขาไปพบหลิวเฟยเฟยนั้นเป็นเรื่องจริง
ฉินยาสองมือกุมหน้า “เราจำเป็นต้องสงบจิตสงบใจ”
ตอนนี้รถมาจอดอยู่ที่ลานจอดของหมู่บ้าน
ซูจ้านนั่งอยู่อย่างเงียบๆ ทั้งสองไม่มีใครพูดกับใคร
ผ่านไปพักใหญ่ ซูจ้านเป็นคนที่พูดออกมาก่อน “อันนี้คืนให้คุณครับ” เขาวางบัตรเดบิดลงบนตักของเธอ พร้อมกับพูดอธิบายไปว่า “ผมพูดออกมาเพราะอารมณ์ คุณอย่าคิดมากเลยนะครับ”
ฉินยาไม่ขยับและไม่ยอมตอบ
แล้วก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก ฉินยาก็เป็นคนขยับก่อน เธอเปิดประตูรถออก ไม่พูดอะไรเลย และเดินออกจากรถไป
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรเลย ซูจ้านก็รู้ดีว่าเธอจะไปทำอะไร ในขณะที่หมดสิ้นหนทาง เขาก็รู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปด้วย
ที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ มันเกิดจากเขาทั้งนั้น จะให้ไปโทษใครได้ล่ะ?
เธอจากไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเก็บกุญแจบ้างเอาไว้อีก
ซูจ้านไม่พูดไม่จา
ฉินยาหันมามองเขาแวบหนึ่ง คำว่าฉันไปก่อนนะ ก็ไม่ได้พูดออกมาอยู่ดี เธอลากกระเป๋าแล้วเดินออกจากหมู่บ้านไป
ซูจ้านเปิดประตูรถออก มองดูแผ่นหลังของเธอ “ถ้าคุณมีเวลา ช่วยแวะไปเยี่ยมคุณย่าหน่อยได้มั้ยครับ ท่านไม่อยากให้เราเลิกกัน ผมโกหกไปว่าเราคืนดีกันแล้ว ผมไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง ถ้าคุณไม่ยอมไปเยี่ยมท่าน ท่านต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเราไม่ได้คืนดีกันจริงๆ ช่วยเห็นแก่ท่านที่อายุมากแล้วได้มั้ยครับ?”
ฝีเท้าของฉินยาหยุดชะงักลง แล้วตอบไปว่า “ฉันจะไปค่ะ”
เธอไม่ได้เห็นแก่ซูจ้าน แต่เห็นแก่ท่านย่าต่างหาก
ซูจ้านก้าวไปข้างหน้า อยากรั้งเธอเอาไว้ แต่ก็หาเหตุผลที่จะฉุดรั้งเธอไว้ไม่ได้เลย สุดท้ายก็ได้แต่พูดไปคำเดียวว่า “ขอบคุณครับ”
ฉินยาไม่ได้หันมามองและไม่ได้ตอบ แค่ลากกระเป๋าแล้วเดินจากไป
ซูจ้านหลับตาลง นั่งลงบนพื้นอย่างหมดท่า ใช้มือขยี้ผมของตัวเองอย่างแรง หงุดหงิดที่ตัวเองไม่สามารถรั้งเธอไว้ได้
แต่พอนึกถึงท่านย่าที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล เขาก็จำเป็นต้องเข้มแข็งขึ้นมา เพื่อกลับไปดูแลท่านย่าที่โรงพยาบาล
ยังแสดงความโศกเศร้าของเขาให้ท่านย่าเห็นไม่ได้
ซูจ้านรู้สึกว่า เขาในตอนนี้ เจ็บมากกว่าตอนที่หลิวเฟยเฟยจากไปเป็นพันเป็นหมื่นเท่า
เขากลับมาที่โรงพยาบาล ท่านย่าตื่นแล้ว เนื่องจากพูดไม่รู้เรื่อง สภาพจิตใจดูไม่ดีเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถทำใจยอมรับการที่ตัวเองพูดไม่ได้ได้ในทันทีหรอก
“ฮือฮือ……”
ซูจ้านเดินเข้ามาจับมือของเธอไว้
“ฮือฮือ……” ท่านย่าอยากจะพูด ซูจ้านตบๆ มือของเธอ แล้วถามไปว่า “ย่าอยากถามหาฉินยาใช่มั้ยครับ?”
ท่านย่าพยักหน้า
ซูจ้านโกหกไปว่า “สองวันนี้เธอไม่ค่อยได้พักผ่อน ผมเลยส่งเธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านครับ”
กลัวท่านย่าจะไม่เชื่อ เขาจึงพูดเสริมไปคำหนึ่งว่า “ถ้าเธอว่าง เธอก็จะมาอีก ย่าแค่พักผ่อนดีๆ ก็พอแล้วครับ”
ท่านย่าจับมือเขากลับ ถึงแม้จะมีคำพูดมากมายอยากจะพูด แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ สุดท้ายมันก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจออกมา
ได้แต่หวังลึกๆ อยู่ในใจว่า ขอให้ซูจ้านกับฉินยาอย่าเลิกกันเลย
“ย่านอนเถอะครับ ผมจะเฝ้าอยู่ตรงนี้” ซูจ้านตบๆ ท่านย่าเหมือนกับกล่อมเด็ก
บ้านตระกูลจง
เด็กๆ ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก็รีบแกะซองแต๊ะเอียออก น่าจะไปถอดชนออกมาจากธนาคารโดยเฉพาะ มันเป็นแบงค์ใหม่หมดเลย แถมเลขบนนั้นยังเรียงกันอีก
หลินซีเฉินนับไปรอบหนึ่ง “หกพันหกร้อยหกสิบหก”
หลินลุ่ยซียื่นของตัวเองให้พี่ชาย “พี่ก็ช่วยหนูนับด้วยสิคะ”
หลินซีเฉินมองหน้าน้องสาวทีหนึ่ง ถอนหายใจออกมา ทำท่าจนใจ แล้วยื่นมือไปรับซองแต๊ะเอียจากเธอมา “เราต้องได้เท่ากันอยู่แล้ว”
“พี่ไม่นับแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าได้เท่ากันรึเปล่า?”
“มันคือมารยาททางสังคม เราสองคนเป็นพี่น้องกัน จึงไม่มีการแบ่งแยกแน่นอน”
“ยังไงพี่ก็ช่วยหนูนับดูเถอะค่ะ” หลินลุ่ยซียังคงตื้อไม่เลิก
หลินซีเฉินเถียงสู้น้องสาวไม่ได้ เขาจึงต้องเทเงินออกมานับ
ในช่วงที่หลินซีเฉินนับเงินอยู่นั้น น้องสาวที่รู้สึกเบื่อ จึงได้หยิบเอาเงินบนโซฟาที่ชายนับเสร็จแล้วมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ เธอเงยหน้าขึ้นมามองหลินซีเฉิน “พี่ชาย พี่มีเงินเยอะขนาดนี้ พี่จะเอาไปใช้ยังไงเหรอ? พี่จะซื้อของขวัญมามอบให้ฉันเป็นของขวัญปีใหม่มั้ยคะ?”
หลินซีเฉินหันมามองน้องสาวที่หนึ่ง “ฉันจะซื้อของขวัญวันเกิดให้หม่ามี๊”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ “จริงด้วย หลังปีใหม่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของหม่ามี๊แล้ว”
จงจิ่งห้าวที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าต่างที่ยาวถึงพื้น พอได้บทสนทนาของทั้งคู่ สายตาของเขาก็มองเข้ามา เมื่อกี้พวกเขาพูดถึงวันเกิดของหลินซูเหยียนอย่างนั้นเหรอ?
วันไหนนะ?
วันเกิดของหลินซินเหยียนเป็นวันไหนนะ
“ถ้าคุณจัดการเสร็จแล้วก็โทรหาผม”
ทางนั้นตอบมาว่าครับ จงจิ่งห้าวก็วางสาย ยังมีเวลาวันนี้อีกวันก็จะปีใหม่แล้ว ทุกปีบริษัทจะมีการประชุมประจำปี เนื่องจากปีนี้จงจิ่งห้าวไม่เข้าบริษัทไปช่วงหนึ่ง ส่งผลให้ตารางของปีนี้ช้าลงไปบ้าง มันจึงมาอัดอยู่ในวันนี้ทั้งหมด
บริษัทในเครือทั้งในและนอกประเทศ ก็กำลังรายงานผลสรุปของทั้งปีอยู่
พอเขาถึงบ้านกวนจิ้งก็โทรมาทันที รายงานเรื่องนี้ให้เขารู้ หลินซินเหยียนขึ้นไปชั้นบนแล้ว เด็กน้อยสองคนกำลังนับเงินอยู่ที่โซฟา จงฉีเฟิงกับยู่ซิ่วไม่อยู่บ้าน
เขาหันมามองลูกชายแล้วถามไปว่า “วันเกิดของหม่ามี๊เป็นวันที่เท่าไหร่?”