เมื่อจงจิ่งห้าวเดินออกมา เธอก็เข้าไปกอดคอเขาไว้พร้อมกับเขย่งเท้าขึ้นแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ เธอตั้งใจหายใจรดลงไปบนใบหน้าของเขา ทว่าทุกลมหายใจของเธอนั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด มือของเธอสั่นระริก เธอกอดเขาแน่นขึ้นแล้วแกล้งยื่นหน้าเอาริมฝีปากเข้าไปใกล้ๆ“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน หากวันหนึ่งฉันหายไปหรือว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับฉัน คุณจะไปชอบผู้หญิงคนอื่นอีกไหม?”
จงจิ่งห้าวทำหน้านิ่งสุขุมเยือกเย็นราวกับสายน้ำ เขาเม้มปากแน่น ทำไมจู่ๆเธอถึงได้ทำตัวยั่วยวนเขาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเธอจะมาทำหน้าตาท่าทางยั่วยวนเขาแบบนี้ ขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่ จู่ๆเธอก็ประทับริมฝีปากลงมา มันบางเบาราวกับแมลงปอที่บินไปเกาะอยู่บนน้ำ
เขาขมวดคิ้วขึ้น“คุณ……”
“ชู่ว!”หน้าของเธอแดงระเรื่อ ขณะที่พูดก็เห็นฟันที่เรียงตัวขาวสะอาดของเธอได้อย่างชัดเจน“ตกใจไหม?ฉันเห็นคุณอารมณ์ไม่ดีน่ะ ก็เลย……”
จงจิ่งห้าวยกมือขึ้นมาจับคางเธอไว้เพื่อบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมองตัวเอง เธอสบตาเข้ากับเขาอย่างจัง ทว่าในขณะเดียวกันก็กำมือที่อยู่ข้างลำตัวไว้แน่น ต้องทำแบบนี้เพื่อที่จะได้รักษาใบหน้าที่ดูสงบและถึงจะสบตากับเขาได้ เธอผละริมฝีปากออก“รู้สึกรังเกียจที่ฉันทำตัวแบบนี้ใช่ไหม อึก……”
เธอยังไม่ทันพูดจบ จงจิ่งห้าวก็ประทับริมฝีปากลงมาแล้ว มันเข้ามาขัดจังหวะที่เธอกำลังพูดอยู่อย่างรวดเร็ว จูบของเขายังคงรุนแรงและเร่าร้อนจนไม่อาจต้านทานหรือถอยหนีไปได้เหมือนเดิม เขารุกเร้าเข้ามาอย่างรุนแรงราวกับจะกลืนกินลิ้นเธอเข้าไปเลยยังไงยังงั้น เธอรู้สึกเจ็บจนคิ้วขมวด ทว่ากลับไม่ร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเขาถอนริมฝีปากออก น้ำลายก็ติดเยิ้มออกมาด้วย เขาพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ“มีแค่คุณเท่านั้นที่ดึงดูดผม ”
ดูเหมือนว่าเขากำลังบอกหลินซินเหยียนเป็นนัยว่าเขาไม่มีทางไปชอบผู้หญิงคนอื่นหรอก
เธอรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที สักพักดวงตาก็พร่ามัว เธอรีบหันหลังไปอย่างรวดเร็ว“เอิ่ม……คุณออกไปก่อน ฉันจะอาบน้ำแล้ว”
จงจิ่งห้าวยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เขายื่นมือเลยไหล่เธอออกไปหยุดอยู่ตรงด้านหน้าหน้าอกของเธอ นิ้วมืออันเรียวยาวค่อยๆปลดกระดุมที่กระโปรงของเธอออกทีละเม็ด น้ำตาเริ่มหยุดไหล บางทีอาจเป็นเพราะว่ากำลังหันหลังให้เขาอยู่ เธอก็เลยสงบลง
เธอก้มมองลงไปที่นิ้วมืออันเรียวยาวและกำลังแกะกระดุมอย่างคล่องแคล่วของเขา“คุณแน่ใจหรอ?ถ้าเห็นฉันถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วจะไม่รู้สึกอะไรแน่นะ?ตอนนี้พึ่งสองเดือน คุณหมอบอกไว้แล้วว่าห้ามทำเรื่องอย่างว่าแบบที่สามีภรรยาเขาทำกัน”
เขาชะงักมือทันที
หลินซินเหยียนใช้โอกาสนี้ดันตัวเขาออก“ไปรอฉันข้างนอกนะ”
พูดจบเธอก็เดินเข้าห้องอาบน้ำไปพร้อมกับปิดประตูกระจกลง เธอนึกว่าตัวเองพร้อมที่จะยืนอยู่ตรงหน้าและเผชิญหน้ากับเขาได้แล้วซะอีก แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เธอทั้งรู้สึกผิด ทั้งละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าเขา
เธอเช็ดน้ำตาออกแล้วปลุกความมีชีวิตชีวาของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วลงไปแช่น้ำ อาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ ที่เธอพูดไว้ว่าอยากใส่ชุดสวยๆ อย่างน้อยจะได้ดูเหมาะสมและคู่ควรกับเขา นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจเธอจริงๆ
ถึงแม้จะแค่วันเดียวก็ตาม
ผิวของเธอขาวนวลละเอียดราวกับหยกขาว ทันทีที่เธอลุกออกจากน้ำมันก็เผยให้เห็นผิวอันขาวใสและเนียนนุ่มของเธอ เธอหยิบผ้าเช็ดตัวมาห่อร่างกายที่โค้งมนได้รูปของเธอไว้ จากนั้นก็ทำการเป่าผมสีดำสนิทที่ยาวสลวยจนแห้งแล้วหวีให้เป็นทรง ทว่าพอเปิดประตูห้องอาบน้ำออกมา ในกลับห้องกลับไม่มีคนอยู่
หลินลุ่ยซีขึ้นมาพาจงจิ่งห้าวออกไปเพราะงั้นเขาเลยไม่อยู่ แต่หลินซินเหยียนกลับรู้สึกโล่งใจซะอีก เธอเปิดตู้เสื้อผ้าดูว่าวันนี้จะใส่อะไรดี เนื่องจากเธอเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ เพราะงั้นเธอจึงมีทัศนคติต่อการแต่งตัวและแฟชั่นค่อนข้างเฉพาะตัว และยังรู้ด้วยว่าตัวเองเหมาะที่จะใส่อะไร
เธอยื่นมือออกไปหยิบชุดเดรสสายเดี่ยวที่ให้ความรู้สึกเซ็กซี่นิดๆออกมาใส่ มันเป็นเดรสสีขาวล้วน เนื้อผ้าบางเบาและนุ่มลื่น บวกกับเครื่องประดับเรียบๆ เมื่อมองผ่านลงมาที่เอวก็จะเห็นหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยของเธอ ชุดเดรสยาวถึงใต้เข่า เผยให้เห็นขาขาวและเรียวเล็ก และแม้จะเป็นเดรสคอวี แต่มันกลับไม่แหวกลึกมาก มันเผยให้เห็นแค่กระดูกไหปลาร้าที่ตรงสวยและช่วงคอที่เรียวยาวของเธอ เธอดูสวยแบบธรรมชาติแต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเซ็กซี่เล็กๆ
เธอมัดผมไว้ที่ท้ายทอยอย่างลวกๆ มีปอยผมหล่นลงมาที่ข้างหูบางๆ ให้ความรู้สึกถึงการเป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นไปอีก
แม้เธอจะไม่ได้ลงแป้ง แต่ผิวเธอก็ดูดีอยู่แล้ว มันขาวใสเนียนสวยเป็นธรรมชาติมาก
เธอเดินลงมาชั้นล่าง จงจิ่งห้าวที่พึ่งเดินออกมาจากห้องหลินลุ่ยซีเงยหน้าขึ้นเจอกับเธอพอดี
สายตาของจงจิ่งห้าวมองสำรวจเธอขึ้นลง นัยน์ตาดูสุขุมลงเล็กน้อยจากนั้นก็เดินเข้ามาคว้ามือเธอไว้“แต่งตัวแบบนี้ กำลังจะไปดูตัวหรอ?”
เธอเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มออกมา“แล้วฉันดูดีรึยัง?”
เขากำมือเธอแน่นขึ้นแล้วพูดออกไป“ดูดีมาก ผมอยากจะเก็บไว้ชื่นชมเองคนเดียว”
คนขับรถยืนรออยู่ที่นอกคฤหาสน์แล้ว จงจิ่งห้าวเปิดประตูรถให้เธอ เธอโค้งตัวลงเข้าไปนั่งในรถ จากนั้นเขาก็ขึ้นมานั่งตามแล้วเอ่ยปากสั่งคนขับรถขึ้นเบาๆ“ ไปได้”
เนื่องจากจงจิ่งห้าวจัดการทุกอย่างแล้ว เธอจึงไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ทำตามที่เขาวางแผนไว้ก็พอ
เขาได้คุยกับทางสถานีตำรวจท้องถิ่นแล้ว ฉะนั้นพอพวกเขาไปถึงจึงสามารถจัดการทำเรื่องได้เลย เด็กทั้งสองกำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา และก่อนหน้านี้จงฉีเฟิงก็ได้จัดการเรื่องทะเบียนบ้านอะไรหมดแล้ว เพราะงั้นตอนนี้แค่เข้าไปเปลี่ยนชื่อทุกอย่างก็จะเสร็จเรียบร้อย
และเนื่องจากไม่ต้องไปต่อคิว ทุกอย่างมันจึงเสร็จเร็วมาก
พวกเขาไปถึงสถานีตำรวจท้องถิ่นแค่สิบกว่านาทีเอง จากนั้นทุกอย่างก็เสร็จแล้ว
พอกลับเข้ามานั่งในรถ หลินซินเหยียนก็เอ่ยขึ้น“คงจะเรียกชื่อใหม่พวกเขาทันทีไม่ได้หรอก”
เรียกชื่อเดิมมาตั้งนานหลายปีจนชินแล้ว ตอนนี้ถ้าจะให้เรียกชื่อใหม่คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยถึงจะชิน แต่แบบนี้มันถึงจะปกติที่ลูกๆจะได้ใช้นามสกุลของพ่อ
จงจิ่งห้าวโอบไหล่เธอไว้แล้วดึงเข้ามากอดพลางก้มมองไหล่ที่เปลือยเปล่าของเธอแล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลินซินเหยียนไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของเขา เธอซบลงในอกเขาเงียบๆโดยไม่ถามออกมาว่าจะไปที่ไหนต่อ
ไม่นานรถก็มาหยุดลงที่หน้าร้านดอกไม้ จงจิ่งห้าวจูงมือเธอลงจากรถ จู่ๆหลินซินเหยียนก็อยากหัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ที่จริงพวกเขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันจริงๆนั้นไม่นานมาก แต่ไม่รู้ทำไม เธอถึงรู้สึกว่าทั้งคู่เป็นเหมือนคู่สามีภรรยากันมานานเหลือนเกิน บางทีอาจเป็นเพราะลุกๆทั้งสองโตแล้วก็เลยมีความรุ้สึกแปลกๆแบบนี้
อีกทั้งตอนนี้มาทำตัวเหมือนเด็กๆที่กำลังมีแฟนแล้วมาซื้อดอกไม้อีก เธอรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยจึงรั้งเขาไว้“พวกเราอย่าไปซื้อเลย”
จงจิ่งห้าวจูงมือเธอแล้วลากเธอเข้าไปในร้านดอกไม้ จากนั้นก็พูดกับเจ้าของร้านดอกไม้ออกไปอย่างโจ่งแจ้งว่าต้องการดอกกุหลาบที่มีจำนวนเท่ากับความรักที่ตัวเขาเองมีต่อเธอ
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าของร้านดอกไม้เจอลูกค้าแบบนี้ หล่อนมองหลินซินเหยียนสลับกับผู้ชายที่กำลังพูดอยู่ จงจิ่งห้าวในร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดสูทและรองเท้าหนังแวววับ ตอนที่เขาไม่พูดไม่จา ทำหน้านิ่ง มันให้ความรู้สึกกับคนที่มองมาว่าเขาสูงส่งและอยู่ไกลเกินเอื้อมมาก
เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆ เธอเหม่อมองจงจิ่งห้าวจนลืมพูดไปชั่วขณะ
หลินซินเหยียนทำหน้าขรึมและพูดท้วงขึ้น“ไม่ขายแล้วหรอคะ?”
เจ้าของร้านดอกไม้หันมาสบตาด้วยความเก้อเขิน จากนั้นก็พูดแนะนำออกมา“ดอกกุหลาบนั้นมีหลายแบบและหลายความหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี เรื่องจำนวนดอก……”
“ฉันจะเอาช่อนั้น”หลินซินเหยียนพูดขัดเจ้าของร้านดอกไม้พร้อมกับชี้ไปที่ช่อดอกกุหลาบสีแดงที่ห่อไว้อย่างสวยงาม
เธอไม่ชอบสายตาที่ผู้หญิงคนนี้มองมาที่จงจิ่งห้าว เธออยากรีบซื้อแล้วรีบออกไป
“อันนั้นเป็นของลูกค้าที่สั่งจองไว้ค่ะ……”
“คุณจะเอาเท่าไหร่”จงจิ่งห้าวหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา เพียงแค่หลินซินเหยียนต้องการดอกไม้ช่อนั้น และขอแค่เธอชอบ ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่มันก็ไม่มีปัญหา
เจ้าของร้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแก่ผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา แถมใจกว้างคนนี้ เธอก็เลยตกปากรับคำไป“ก็ได้ค่ะ”
เดี๋ยวเธอค่อยห่อให้ลูกค้าคนนั้นใหม่ก็ได้
ยังไงก็ได้เงินทั้งคู่ แถมผู้ชายสุดหล่อคนนี้ยังเอ่ยปากขอเองด้วย เธอปฏิเสธไม่ได้หรอก
เจ้าของร้านดอกไม้ถือดอกไม้ช่อนั้นเดินมาแล้วยื่นให้หลินซินเหยียนพร้อมกับยิ้มพูดขึ้น“เดิมนี่เป็นของคุณผู้ชายท่านหนึ่งที่สั่งจองไว้ว่าจะเอาดอกไม้เก้าสิบเก้าดอก เขาจะเอาไปขอแต่งงาน แต่เห็นแก่แฟนคุณที่หล่อขนาดนี้ฉันก็เลยขอยกให้พวกคุณก่อนแล้วกัน”
หลินซินเหยียนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ยังไงนี่ก็เป็นของที่คนอื่นสั่งจองไว้ แถมยังจะเอาไปขอแต่งงานอีก
ถ้าเกิดทำแผนเขาล่มล่ะก็ เธอคงรู้สึกผิดแย่
เจ้าของร้านดอกไม้สังเกตเห็นว่าหลินซินเหยียนกำลังลังเลจึงเอาช่อดอกไม้ยัดเข้าไปในมือของเธอพลางยิ้มพูดขึ้น“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันห่อใหม่อีกอันหนึ่งก็ได้”
หลินซินเหยียนทำได้เพียงแต่รับไว้ พอถือช่อดอกไม้ออกมาจากร้าน หลินซินเหยียนก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังมีแฟนจริงๆ เพียงแต่ว่าคู่รักคนนี้ไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่ ขนาดเรื่องที่โรแมนติกมากๆ เขายังทำให้มันแข็งกระด้างได้เลย
แต่ไม่เป็นไร เธอชอบ
เธอเอามือคล้องแขนจงจิ่งห้าวก่อนแล้วพูดขึ้น“ฉันชอบมากๆเลย”
เขาหันมามองเธอที่กำลังยิ้มร่า“แค่นี้ก็พอใจแล้วหรอ?”
หลินซินเหยียนหัวเราะร่า ที่จริงพวกผู้หญิงก็มักจะพอใจกับอะไรง่ายๆแบบนี้แหละ เพียงแค่คุณผู้ชายทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และเซอร์ไพรส์เธอบ้างเป็นบางครั้ง แค่นี้พวกผู้หญิงก็รู้สึกมีความสุขมากๆแล้ว
คนขับรถเปิดประตูรถให้พวกเขา ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ จู่ๆก็มีเสียงคนเรียกดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“พี่สะใภ้”
หลินซินเหยียนหันกลับไปก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่อีกฝั่งในเลนตรงข้าม หลี่จ้านเปิดประตูรถแล้ววิ่งข้ามถนนมา“ผมนึกว่าตาฝาดไปซะอีก”
เดิมเขาก็กำลังจะไปหาหลินซินเหยียน เพียงแต่ว่ามีธุระต้องผ่านทางนี้ และพอมองผ่านกระจกร้านดอกไม้เข้าไปก็เห็นว่าคนข้างในร้านเหมือนหลินซินเหยียนกับจงจิ่งห้าว แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองไม่น่าจะเป็นคนที่ทำอะไร‘เหมือนเด็ก’แบบนี้
อย่างเช่นการซื้อดอกไม้ มีแค่เด็กน้อยเท่านั้นแหละถึงจะทำ
เขาก้มหน้าลงทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง“เอ่อคือว่า……พี่สะใภ้ คือพ่อของผมกำลังป่วย และเขาอยากจะเจอคุณครับ”