ช่าวหยุนไม่ได้บอกไปทันทีว่าเขาอายุเท่าไหร่ แต่ถามไปที่เด็กชายแทนว่า ” แล้วเธอคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่ล่ะ “
ขณะที่พูดเขาก็จัดปกคอเสื้อ แล้วทำหน้าทำตา พยายามที่จะทำให้ตัวเองดูเด็กที่สุด
หลินซีเฉินทำตาปริบๆ จงใจพูดให้ดูอายุน้อยเข้าไว้ ” สามสิบมั้งครับ “
ฮ่าฮ่า……
ช่าวหยุนยิ้มออกมาอย่างดีใจสุดขีด เพราะถูกคำพูดของหลินซีเฉินโดนใจเข้าเสียแล้ว
หลินลุ่ยซีที่ยืนอยู่ข้างหลินซินเหยียน ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป สุดท้ายก็ทำทีขำคิกคักออกมา แล้วมองไปที่พี่ชาย โกหกแบบนี้เขาไม่ปวดจะแย่เหรอ
สามสิบเนี่ยนะ
สามสิบสองครั้งน่ะสิไม่ว่า
” เธอเนี่ยนะ ใช้ได้นี่นา บอกว่าสามสิบค่อยดูหนุ่มไปหน่อย วันหลังบอกว่าสี่สิบสิ เพราะผู้ชายวัยสี่สิบน่ะเป็นผู้ใหญ่กำลังดี เหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งที่เบ่งบานจนได้ที่ไงล่ะ “
หลินซีเฉินมองไปที่เขา ในใจก็แอบมองบน บนโลกยังเหลือคนหน้าไม่อายแบบนี้อยู่อีกเหรอ ยังจะมาดอกไม้อะไรอีก ถ้าให้เขาพูดจริงๆ เสร็จเต้าหู้ยังจะพอได้อยู่หรอก
ช่าวหยุนไม่ได้หยอกล้ออะไรกับหลินซีเฉินต่อ แต่หันไปทำหน้าจริงจังเหมือนเดิมกับหลินซินเหยียน แล้วพูดอย่างสุขุม ” ผมคือช่าวหยุน “
ขณะที่พูดเขาก็ล้วงกระเป๋าหนังออกมาจากกางเกง หยิบบัตรยืนยันตัวตนเอามาให้เธอดู ” นี่คือบัตรประชาชนผม ส่วนนี่คือใบขับขี่…… “
หลินซินเหยียนไม่ได้หยิบมาดู แค่มองผ่านๆ ตา วันนั้นเขียนชื่อช่าวหยุนสองตัวครบถ้วน แล้วเธอก็ขอโทษที่ตัวเองไม่เชื่อเมื่อกี้
” เมื่อกี้ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ เพราะฉันเอาลูกสองคนมาด้วย ก็เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ขอให้คุณเห็นใจฉันด้วย “
ช่าวหยุนโบกไม้โบกมือ ” ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร เราเดินขึ้นไปกันเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่คุยกัน “
หลินซินเหยียนพยักหน้า จูงมือลูกทั้งสองเข้าลิฟต์ไปพร้อมเขา
ช่าวหยุนกดปุ่มชั้นในลิฟต์เรียบร้อยแล้ว ก็ก้มลงมามองหลินซีเฉิน ” แล้วฉันต้องเรียกเธอว่าอะไรล่ะ “
” เรียกผมว่าจงเหยียนเฉิน” ว่าแล้วจงเหยียนเฉินก็ชี้ไปทางน้องสาว ” ส่วนนี่ก็น้องสาวของผม เธอชื่อจงเหยียนซี “
แซ่จงเหรอ
เหมือนเขาจะจำได้ว่าทางบ้านสามีของเหวินเสียนใช้แซ่นี้
เขาหันไปมองหลินซินเหยียน แล้วพูดออกมาว่า” อ้อ ” จากนั้นก็พูดต่อ ” พวกคุณคงมาจากเมืองBล่ะสิ “
ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นคำถาม แต่มันก็เป็นเชิงประโยคบอกเล่านั่นแหละ
หลินซินเหยียนตอบว่า ” ใช่ค่ะ “
ช่าวหยุนเก็บสีหน้าที่ดูทีเล่นทีจริง เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่ดูสุขุมขึ้น ตอนนี้รีบก็มาถึงชั้นที่กด เขาเดินออกไปก่อน ” นี่คือส่วนของห้องทำงานน่ะ เพราะคุณลงมาสิ “
หลินซินเหยียนจูงมือลูกๆ แล้วเดินลงมา
ช่าวหยุนพาพวกเขามาถึงห้องทำงานของตัวเอง แล้วก็ถามเธอออกมาตรงๆ ” ที่คุณมาตามหาผมที่นี่ คงจะมีเรื่องให้ผมช่วยล่ะสิ “
เขาเปิดกล่องลวดลายประณีตที่วางอยู่บนโต๊ะออก และหยิบซิการ์หนึ่งมวนที่อยู่ในนั้นออกมาเสียบไว้ที่ปาก จากนั้นก็หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟ
” เอ่อ ขอโทษนะคะ ฉันมีเรื่องนิดหน่อยที่อยากถามคุณ พอดีว่าฉันแพ้กลิ่นบุหรี่น่ะค่ะ คือคุยกับฉันก่อนสักครู่ได้ไหม “หลินซินเหยียนขมวดคิ้ว เป็นเพราะว่าเธอท้อง เลยรู้สึกแพ้กลิ่นบุหรี่เป็นอย่างมาก
ช่าวหยุนจ้องไปที่เธอ แล้วมองซิการ์ที่กำลังจะจุด แล้วเขาก็ใช้นิ้วคีบมันออกจากปากไป แล้วดับไฟทิ้ง แล้ววางมันไว้บนถาด แล้วทำท่าผายมือให้หลินซินเหยียน ” พวกเรานั่งคุยกันเถอะ “
หลินซินเหยียนพยักหน้า เธอตบไหล่ลูกชายเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงค่อยๆ ” ลูกพาน้องไปเล่นตรงประตูสักพักนะ อย่าไปไกลนักล่ะ “
จงเหยียนเฉินจูงมือน้องไปอย่างว่าง่าย แล้วทั้งคู่ก็ออกจากห้องทำงานไป
ช่าวหยุนเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองออกไปแล้ว ในใจก็พอจะเดาสถานะของหลินซินเหยียนออกอยู่บ้าง
ไม่รอให้หลินซินเหยียนเอ่ยปากก่อนเขาก็ชิงพูดว่า ” คนที่จะรู้สถานะของผมได้ก็มีแค่ลูกสาวของเหวินเสียนเท่านั้น เมื่อเธอเกิดลูกของพี่ใหญ่แล้ว อันที่จริงผมอยากจะดูแลเธอแทน แต่เธออยากให้ลูกใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไปเหมือนคนอื่น ก็เลยไม่ได้มอบหน้าที่นี้ให้ผม “
ใบหน้าของเขาจากที่ใจร้อนแล้วไม่หนักแน่น ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสุขุมขึ้นมา เหมือนกำลังอยากบุหรี่ พอจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลินซินเหยียนมีอาการแพ้ ก็เลยละมือไป ” ผมคอยดูแลที่นี่ เผื่อวันหนึ่งเธอจะกลับมา ชีวิตนี้ไม่กลับมาแล้ว ก็ต้องรอให้ผมตายจากโลกนี้ไป ทรัพย์สินทุกอย่างที่นี่ทั้งหมดก็จะถูกบริจาค “
การมีอยู่ของเขาทำเพื่อรอใครคนคนหนึ่งเท่านั้น และเป็นคนที่ไม่รู้ว่าจะปรากฏตัวออกมาหรือเปล่ายี่สิบกว่าปีมานี้ ก็มาจนได้
เขามองไปที่คิ้วและดวงตาของหลินซินเหยียน ดวงตาเหมือนจะค่อยๆ มีน้ำออกมา ” ดูเหมือนว่าคุณจะเหมือนพ่อมากกว่านะ “
บางทีพอมาพูดถึงเรื่องราวหรือผู้คนที่ผ่านไปนานแล้ว ก็มีผลกับอารมณ์และความรู้สึกมากเช่นกัน เขายืนขึ้นมา เหมือนไม่รู้ว่าจะทำท่าทางยังไง ก็ไม่สบายตัว
หลินซินเหยียนหยิบจี้มาจากกระเป๋า เปิดแล้วก็วางไว้บนโต๊ะ ” ฉันมาหาคุณ เพราะอยากรู้เรื่องราวของพวกเขา”
เกี่ยวกับการตายของเหวินเสียน และพ่อของเธอ เธออยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ช่าวหยุนเมื่อเห็นของที่อยู่บนโต๊ะ ก็ก้มลงไปมอง พอเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นอะไร จึงค้อมตัวลงไปหยิบมันขึ้นมาดู และสังเกตภาพคนในนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นก็ยิ้มออกมา ” พี่ใหญ่ก็หล่ออย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ “
ในสายตานั้นเผยความรู้สึกที่เคารพและเสียใจออกมาเนืองๆ
เขาเงยหน้าขึ้นมามองหลินซินเหยียน ” คุณแค่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือพ่อของคุณ รู้ว่าเขาเป็นคนดีก็พอแล้ว ส่วนเรื่องในอดีตมันก็ผ่านมานานแล้ว ผมลืมไปหมดแล้วล่ะ “
พูดไปเขาก็วางจี้ลง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมบอกหลินซินเหยียน แต่จงใจที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ” เพราะคุณเพิ่งมาถึงเมืองCเหรอ “
หน้าที่ที่เขาต้องทำในขณะที่มีชีวิตอยู่ ก็คือการดูแลทายาทของพี่ใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น
เรื่องที่เคยเป็นอดีตอันดำมืด คงไม่ต้องหยิบมาเล่า นี่คือสิ่งที่เหวินเสียนต้องการ ตอนนั้นเธอก็ได้พูดกับเขาว่า ” ฉันคิดว่า ลูกของฉันและเขาจะต้องใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไป ฉันได้วางทุกอย่างไว้เผื่อลูกหมดแล้ว ไม่ต้องไปสืบหาข่าวคราวของเธอ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอคงจะไม่ปรากฏตัวออกมาตลอดไป แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น เกี่ยวกับพ่อของเธอ แค่บอกเธอว่าเขาเป็นคนดีก็พอ “
ในตอนนั้นเหวินเสียนคิดว่า การเป็นลูกสาวของจวงจื่อจิ่น เติบโตมาอย่างดีงามและแต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลจง จากที่เธอเข้าใจคนในตระกูลจง เธอก็คิดว่าเมื่อลูกสาวแต่งงานเข้าไปอยู่ที่นั่นก็คงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็คงไม่มาหาช่าวหยุน
นี่คือสิ่งที่เหวินเสียนบอกไว้กับเขาตอนนั้น
ตั้งแต่เขาคอยดูแลที่นี่ ก็ไม่เคยไปเมืองBเพื่อสืบสาวราวเรื่องของหลินซินเหยียนเลยสักครั้ง
หลินซินเหยียนพอจะมองออกแล้ว ว่าเขาไม่ยอมพูด ในใจก็รู้สึกผิดหวังอยู่น้อยๆ เธอจึงยื่นมือไปหยิบจี้ขึ้นมา แล้วใส่ลงในกระเป๋าดังเดิม จากนั้นก็ลุกขึ้น ” วันนี้รบกวนแล้ว ขอบคุณนะคะ “
ช่าวหยุนรีบบอกปัดว่าไม่ได้รบกวนเลย ” ที่คุณมาหาผมก็เพราะมีปัญหาใช่ไหมล่ะ คุณลองบอกมาสิ “
หลินซินเหยียนมาเมืองนี้ครั้งแรก ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ ที่เธอเลือกมาที่นี่ เพราะมีเรื่องต้องให้คิดมากมาย ด้านหนึ่งก็อยากสืบหาเรื่องของเหวินเสียน อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากจากจงจิ่งห้าวไปไกล แล้วเธอก็ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอีก
เธอรู้สึกว่าโชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว ตระกูลเหวินทำให้เฉิงตระกูลต้องอับจน แต่เธอกลับได้สิ่งล้ำค่าที่สืบต่อกันมาของเฉิงตระกูล ขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองว่างเกินไป
” ฉันอยากอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ เมื่อกี้เด็กสองคนนั้นคือลูกของฉันเอง พอถึงเวลา ก็บางขึ้นชั้นประถมแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากขอให้คุณช่วยฉันหาโรงเรียนที่ค่อนข้างดีในเมืองนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่ ก็เลยไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ ดังนั้นรบกวนคุณด้วยนะคะ “
” ไม่รบกวนหรอก ไม่รบกวนเลย วางใจผมเถอะ ” ช่าวหยุนโบกไม้โบกมือปฏิเสธดังเคย ก่อนจะถามยังเป็นห่วงว่า ” คุณพาลูกทั้งสองคนมาที่นี่ แล้วพ่อของเด็กล่ะ “
น้ำเสียงที่เขาใช้ถามดูนุ่มนวลและอ้อมค้อม ถึงเหวินเสียนจะไม่ได้บอกกับเขาตรงๆ ว่าวางแผนอะไรให้ลูกของเธอ แต่พอได้ยินว่านามสกุลของลูกสองคนนั้น เขาก็พอจะเดาออกแล้ว
หลินซินเหยียนเองก็ไม่ค่อยอยากจะบอกเรื่องนี้กับเขา จะให้บอกชัดเจน ก็รู้สึกว่าไม่อยากจะพาดพิงถึงใครอื่น
ช่าวหยุนก็พอจะเข้าใจจากสีหน้าฝ่ายตรงข้าม หลินซินเหยียนดูไม่อยากจะเปิดเผยเรื่องราวนี้กับเขา ดังนั้นก็เลยพูดออกไปก่อนว่า ” นี่ก็จะเที่ยงแล้ว เราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ มันจากนั้นเดี๋ยวผมจะจัดการที่อยู่อาศัยให้คุณละกัน “
หลินซินเหยียนตอบตกลง แล้วพูดต่อ ” ฉันควรจะเรียกคุณว่าอะไรดีคะ “
จากอายุของเขาก็ไม่ใช่น้อยแล้ว หากเรียกชื่อออกไปห้วนๆ ก็คงจะดูไม่มีมารยาท แต่ตัวเองก็ไม่กล้าเรียกเขาโดยที่ไม่ถามความเห็นก่อน
” ผมเป็นพี่น้องกับพ่อของคุณ เรียกผมว่าอารองเถอะ ” ช่าวหยุนพูดไปก็ทำตัวสบายๆ เป็นกันเอง
พูดจบก็ยังอธิบายต่อ เพราะกลัวว่าหลินซินเหยียนจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกตัวเองว่าอารอง ” เพราะก่อนหน้านี้ผมชื่อเอ้อหู่น่ะ ช่าวหยุนเป็นชื่อที่เปลี่ยนทีหลัง “
หลังจากเกิดเรื่องนั้น เขาก็เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนที่อยู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา