ในที่สุดนางแบบทั้ง 12 คนก็ยืนประจันหน้าอยู่บน เวทีT แล้วยังยืนสลับกันราวกับดอกไม้ที่ปักอยู่ในแจกัน และแสดงสู่สายตาของคนดูทีละคนถึงความงามของ ‘ มัน ‘ นางแบบค่อยๆ ก้าวเดินช้าๆ และมีดวงไฟที่ส่องตามไปด้วย และขณะเดียวกันก็มีเสียงระบายความงามของอารมณ์ออกมาผ่านเสียงเครื่องดนตรีกู่เจิง พิธีกรชายก็ใช้น้ำเสียงและสำเนียงอ่านบทประพันธ์ด้วยความรู้สึกอย่างดังกึกก้อง
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับเสียงเปียโน ที่ดังตึกก้องไปไกลโพ้น
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับภูผาสูงชันที่มีสายน้ำหลั่งไหล เปรียบดังคนรู้ใจที่หายากยิ่ง
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับเสียงดีดสายฉินหางไหม้ ซึ่งพลังเกินเทียบเทียม
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับตัวหมากที่ตัดสลับ เข่นฆ่ากันโรมรันแต่ก็ยังต้องพึ่งพา
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับสนามรบต้องใช้หัวเป็นประกัน เขม่าควันปืนลอยขึ้นท่วมทั่ว
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับสีขาวดำที่ผสมปนเป แต่ทุกสิ่งล้วนมีเจตนา
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับการสืบทอดประเพณีอันดีงามให้ผู้คนลุ่มหลง ซึ่งตราตรึงอยู่ในใจฉัน
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับหนังสือในมือ ความผูกพันนั้นมากมายและหวานชื่น
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับได้รับความรู้ และยากที่จะหยุดแสวงหา
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับเหล้าชั้นดีในโถลึก ที่ยากเกินหากจะห่างกันไกล
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับสาโทที่หมักมาเนิ่นนานแรมปี ทำให้คนดึงใจและเคลิบเคลิ้ม
ฉันชอบเธอ ก็เหมือนกับเหล้านารีแดง เมื่อเข้าคอแต่ทำให้ใจเมามาย
พิธีกรอ่านบทประพันธ์ได้อย่างน่าประทับใจ ทุกคนทั่วงานต่างฟังอย่างตั้งใจ ทำให้บรรยากาศนิทรรศการดีขึ้นไปอีกขั้น บนโลกใบนี้สิ่งที่ไม่สามารถพูดออกมาอย่างชัดเจนได้คือความรู้สึก แต่กลับทำให้คนมีแรงผลักดันที่จะทำตามความฝันได้
พิธีกรพูดสุนทรพจน์พร้อมใส่ความรู้สึก ราวกับว่าตัวเองกำลังพูดความในใจกับคนรัก
จนมาถึงจุดสุดท้าย ทำให้ใจของผู้เข้าชมนิทรรศการมีความคิดที่เป็นหัวใจสำคัญ ใช้การจัดแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ประจักษ์สู่สายตาทุกคน
ครั้งนี้เมนหลักจะนำเสนอเป็นชุดแต่งงานสไตล์จีน การแต่งงาน หมายถึงการที่คนสองคนเห็นพ้องต้องกัน ชายและหญิง ต่างคนต่างรัก เพื่อที่จะแต่งมาเป็นสามีภรรยา สุดท้ายก็ลองรวมกันกลายเป็นคำว่าความรู้สึกรัก
พอดีกับบทพูด 12 ประโยค ‘ ฉันชอบคุณมาก ‘ ทำให้แสดงจุดเด่นออกมาอย่างชัดเจน
ให้ความรู้สึกเมื่อแต่งงานกับคนที่เรารักก็อยากใส่ชุดแต่งงานแบบนี้ ถึงจะแสดงความรู้สึกออกมาได้
การออกแบบงานนิทรรศการครั้งนี้ออกมาอย่างวิจิตรและสวยงาม ทำให้ผู้เข้าชมตบมือกันอย่างไม่หยุดหย่อน
แล้วทุกคนก็ต่างอยากสัมภาษณ์ผู้จัดงาน และผู้ที่ร่วมจัดทำครั้งนี้ ผู้คนต่างรอคอยเวลาที่กำลังจะมาถึง จากนั้นก็เป็นเสียงพิธีกรชายที่พูดออกมาอย่างกึกก้อง ” ต่อไปขอเรียนเชิญ ผู้คิดค้น《เมฆาในคืนจันทรา》ฉินเยี่ยนเยี่ยนครับ “
ไฟถูกส่องไปด้านหลังสุด ก่อนจะมีเงาของใครบางคนค่อยๆ โผล่มา ฉินยาใส่กี่เพ้าแบบเดียวกับในบัตรเชิญ ทำทรงผมเดียวกัน แต่งหน้าแบบเดียวกัน สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือตัวจริงดูงดงามและโดดเด่นกว่าในบัตรเชิญตั้งเยอะ
ซูจ้านที่นั่งอยู่ในมุมมุมหนึ่งกำลังจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาว เขามักจะรู้สึกเหมือนเคยพบเธอมาก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน มันให้ความรู้สึกที่พิลึกพิลั่นเป็นอย่างมาก
เขาเม้มปาก จ้องไปยังผู้หญิง ผู้หญิงที่ยืนอยู่ภายใต้สปอตไลต์ เพื่อที่จะหาเบาะแสบนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น เพื่อที่จะยืนยันว่าตัวเองเคยเจอเธอมาก่อน
แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดที่กำลังทำจะเสียแรงเปล่า เขาไม่เคยเจอเธอเลย ครั้งแรกที่เห็นก็ในบัตรเชิญเท่านั้น ตัวจริงก็เพิ่งเจอครั้งแรก อย่างนั้นก็แสดงว่าเขาไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้
บนเวที ฉินยารับไมค์ที่พิธีกรส่งให้อย่างเป็นกันเอง ก่อนจะมองไปยังไปที่สาดส่องอยู่ด้านล่าง ดูคล้ายกับคลื่นลูกใหญ่ เธอโค้งคำนับอย่างนุ่มนวล
” ขอบคุณทุกท่านที่มาที่นี่ ขอบคุณพนักงานทุกคน ณ ที่แห่งนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ “
เธอยืนบนเวทีอย่างสง่างาม ก่อนจะยกไมค์ขึ้น แล้วถามทุกคน ” ฉันไม่ใช่คนที่สร้าง《เมฆาในคืนจันทรา》หรอกนะคะ คนที่สร้างด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่สามารถเดินทางมาที่นี่ได้ ดังนั้นหากทุกคนมีคำถามอะไร สามารถถามดิฉันได้ ดิฉันจะทำการตอบให้ทีละคนเลยค่ะ “
” ขอถามหน่อยครับ ทำไมถึงตั้งชื่อว่า《เมฆาในคืนจันทรา》” นักข่าวคนหนึ่งเริ่มถามขึ้นมาก่อน
ฉินยาตอบออกมาอย่างคล่องแคล่ว” ฉันเชื่อว่าคนที่มาในวันนี้ มีผู้คนไม่น้อยที่เป็นตัวตัวเองเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้า ฉันอยากจะพูดถึงผ้าไหมกวางตุ้ง ทุกคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ “
มีคนส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ ” ใช่ผ้าไหมกวางตุ้งที่สูญหายไปยี่สิบกว่าปีหรือเปล่า “
ฉินยายิ้มออกมาน้อยๆ ” ใช่แล้วค่ะ ” ก่อนจะอธิบายอย่างกระชับความ ” ครั้งนี้พวกเราได้จัดทำชุดแต่งงานรูปแบบจีนขึ้นมาสิบสองชุด ทั้งหมดใช้ผ้าไหมกวางตุ้งกับมือคนในการปักเย็บทั้งหมด โดยช่างฝีมือดีสิบเอ็ดท่าน ใช้เวลาทำทั้งหมดสองเดือนจึงเสร็จสิ้น ถึงจะกินทั้งแรงและเวลา แต่ฉันเชื่อว่าผลลัพธ์มันได้ปรากฏสู่สายตาทุกคนแล้วล่ะค่ะ “
” ขอถามหน่อยค่ะชุดแต่งงานพวกนี้คงจะขายในราคาที่สูงมากเลยใช่ไหมคะ ” มีคนแสดงเจตนารมณ์ที่อยากจะซื้อ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบบ หรือความหมายแฝง ล้วนมีความเป็นเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก
” ขอโทษนะคะ พวกนี้คงไม่สามารถขายได้ ไม่ว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถขายให้ได้ค่ะ ให้เพียงแค่ชื่นชมและพินิจพิเคราะห์คุณค่าเท่านั้น ถ้าเกิดอยากร่วมธุรกิจกัน เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำทุกคนให้กับผู้ที่รับหน้าที่ด้านนี้ของเราค่ะ ” ฉินยายิ้มออกมาอย่างอ่อนละมุน ” ต่อไปให้เวลาทุกท่านสิบนาที เข้ามาชมได้อย่างใกล้ๆ แต่ไม่อนุญาตให้ทุกคนใช้มือสัมผัสเด็ดขาดนะคะ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ “
เพราะเป็นงานที่ปักเย็บ หากไม่ระวังเผลอไปเกี่ยวโดนไหมเข้า ก็จะทำให้ซ่อมแซมได้ยาก
ทุกคนก็เริ่มทยอยกันขึ้นไป เหลือเพียงผู้ชายสามคนตรงมุมโถงที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง ซูจ้านกับเสิ่นเผยซวนเบนสายตาไปยังจงจิ่งห้าว
เพราะพวกเขาสองคนต่างรู้ว่าผ้าไหมกวางตุ้งมีแหล่งที่มาจากเฉิงยู่ซิ่วที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อก่อนอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับจงจิ่งห้าว แต่ตอนนี้คือมี
” หรือว่าจะเป็นพี่สะใภ้ ” เสิ่นเผยซวนถาม ไม่งั้นจะมีใครสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้เหรอ
จงจิ่งห้าวเพียงแค่จ้องมองไปยังเสื้อผ้าที่ดูวิจิตรตระการตาบนเวทีเท่านั้น ใบหน้าไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ แต่หากมองหางตาเขาอย่างละเอียดมันกำลังกดความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ ที่จริงไม่เหมือนกับอารมณ์ที่แสดงออกมาว่าไม่สะทกสะท้านโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นไปจากเขา คงไปแอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพื่อไถ่ถอนความรู้สึกผิดที่มีต่อการตายของเฉิงยู่ซิ่วเงียบๆ แต่เขาไม่เคยคิดแทนเธอมาก่อน ว่าเป็นเพราะสูญเสียคนที่รักไปถึงเสียใจหรือเปล่า
เขากัดฟันกรามกรอด เป็นเพราะว่าใช้แรงมากเกินไป เลยกัดไปโดนเนื้อจนเป็นรอยเว้า แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังคงอดกลั้นมันไว้ในใจ จึงจะกลับมาเป็นนิ่งสงบดังปกติ
บนเวทีนั้น นางแบบสิบสองคนต่างยืนอยู่แต่ละด้านของ เวทีT ให้ทุกคนได้ชื่นชม
การทำงานฝีมือคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ มีคนพูดออกมาว่า ” งานนิทรรศการครั้งนี้ ทำให้ผมตกตะลึงมากที่สุด ความเรียบหรูและดูแพงของมัน และความยูนีคในการจัดแสดงของผู้สร้าง ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาออกจากมันได้เลย “
เมื่อได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้ ฉินยาก็ยิ้มออกมา คิดว่าสองเดือนแห่งความยากลำบากนั้นเสียไปโดยไม่เปล่าประโยชน์ เธอคิดว่า หลังจากวันนี้ไป ผ้าไหมกวางตุ้ง ก็จะกลับไปสู่สายตาของผู้คนมากมายอีกครั้ง เท่านี้จุดประสงค์ของหลินซินเหยียนก็บรรลุเสียที แบรนด์《เมฆาในคืนจันทรา》นี้ก็จะได้แสดงความสามารถของมันอย่างที่ควรจะเป็น
หลังจากสิบนาที นางแบบก็กลับมายืนที่เดิม ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้ชื่นชมอย่างอิ่มตาอิ่มใจ
” ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความกรุณาและสนับสนุน หากมีความประสงค์ที่จะร่วมธุรกิจกับเรา ขอให้พูดคุยกับคุณช่าวได้เลยนะคะ “
ช่าวหยุนใส่สูทมาตรฐาน ไม่ได้ใส่ชุดสีฉูดฉาดเหมือนอย่างเคย เขาเดินขึ้นมาบนเวที ” หากสนใจ กรุณามาตรงนี้เพื่อทิ้งข้อมูลการติดต่อไว้ด้วยครับ “
เนื่องจากจำนวนคนที่เยอะเกินไปจึงไม่มีเวลาคุยรายละเอียดที่ชัดเจน ทำได้แค่หาเวลาคุยกันในภายหลัง
หลังจากที่ดันตัวช่าวหยุนออกไปได้แล้วฉินยาก็ถอยออกมา เธอออกไปทางด้านหลัง เพื่อทักทายทีมงาน ” ต้องระวังด้วยนะคะ ชุดที่นางแบบถอดออกมาแล้ว อย่าวางมั่วนะคะ ต้องเก็บกลับไปแขวนในที่เฉพาะด้วยนะคะ “
เสื้อผ้าพวกนี้ไว้สำหรับโชว์ และยังต้องนำกลับไป เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหาย ตอนมาก็เลยจัดเตรียมราวแขวนที่เหมาะสำหรับเสื้อผ้าพวกนี้โดยเฉพาะ
คุณนายเวลเลี่ยนเดินเข้ามา ฉินยาก็รีบทักทาย ” คุณนายเวลเลี่ยน “
หล่อนยิ้มๆ ก่อนหน้านี้หลินซินเหยียนไม่ได้บอกให้หล่อนรู้ว่าจะจัดนิทรรศการหรืออย่างไร เพราะวันนี้ได้มาเห็นกับตา หล่อนจึงยิ้มและชื่นชมออกมา ” ฉันดูหลินซินเหยียนไม่ผิดเลยจริงๆ ทำให้ฉันแปลกใจได้ตลอด แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้มาเห็นสายตาชื่นชมของผู้คนในงานด้วยตัวเอง ตอนแรกที่เห็นแววเธอ ฉันก็รู้แล้วว่าเธอต้องมีความสามารถอย่างแน่นอน “
ฉินยายิ้มเป็นการตอบรับ ” ฉันต้องขอบคุณท่านแทนพี่หลินจริงๆ นะคะ “
” ไม่ต้องหรอก ฝากบอกแทนฉันทีนะ บอกว่าฉันดีใจมาก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่LEOแล้วก็ตาม ออกไปสร้างแบรนด์ของตัวเอง แต่ว่าความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอจะไม่เปลี่ยนไป หวังว่าหลังจากนี้เธอจะดีขึ้นเรื่อยๆ ” คุณนายเวลเลี่ยนอายุมากแล้ว ลูกที่มีอยู่เพียงคนเดียวก็ไม่สนใจทางด้านนี้ ดังนั้นหลังจากนี้หากหล่อนตายไป LEO จะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าหล่อนไม่ใช่ผู้ที่เห็นค่าคน ตอนนั้นก็คงไม่ให้โอกาสคนที่เพิ่งเรียนจบ ไม่มีประสบการณ์หรือภูมิหลังอย่างหลินซินเหยียนหรอก
ตอนแรกหล่อนคิดว่ารอตัวเองจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะยกLEOให้เธอบริหารต่อ แต่ตอนนี้เธอมีการง่ายเป็นของตัวเองแล้ว หล่อนจึงได้แต่อวยพร
หล่อนเข้าใจดี ว่าทุกคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง LEO สร้างขึ้นมาได้เพราะหล่อนกับคนที่เธอรัก ก็ควรสูญหายไปหลังจากที่หล่อนได้ตายไปแล้วเช่นกัน แค่คิดแบบนี้ก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก
ทั้งสองไม่คุยกันอยู่หลายประโยค จากนั้นฉินยาก็ไปส่งคุณนายเวลเลี่ยนขึ้นรถได้ตัวเอง ไม่เห็นรถขับออกไปไกลแล้ว เธอจึงกลับไปด้านหลัง หาเก้าอี้นั่งตรงทางเดิน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเตรียมจะโทรไปรายงานหลินซินเหยียน เพื่อที่จะบอกว่าทางนี้เป็นยังไงบ้าง พ่อเจิมหมายเลขโทรศัพท์เตรียมที่จะสไลด์ปัดไปยังปุ่มโทรออก จู่ๆ ก็มีเงาของใครบางคนโผล่มาจากด้านหลังและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
” เธออยู่ที่ไหน “
ฉินยาหันขวับ กลัวทางเดินอยู่ใกล้กับประตู เมื่อเห็นเงาของใครบางคน เมื่อเขาหันหน้ามา ฉินยาก็เห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน จึงรีบกดวางสายบนหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะพยุงกำแพงแล้วลุกขึ้น แล้วพยายามทำหน้านิ่งสงบ
” ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรนะคะ “
เขาคลายคอเสื้อออก ถึงแม้จะมีลมพัดก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็น แต่กลับรู้สึกถึงความร้อนผ่าวของหัวใจที่กำลังสูบฉีด เขาจึงถอนหายใจออกมา ตอนนี้ปอดของเขาเหมือนกับหีบที่กำลังจะระเบิด ก่อนจะพูดออกมาคล้ายกับจะระเบิดอารมณ์ ” ที่ฉันถามเธอ ก็เพราะฉันรู้ว่าเธอเป็นใคร อย่าลืม ว่าตอนแรกที่เธอออกไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ ก็เป็นฉันที่จัดการทุกอย่างให้ “