คันแรกคงเป็นของเสิ่นเผยชวน ส่วนคันที่สองก็คงเป็นของจงจิ่งห้าว
หลินซินเหยียนมองเข้าไปข้างในคฤหาสน์ พวกเขากลับมาแล้ว
เธอหลับตาลงเบาๆ แล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เดินถือกระเป๋าเข้าไป แต่เนื่องจากกลัวว่าบอดี้การ์ดจะหลุดปาก เธอจึงหันกลับไปมองเขา“ลืมไปรึยังว่าต้องพูดยังไง?”
“วันนี้คุณนายไปร้านเสื้อผ้ามาครับ”บอดี้การ์ดเอ่ยตอบ
หลินซินเหยียนพยักหน้าลงด้วยความพอใจ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเดินเข้าไป
ป้าหยูกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเย็นในห้องครัว เด็กทั้งสองก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องนั่งเล่น เห็นทีคงต่างคนต่างเล่นอยู่ในห้อง เธอเปลี่ยนรองเท้าแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็หยิบถุงเอกสารออกมาจากกระเป๋า แล้วเอาไปวางไว้ที่ด้านล่างสุดของลิ้นชัก พอเสร็จแล้วก็นำกระเป๋ากลับไปวางไว้ที่เดิมแล้วเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ เมื่อส่องกระจกดูเธอก็รู้สึกว่าหน้าเธอซีดมาก ดูท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยสบาย ฉะนั้นเพื่อที่จะทำให้หน้าตัวเองดูมีเลือดฝาดขึ้นมา เธอจึงล้างหน้าด้วยน้ำร้อนแบบที่ค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว ล้างซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดใบหน้าเธอก็เริ่มแดงระเรื่อดูมีเลือดฝาด
พอเช็ดหน้าเสร็จเธอก็เดินลงมาชั้นล่าง ไฟในห้องหนังสือสว่างอยู่ แสดงว่าพวกเขาคงจะอยู่ในห้องหนังสือ เธอเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วยืนอยู่ที่หน้าเครื่องชงกาแฟ เธอเทเมล็ดกาแฟลงในเครื่องบดกาแฟอัตโนมัติ จากนั้นก็ถามขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ“พวกเขากลับมาเมื่อไหร่หรอคะ?”
“พึ่งกลับมาเองค่ะ”ป้าหยูตอบ
“ทำไมคุณหนูถึงไปร้านเสื้อผ้านานจังคะ?”ป้าหยูเหลือบมองท้องของเธอ“คุณหนูพึ่งจะดีขึ้นเอง ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีสิคะ”
ตอนที่หลินซินเหยียนออกไปเธอได้บอกกับป้าหยูไว้ว่าเธอจะไปร้านเสื้อผ้า
ป้าหยูก็เลยถามแบบนี้
เธอยิ้มพลางพูดขึ้น“หนูรู้น่า ครั้งหน้าจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ”
เธอเดินไปหยิบถ้วยกาแฟและถาดจากตู้ในห้องครัวช้าๆ
ป้าหยูเหลือบมองเธอแล้วพูดขึ้น“เดี๋ยวป้าเอาไปให้พวกเขาเอง คุณหนูไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
หลินซินเหยียนยิ้มพูดขึ้น“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูเอาไปให้เอง”
เธอเทกาแฟที่ชงเสร็จแล้วลงในแก้วกาแฟ จากนั้นก็เอาไปวางบนถาดแล้วยกไปที่ห้องหนังสือ
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้องหนังสือ เธอถือถาดไว้มือหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็กำลังยกขึ้นเตรียมจะเคาะประตู ทว่าก่อนที่จะเคาะลงไป เสียงซูจ้านก็ดังลอดออกมา
“เหวินเสียนนี่เห็นแก่ตัวจริงๆเลย ในเมื่อไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานตั้งแต่แรก แถมยังอยากจะมีครอบครัวดีๆเป็นของตัวเองและได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก แต่กลับไปหาผู้หญิงอื่นมาให้สามีตัวเองซะงั้น เห็นทีก็คงจะมีแต่ครอบครัวที่แปลกๆแบบตระกูลเหวินเท่านั้นแหละที่จะผลิตคนแบบนี้ออกมาได้ ”
หลินซินเหยียนที่อยู่อีกฝั่งของประตูรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจและความรังเกียจจากคำพูดและน้ำเสียงของซูจ้านได้อย่างชัดเจน
“พ่อนายก็เหมือนกัน ทำไมไม่พูดออกมาตั้งแต่แรก มัวแต่……”
ซูจ้านอยากจะพูดต่อ แต่ก็ถูกเสิ่นเผยชวนห้ามไว้พลางส่ายหน้าใส่เขา
ซูจ้านรู้สึกอึดอัดคับข้องใจมาก“เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับเหวินชิงแน่ๆ รอให้คนที่ไปสืบหาเบาะแสหาคนทำเจอก่อนเหอะ และพอสืบสวนได้ว่าเหวินชิงเป็นคนบงการเมื่อไหร่ เขาจะคิดทั้งบัญชีเก่าและใหม่รวมกันให้หมดแน่!”
ถึงแม้ตอนนั้นจะมีทั้งคนร้ายที่หลบหนีไปได้และตายในที่เกิดเหตุ แต่ถ้าเกิดว่าเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองBล่ะก็ ยังไงก็ต้องสืบหาข้อมูลภูมิหลังของพวกมันได้สักสองสามคน อีกอย่างพวกเขายังเป็นคนที่เมืองBต้องการนำตัวไปสอบสวนด้วย ฉะนั้นตอนนี้ปัญหาก็เหลืออยู่แค่เรื่องเวลา
แต่วันนี้พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปเสียเที่ยว เพราะหาเบาะแสได้เพิ่มอีกอันหนึ่ง ตอนนั้นที่หลินซินเหยียนถูกปล้น ผู้ชายที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์คนนั้น ลูกพี่ลูกน้องของเขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาได้หลบหนีกลับไปที่บ้านเกิดของเขา ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาได้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว
ส่วนเบาะแสอื่นๆพวกเขากำลังตามหาอยู่
เพล้ง—
จู่ๆก็มีเสียงของตกแตกดังขึ้นมาจากด้านนอก ซูจ้านและเสิ่นเผยชวนหันมองไปที่ประตูพร้อมกันทันที ส่วนจงจิ่งห้าวที่ยืนเหม่ออยู่ตรงบานหน้าต่างที่สูงจรดเพดานก็หันมามองช้าๆ
เสิ่นเผยชวนเดินไปเปิดประตูออกก็เห็นว่าหลินซินเหยียนกำลังนั่งยองๆเก็บเศษแก้วกาแฟที่ตกแตกอยู่ที่พื้น เมื่อกี้เธอหน้ามืดไปแถมยังเวียนหัวมากๆด้วย ถาดกาแฟที่ถือมาจึงหลุดมือตกลงไปบนพื้น น้ำกาแฟสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด แม้แต่ที่กระโปรงของเธอก็มีคราบกาแฟสีดำเปื้อนอยู่ด้วย
หลินซินเหยียนก้มหน้าลง“ได้ยินป้าหยูบอกว่าพวกคุณอยู่ในห้อง ฉันก็เลยอยากจะชงเครื่องดื่มให้พวกคุณดื่มสักหน่อย แต่สุดท้ายไม่ทันระวังก็เลยทำตกแตกจนหมด”
เธอเก็บเศษแก้วด้วยท่าทีรีบร้อนทำให้เธอไม่ทันระวังจึงถูกเศษแก้วที่แหลมคมบาดเข้าที่นิ้ว มันเกิดเป็นรอยแผลเล็กๆ สักพักเลือดก็ไหลออกมา
เสิ่นเผยชวนเป็นคนที่อยู่ใกล้ที่สุดตอนที่เธอได้รับบาดเจ็บจึงยื่นมือออกไปช่วยประคองเธอ ทันใดนั้นเองจงจิ่งห้าวก็เดินเข้ามา เสิ่นเผยชวนก้าวเข้าไปจับมือเธอแล้วโอบไหล่ประคองเธอลุกขึ้น เลือดยังคงไหลออกจากแผลของเธออยู่
หลินซินเหยียนเงยหน้ามองเขา“ฉันนี่มันนับวันยิ่งไร้ประโยชน์จริงๆ อะไรก็ทำไม่ได้”
เขาก้มมองที่แผลที่นิ้วมือของเธอ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ป้าหยูไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้หน่อย”
พอได้ยินที่จงจิ่งห้าวพูด ป้าหยูที่กำลังหยิบไม้ถูพื้นกับถังขยะเพื่อเอามาทำความสะอาดก็รีบทิ้งของในมือแล้ววิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาลทันที
หลินซินเหยียนหันกลับไปมองป้าหยู“หนูไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเอากล่องปฐมพยาบาลมาหรอก”
แผลเล็กนิดเดียวไม่เห็นจำเป็นต้องใช้กล่องปฐมพยาบาลเลย
จงจิ่งห้าวมองเธอด้วยท่าทีสุขุมและนิ่งมาก
เธอหันกลับมาสบตากับเขา และแสร้งทำเป็นยิ้มออกมา“แผลนิดเดียวเอง แทบจะไม่ต้องฆ่าเชื้อหรือเย็บแผลเลยด้วยซ้ำ คุณให้ป้าไปเอากล่องปฐมพยาบาลมา เดี๋ยวพวกเขาก็ขำตายหรอก……”
ทันทีที่เธอพูดจบ จู่ๆเขาก็งับนิ้วของเธอเข้าปาก แล้วปล่อยให้เลือดจากแผลของเธอไหลอยู่อย่างนั้น หลินซินเหยียนเบิกตาโพลงมองเขา“นี่คุณ……”
เขาใช้ปลายลิ้นกดลงที่ปากแผลบนนิ้วมือของเธอ สัมผัสที่นุ่มและชุ่มชื้นนี้ทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว
ตรงนี้มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ เธอพยายามอดทนไว้อย่างสุดความสามารถ คิ้วของเธอนี่แทบจะขมวดเป็นขึ้นเป็นปมแล้ว
เสิ่นเผยชวนก้มหน้าลงพลางเอามือลูบจมูกไปมา จากนั้นก็ดึงซูจ้านเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ“พวกเราไปข้างนอกกันเถอะ”
ป้าหยูที่กำลังไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปดีรึเปล่าจึงยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เสิ่นเผยชวนเดินมาตบบ่าเธอเบาๆ“ไม่ต้องใช้แล้ว”
“จริงด้วย”ป้าหยูเอากล่องปฐมพยาบาลกลับไปวางไว้ที่เดิม
ที่หน้าประตูห้องหนังสือ หลินซินเหยียนมองไปที่เขา ความเข้มแข็งที่เธอสร้างขึ้นมาพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา ในใจเป็นคนอบอุ่นมากแท้ๆ แต่ต่อหน้ากลับแสร้งทำเป็นดุ“คุณทำผมขายหน้าแล้ว พวกเขาคงกำลังขำพวกเราอยู่แน่ๆ”
จงจิ่งห้าวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับท่าทางของเธอ แต่เมื่อรู้สึกว่าเลือดคงไม่ไหลออกมาอีกแล้วถึงได้ผละออก เขาพาหลินซินเหยียนเข้าไปในห้องหนังสืออย่างเงียบๆ จากนั้นก็ดึงทิชชู่ออกมาเช็ดที่มือของเธอ
หลินซินเหยียนทำท่าจะขัดขืน ทว่ากลับถูกเขาจับไว้แน่น“อย่าดิ้น”
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพูดแหย่เธอออกไป“ไม่เจ็บสักหน่อย คุณจะร้องไห้ทำไมเนี่ย?”
“ใครบอกว่าไม่เจ็บ”เธอเริ่มร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ เดิมก็กลั้นไว้ไม่ได้อยู่แล้ว พอรู้ความจริงเข้า เธอก็เลยกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขา
ยิ่งเขาเป็นห่วงมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม
รู้ไหมว่าเธอทำใจไม่ได้
ทันใดนั้นเธอก็เขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วกอดคอเข้าไว้ จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงไป ริมฝีปากของเขาค่อนข้างเย็นนิดหน่อยแต่ว่ามันนุ่มมาก แถมยังมีกลิ่นคาวเลือดบางๆ ซึ่งมันก็คือของเธอนั่นเอง
หลินซินเหยียนจูบเขาโดยที่เธอเองก็ไม่ได้ชำนาญในการจูบมากนัก เธอเริ่มรุกเขาหนักขึ้นไปเรื่อยๆ
ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันได้ เธอหลับตาลง หยดน้ำตารินไหลออกมาตามขนตาของเธอ
จงจิ่งห้าวประคองใบหน้าของเธอไว้ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดคราบน้ำตาที่ติดอยู่ตรงหางตาของเธอออกแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน“คุณเป็นอะไร?”
เธอสูดจมูกแล้วหลบตาลง“แค่จูบคุณแค่นี้ก็ต้องมีเหตุผลด้วยหรอ?”
จงจิ่งห้าวอุ้มเธอมานั่งแล้วโอบเอวเธอไว้“วันนี้ไปไหนมา?ไปเจอใครมารึเปล่า?”
หลินซินเหยียนเอนตัวซบลงที่อกของเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ“ไปร้านเสื้อผ้ามา”
“แค่นี้เองหรอ?”จงจิ่งห้าวเลิกคิ้วขึ้น เนื่องจากวันนี้เขาได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าเธอไปตรวจร่างกาย และเธอก็มีไข้นิดหน่อย แต่ว่าทารกในครรภ์มีพัฒนาการดีมาก และอาการก็คงที่มากๆด้วย เพราะงั้นนี่ก็เป็นข่าวดีนี่นา
แล้วทำไมเธอถึงต้องโกหกล่ะ?หรือว่าตอนที่ไปโรงพยาบาลจะเจอจวงจื่อจิ่นเข้าให้แล้ว
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วโอบหัวหลินซินเหยียนเข้าไปซุกในอกพร้อมกับคลำที่หน้าผากเธอ โชคดีที่มันไม่ร้อนมาก จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง“คุณคิดแค่เรื่องลูกของเราก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นอย่าไปคิดมากเลย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้หรอก”
จงจิ่งห้าวนึกว่าที่เธอสูญเสียการควบคุมตัวเองไปนั่นเป็นเพราะเธอรู้เรื่องจวงจื่อจิ่นเข้า ดังนั้นก็เลยพูดออกมาแบบนี้
หลินซินเหยียนรับรู้ได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง เธอเงยหน้ามองเขา“พรุ่งนี้คุณว่างไหม พวกเราไปเปลี่ยนนามสกุลของเด็กๆกันเถอะ”
เธอไม่ได้นามสกุลหลิน เพราะงั้นเธอไม่อาจปล่อยให้ลูกใช้นามสกุลหลินตามตัวเองได้
อีกอย่างจงจิ่งห้าวเป็นพ่อของพวกเขา ดังนั้นควรจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของเขา
เขาก้มมอง“หืม ทำไมอยู่ๆดีถึงคิดจะเปลี่ยนนามสกุลล่ะ?”เขาโอบเอวเธอแน่นขึ้นอีก“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน คุณและผมต่างก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
หลินซินเหยียนกลัวว่าตัวเองจะควบคุมอารมณไว้ไม่ได้ เธอจึงเอาหน้าซุกเข้าไปในอกเขาแล้วกดเสียงต่ำลง พยายามทำให้ดูผ่อนคลายมากที่สุด เพื่อให้คนฟังรู้สึกว่ามันปกติ“การที่ให้ลูกใช้นามสกุลตามพ่อนั้นเป็นธรรมเนียมของประเทศฉัน อีกอย่างพวกเขาก็ใกล้จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาแล้ว ฉันไม่อยากให้มีคนมาเถียงหรือว่าเดากันเรื่องตัวตนของพวกเขา”
ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล
จงจิ่งห้าวทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“จงซีเฉินก็ฟังดูไม่ค่อยเพราะเลย”
“คุณตั้งชื่อให้พวกเขาใหม่สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาพวกเขาไปเปลี่ยนที่สถานีตำรวจท้องถิ่น”เธอเอาหน้าแนบกับหน้าอกเพื่อฟังเสียงหัวใจที่เต้นขึ้นลงอย่างแข็งแรงและมีพลังของเขา เธอสูดดมกลิ่นบนร่างกายของเขาไปทั่ว
เพราะในอนาคต—เธออาจไม่มีโอกาสนี้แล้ว
จงจิ่งห้าวหยิบปากกาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วถอดปลอกปากกาออกด้วยนิ้วเดียว จากนั้นก็หยิบกระดาษ4Kออกมาแผ่นหนึ่ง ปลายปากกาจรดลงบนกระดาษสีขาวนวล เขาพูดพึมพำออกมา“ผมนามสกุลจง……”
ลายมือของเขาสวยงามและทรงพลังมาก เขาขีดเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษไม่กี่คำ“ผมจะคงตัวอักษรเดิมไว้ จากนั้นก็ใส่ชื่อของคุณไว้ตรงกลาง……”