ในตอนที่ “แพทย์ฝึกหัด” อ้าปากพูดออกมา ต้องการจะถามคุณหมอไปว่าแต่อะไรนั้นเอง แต่หลินซินเหยียนได้เอ่ยถามออกไปก่อน “แต่ว่าอะไรคะ?”
ปกติแล้วหลังจากคำพูดอย่างนั้นล้วนแล้วจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งนั้น
เธอกลัว กลัวว่าจะมีข่าวที่ไม่ดีอะไรขึ้นมา
สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นกังวลขึ้นมาด้วยเช่นกัน ไม่ได้สังเกตเห็นว่า “แพทย์ฝึกหัด” กังวลยิ่งกว่าเธอเสียอีก
คุณหมอรีบปลอบออกมาทันที “อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ว่าหลังจากที่ผ่านไปแล้วสามเดือนโดยพื้นฐานแล้วจะมั่นคงดีอยู่ แต่พื้นฐานของคุณไม่ดี ก็ต้องระวังหน่อย คุณผอมขนาดนี้ ตอนที่คลอดลูกเมื่อก่อนหน้านี้เจ็บปวดมากเลยใช่มั้ย?”
อันที่จริงเรื่องพวกนี้โดยทั่วไปแล้วคุณหมอจะไม่ถามกัน แต่คงเป็นเพราะว่ารู้ว่า “แพทย์ฝึกหัด” ชายที่อยู่ทางด้านหลังคนนี้คงจะเป็นพ่อของเด็ก ถึงได้พูดออกมา จุดประสงค์เพื่ออยากให้เขาได้รู้ว่าผู้หญิงคลอดลูกนั้นมันลำบากมาก ควรจะให้การดูแลมากๆหน่อย
“ค่ะ” หลินซินเหยียนไม่ได้บอกไปอย่างละเอียด แต่ความเจ็บปวดจากการคลอดลูกจำพวกนั้น มันทำให้ไม่อาจลืมไปได้เลยจริงๆ ผ่านมานานแค่ไหนก็ยังคงมีความทรงจำนี้อยู่
คุณหมอมองไปทางด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็หันกลับมามองหลินซินเหยียนต่อ ยิ้มพร้อมกับพูดออกไปว่า “มดลูกของคุณบอบบางกว่าคนทั่วไป พร้อมกับการเติบโตในแต่ละเดือนครรภ์มันจะพัฒนาการเจริญเติบโตที่เต็มที่มากขึ้น น้ำคร่ำเพิ่มมากขึ้น ความกดดันที่ร่างกายของแม่แบกรับเอาไว้มันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องอย่าลืมพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้ดี รักษาอามณ์ที่ดีเอาไว้”
“ฉันจะทำตามที่คุณหมอบอกค่ะ” หลินซินเหยียนเอ่ยออกมา
ตัวเธอเองมีปัญหาอยู่บ้างเธอเองก็รู้ตัวอยู่ เมื่อก่อนหน้านี้คุณหมอต่างก็บอกว่าเธอไม่อาจจะหล่อเลี้ยงลูกได้ ที่สามารถท้องครรภ์นี้มาได้มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างมาก สามารถเก็บเอาไว้ได้ ทั้งยังมีอาการยังคงดีอยู่ มันนับได้ว่าโชคดีมากแล้ว
ตรวจเสร็จ เพียงไม่นานก็ได้รับใบรายงานมาได้ หลังจากที่เธอรับมาแล้วก็กลับมาที่ห้องวินิจฉัย คุณหมอดูอาการแล้วก็กำชับเรื่องที่เธอต้องระมัดระวังเอาไว้หน่อย จากนั้นอีกสักครึ่งเดือนก็มารับผลการตรวจดูว่าเด็กมีอาการไม่สมประกอบหรือเปล่า
นั่นมันก็ต้องใช้เวลา
หลินซินเหยียนเดินออกมาจากห้องวินิจฉัยก็โทรหาฉินยาแล้วถามออกไปว่า “เธออยู่ไหน?”
“แพทย์ฝึกหัด” คนนั้นยืนอยู่ในห้อง และไม่อาจเดินตามเธอออกมาได้ ทำได้เพียงแอบมองอยู่อย่างนั้น “ฉันอยู่ที่ตรงหน้าประตูทางเข้า” ฉินยารออยู่ที่ตรงหน้าประตูอยู่ตลอด ด้านในมี “แพทย์ฝึกหัด” คนนั้นอยู่ เธออยู่จะเป็นส่วนเกิน
แต่แพทย์ฝึกหัดคนนั้นไม่อาจตามหลินซินเหยียนออกมาส่งเธอกลับไปได้
ดังนั้นแล้วฉินยาจึงได้อยู่รอตรงหน้าประตู
เธอเดินออกมาฉินยาช่วยเปิดประตูพร้อมกับถามออกมา “ผลการตรวจดีหมดเลยใช่มั้ย?”
หลินซินเหยียนส่งเสียงอืมตอบรับออกมา “ดีมากทั้งหมด”
“เธออยากกินอะไร? พวกเราไปกินกัน”
“ฉินยา” หลินซินเหยียนไม่ได้โค้งตัวขึ้นรถไป เพียงแค่มองเธออยู่อย่างนั้น “ฉันคิดว่าวันนี้เธอแปลกมากเลย”
ด้วยนิสัยของฉินยาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเกลียดโรงพยาบาลมาก ก็ไม่มีทางที่จะทิ้งเธอไว้กับ “แพทย์ฝึกหัด” ตามลำพัง เห็นได้ชัดว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“ทำไมเธอถึงได้กลายมาเป็นคนขี้สงสัยได้ล่ะ? ฉันก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง? หรือว่าต้องให้ฉันบอกอีกรอบ แกะรอยแผลออกมาอีกครั้ง” ฉินยาแสร้งแสดงท่าทีเศร้าสร้อยออกมา คำที่พูดออกมาได้ทิ่มแทงตรงไปที่จุดที่อ่อนแอที่สุดภายในใจของหลินซินเหยียน เพียงไม่นานมันก็ทำให้หลินซินเหยียนพูดไม่ออกเลยทีเดียว กลับยังรู้สึกผิดขึ้นมาอีก คิดว่าเพราะตัวเองถึงได้ทำให้ฉินยานึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินยาเองก็เคยตั้งครรภ์มาก่อน เดิมทีก็มีโอกาสได้เป็นแม่ แต่ทว่า…
“เสี่ยวยา ขอโทษนะ” หลินซินเหยียนรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก โกรธตัวเองว่าทำไมถึงได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
“เอาล่ะ บอกมาว่าเธออยากกินอะไร ฉันจะพาเธอไป” ฉินยาเปลี่ยนใบหน้าที่ดูไม่มีอะไรเกิดขึ้นออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเธอจะปล่อยวางต่อซูจ้านไปโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ ไม่มีความรู้สึกอะไรอีก แต่ความจริงที่เคยตั้งครรภ์มาก่อน เธอไม่มีวันลืม
หลินซินเหยียนนั้นมาตรวจโดยที่ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน รู้สึกว่ามาเพียงไม่นาน แต่มันก็สิบโมงกว่าไปแล้ว กินมื้อเที่ยงได้แล้ว หลังจากที่เธอขึ้นรถไปแล้วก็พูดออกมาว่า “พวกเราไปกินปูอบหม้อดินกันเถอะ”
นี่เป็นสิ่งที่ฉินยาชอบกิน รสชาติค่อนข้างจะไปทางเผ็ด แต่ว่าที่ร้านนั้นยังมีโจ๊กทะเล และก็ไม่เยอะมาก แล้วก็ยังมีหมั่นโถวทอดกรอบนอกนุ่มใน กัดไปคำนึงกลิ่นหอมนมฟุ้งออกมาเต็มๆคำ อร่อยมาก
ฉินยาชอบไป ดังนั้นแล้วเธอเองก็ได้ไปมาแล้วหลายครั้ง รู้จักรายการอาหารด้านใน มีหลายเมนูที่เธอชอบมากเหมือนกัน
“ได้เลย” ฉินยาขับรถออกไปอย่างอารมณ์ดี
สำหรับเรื่องที่ว่าเธออยู่ร่วมกันกับ “แพทย์ฝึกหัด” คนนั้นที่ด้านในยังไงไม่ได้เอ่ยออกไปสักคำเดียว กลัวว่าเธอจะสงสัยอะไรขึ้นมา
แต่อย่างไรก็ตามหลินซินเหยียนก็ไม่รู้ว่า ทันทีที่พวกเธอออกไป “แพทย์ฝึกหัด” ที่สวมหมวกพร้อมหน้ากากอนามัยที่อยู่ในชุดเสื้อกราวด์คนนั้นก็ได้เดินออกมาเช่นเดียวกัน เพียงแต่บนร่างได้ถอดอุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่นั้นออก เผยให้เห็นสภาพดั้งเดิม
ผมที่สวมหมวกก็สวมจนผมยุ่งไปบ้าง ปอยผมหลายเส้นปรกอยู่ที่ตรงหน้าผาก เขายืนมองรถที่ขับออกไปอยู่ตรงที่ขั้นบันได ยกมือขึ้นดูเวลา ใกล้จะเที่ยงแล้ว เขาก้าวลงจากบันไดไปขึ้นรถคันหนึ่ง ขับมุ่งหน้าไปยังย่านที่หลินซินเหยียนพักอยู่
มีฉินยาอยู่ เขารู้จักที่อยู่ของหลินซินเหยียนดี ในเวลานี้ที่บ้านของพวกเธอไม่มีใครอยู่ เขาสามารถเข้าออกได้ตามสบาย และยังสามารถไปเยี่ยมเยียนลูกทั้งสองคนได้
เพราะว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว แต่ก็ยังเร็วไปหน่อยที่จะกินมื้อเที่ยงกัน ก็เลยไปดูที่บ้านของหลินซินเหยียนก่อนสักครั้งนึง ครั้งที่แล้วที่ไปเป็นตอนเย็น ทั้งยังไม่มีไฟอีก เขามองเห็นเครื่องตกแต่งภายในบ้านได้ไม่ชัดเจน
หลินซินเหยียนไม่อยู่พอดี เขาสามารถเอ้อระเหยอยู่ที่ที่พักของเธอได้
ถึงช่วงพักกลางวัน มื้อเที่ยงของเด็กเตรียมอนุบาลเป็นอาหารฟรีที่ทางโรงเรียนเตรียมเอาไว้ให้ ไม่ได้ต่างไปจากโรงเรียนอนุบาล เช้าไปตอนเย็นกลับ
แต่คนในครอบครัวมารับก็สามารถไปได้
ตอนที่จงจิ่งห้าวปรากฏตัวอยู่ที่โรงเรียน คุณครูของเด็กทั้งสองคน ถูกผู้ชายคนนี้ทำเอา “ประหลาดใจ” กันขึ้นมา ตั้งแต่ที่เด็กทั้งสองคนเข้าเรียนมา สองเดือนมาแล้ว เธอก็ไม่เคยเจอพ่อของเด็กทั้งสองคนมาก่อน เธอคิดมาโดยตลอดว่าหลินซินเหยียนหย่าร้างแล้วมาเลี้ยงลูกอยู่ตามลำพัง
เธอมองชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตรงหน้าตนคนนี้ กางเกงสแล็คห่อหุ้มขาเรียวยาวทั้งสองข้างเอาไว้ เขายืนตรงตระหง่าน ปากกระบอกตรงแขนเสื้อถกขึ้นเผยให้เห็นท่อนแขนที่แข็งแรงครึ่งท่อนออกมา บนข้อมือข้างขวาได้สวมนาฬิกาข้อมือธุรกิจแบบเรียบๆ เรือนนึง ดูเรียบๆแต่ราคามันกลับแพงมาก
ออร่าของผู้ชายประสบความสำเร็จจำพวกนั้นที่ออกมาจากบนร่าง คนทั่วๆไปเทียบไม่ได้เลย เสน่ห์แบบผู้ใหญ่ที่น่าหลงใหลสุดๆของเพศชายได้แผ่ออกมาจากส่วนลึกข้างในตัว
ผู้ชายที่มีกลิ่นอายอย่างนี้ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้ดีนัก มันก็ยังมีเสน่ห์มากอยู่ดี แต่สิ่งที่ร้ายแรงเลยก็คือหน้าตาของผู้ชายคนนี้ก็ยังไร้ที่ติอีกด้วย
เค้าโครงหน้าเป็นรูปทรงชัดเจน สันจมูกโด่ง ดวงตาล้ำลึก ตอนที่ไม่พูดดูให้ความรู้สึกแบบเย็นชาเข้าถึงยากจนทำให้คนอื่นเขาหลงใหลกันขึ้นมา
จงจิ่งห้าวขมวดคิ้วออกมา เขาไม่ชอบให้คนอื่นมาจ้องมองตัวเองเป็นที่สุด
“แด๊ดดี้” จงเหยียนซีวิ่งออกมาจากบนที่นั่ง เสียงเรียกแด๊ดดี้นี้ได้ดึงสติของครูสาวที่มองจนโง่งมไปกลับมาด้วยเหมือนกัน จึงรีบเบือนหน้าออกไปทันที รู้สึกว่าเมื่อกี้นี้ตัวเองเสียมารยาทเกินไป
จงเหยียนซีประหลาดใจสุดๆ นึกไม่ถึงว่าจู่ๆแด๊ดดี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ เธอไม่กล้าที่จะเชื่อเลย กอดขาของเขาเอาไว้ เงยหัวเล็กๆขึ้นไป “แด๊ดดี้ แด๊ดดี้มาหาหนูแล้ว?”
จงจิ่งห้าวหยิกแก้มเธอไปเบาๆ พลางส่งเสียงอืมตอบออกไป พูดจบสายตาก็เลื่อนมองไปทางคุณครู “ผมต้องการรับลูกออกไปกินมื้อเที่ยง ช่วงบ่ายสายๆหน่อยจะมาส่ง”
คุณครูยิ้มออกมา “โอเคค่ะๆ” ตอนท้ายก็ได้ถามออกไปอีกประโยคนึง “คุณเป็นพ่อของเหยียนเฉินกับเหยียนซีจริงๆเหรอคะ? เมื่อก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย?”
“เขาเป็นแด๊ดดี้ของหนูแน่นอนค่ะ” จงเหยียนซีกอดขาของจงจิ่งห้าวแน่น เหมือนกับกลัวว่าเขาจะแย่งแด๊ดดี้ของเธอไปก็ไม่ปาน
คุณครูยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่สายตาได้มองไปที่บนหน้าของเขาไปอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้
จงเหยียนเฉินเดินเข้ามา มองคุณครูไปแวบนึงแล้วก็หันมามองจงจิ่งห้าวอีกที พลางเบ้ปากออกมา “แด๊ดดี้ อย่าหว่านเสน่ห์ที่ข้างนอกซี้ซั้วสิ ไม่อย่างนั้นผมจะบอกหม่ามี๊”
พูดจบก็ได้เดินออกไปก่อน ไม่ให้แม้แต่โอกาสให้ได้อธิบาย
จงจิ่งห้าว “…”
เขาไปหว่านเสน่ห์ใส่ใครล่ะ?
กล่าวหาเขาผิดๆให้น้อยๆหน่อย!
ขึ้นมาบนรถจงจิ่งห้าวมองเด็กน้อยทั้งสองคนจากในกระจกมองหลัง พร้อมกับถามออกไป “พวกลูกๆทั้งสองคนอยากกินอะไร?”
“ปูขนอบหม้อดิน” จงเหยียนซีเอ่ยออกมา เธอเองก็ชอบกินปูที่อยู่ในปูขนอบหม้อดินนั้นเหมือนกัน รสชาติเผ็ดๆอร่อยมากๆเลย
พริกของจำพวกนี้กินแล้วก็จะเสพติด
“อยู่ที่ไหน?” ลูกสาวอยากกิน เขาจะต้องสนองให้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ไม่รู้ว่าร้านนั้นมันอยู่ที่ไหน
“หนูรู้ หนูบอกแด๊ดดี้เอง อยู่แถวใกล้ๆกับร้านกาแฟที่พวกเราเจอกันครั้งที่แล้วค่ะ” จงเหยียนซีเอ่ยพูดออกมาอย่างร่าเริง
จงจิ่งห้าวมองลูกสาว พลางยิ้มออกมา จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังทางนั้น