ซูจ้านสีหน้าเปลี่ยนทันที ไม่อยากจะเชื่อ “คุณ คุณว่าอะไรนะ? คุณจับตัวฉินยา?”
กู้เป่ยสีหน้ามึนงง “คุณไม่รู้?”
ซูจ้านกำหมัดไว้แน่น ตอนที่เขากำลังจะออกหมัด กู้เป่ยผลักเขาออก “พวกคุณแต่ละคนมันเป็นคนบ้ากันหมด”
ล้วนชอบใช้ความรุนแรง
เขารีบไปก่อนดีกว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้” ซูจ้านเห็นกู้เป่ยจะไป ก็รีบตามเข้าไป เขาไปตามยังดี พอตามกู้เป่ยก็ยิ่งเร็วขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่มั่นใจว่าสู้ซูจ้านได้ แต่ซูจ้านดูแล้วไม่ค่อยปกติ เขาสู้กับคนได้ แต่สู้กับคนบ้าไม่ได้
คนบ้าเวลาบ้าขึ้นมาไม่เอาแม้แต่ชีวิต แต่ว่าเขารักชีวิตมาก
“กู้เป่ย”
ซูจ้านวิ่งตามกู้เป่ยก็วิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม วิ่งหลบซ้ายหลบขวาออกจากประตูโรงพยาบาล ขึ้นรถอย่างรวดเร็ว “รีบไป”
ลูกน้องไม่รู้ว่าทำกู้เป่ยถึงได้รีบร้อนขนาดนี้ แต่ก็สตาร์ทรถอย่างเชื่อฟัง ตอนที่ซูจ้านไล่ตามมา รถยังไม่ได้ไป กู้เป่ยรีบล็อกประตูรถ ซูจ้านเปิดไม่ได้ก็ทุบกระจกรถ “กู้เป่ย แกออกมาเดี๋ยวนี้”
ซูจ้านโมโหมาก หายใจหอบจนหน้าอกขึ้นลงอย่างรุนแรง หลอดเลือดบนคอก็ผุดขึ้นมาและสะเทือน ดูแล้วน่ากลัว
กู้เป่ยเห็นแรงสะเทือน ดูเหมือนกระจกรถจะถูกทุบจนพังแล้ว กลืนน้ำลายเข้าไป ในใจเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเล่นอยู่ด้วยกันกับจงจิ่งห้าว แม่งไม่ใช่คนทั้งนั้น ล้วนเป็นพวกบ้า
“แม่งเอ๊ย เร็วๆซิ” กู้เป่ยตะโกนด่า
ลูกน้องสตาร์ตรถแล้ว กู้เป่ยตะโกน เขาตกใจจนเหยียบคันเร่งอย่างแรง รถพุ่งออกไปอย่างกับจรวด ความเร็วแบบนี้ แรงผลักกระแทกหนักเกินไปกู้เป่ยไม่ได้ตั้งตัวล้มไปข้างหลังอย่างแรง ยังดีที่เบาะนุ่ม ไม่ได้กระแทกอะไร เพียงแค่ท่าทางย่ำแย่
“แม่งเอ๊ยขับรถเป็นหรือเปล่า?” เขานวดท้ายทอยแล้วนั่งขึ้นมา
ลูกน้องอยากอธิบาย พบว่ากู้เป่ยกำลังเกาะอยู่ที่กระจกมองไปข้างหลัง
เขาจึงหุบปาก ขับรถอย่างโล่งใจ
ซูจ้านก็ไม่สนที่จะไปหาหมอแล้ว รีบขึ้นรถไปหาจงจิ่งห้าว อยากถามเขาให้ชัดเจน เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมกู้เป่ยถึงจับตัวฉินยาไป?
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมจงจิ่งห้าวถึงรีบกลับมาจากไป๋เฉิง มิน่าถึงได้รู้สึกว่าเขามีอะไรปิดบังตัวเองอยู่ เป็นไปตามนั้น เขามีเรื่องปิดบังตัวเองจริง
ซูจ้านขับเร็ว ถึงคฤหาสน์จอดรถให้สนิทแล้วเขาก็โดดลงจากรถ ก้าวอย่างเร็วเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ทว่าเด็กทั้งสองคนที่ค่อยได้นอนทั้งคืนและหลินซินเหยียนต่างก็นอนแล้ว
ตอนแรกหลินซินเหยียนไม่รู้สึกง่วง อยากรอจงจิ่งห้าวกลับมา แต่ว่านอนไปนอนมาก็หลับไปเลย
มีเพียงป้าหยูคนเดียวที่ตากผ้าที่เด็กทั้งสองเปลี่ยนลงมาที่ระเบียง
หากไม่ใช่สติที่เหลืออยู่ ซูจ้านวิ่งขึ้นไปถามหลินซินเหยียนแล้ว
เขาพูดอย่างอัดอั้นตันใจ “ป้าหยู ป้าช่วยผมขึ้นไปชั้นบนเรียกพี่สะใภ้ลงมาหน่อย ผมมีเรื่องด่วนจะหาเธอ”
ป้าหยูดูออกว่าซูจ้านรีบร้อนมาก แต่ก็ตอบไปคำหนึ่ง “เธอกำลังนอนอยู่ หรือว่ารอสักครู่?”
ป้าหยูไม่ได้มีความหมายอื่น แค่รู้สึกว่าตอนนี้หลินซินเหยียนท้องแก่แล้ว ง่วงง่าย ไปปลุกเธอตอนนี้จะรบกวนการพักผ่อนของเธอ
“ผมรีบร้อนมาก” ซูจ้านหายใจแรง
ป้าหยูวางเสื้อในมือแล้วขึ้นไปเรียกหลินซินเหยียนชั้นบน
ผลักประตูห้องเธอเดินไปที่ข้างเตียง เรียกอย่างเบาๆ หลินซินเหยียนหลับลึกมาก ปลุกไม่ตื่น
ป้าหยูเรียกอีกสองครั้ง เสียงดังขึ้นเล็กน้อยถึงปลุกหลินซินเหยียนจนตื่น เธอนึกว่าจงจิ่งห้าวกลับมาแล้ว ลืมตาก็ถาม “เขากลับมาแล้วเหรอ? มีใครกลับมากับเขาบ้าง?”
เธออยากรู้ว่าช่วยฉินยากลับมาได้หรือเปล่า
ป้าหยูฟังอย่างมึนงง พูดว่า “ซูจ้านมาคนเดียวค่ะ”
“ซูจ้าน?” หลินซินเหยียนขมวดคิ้ว
“ใช่ ป้าดูแล้วเหมือนรีบร้อนมาก ป้าบอกว่าคุณนอนอยู่ เขาให้ป้าปลุกคน” ป้าหยูพูดตามความเป็นจริง
หลินซินเหยียนขยี้ตาลุกขึ้นนั่ง คนก็ตื่นเต็มที่แล้ว เขารีบร้อนขนาดนี้แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือรู้เรื่องฉินยาแล้ว
เธอลงจากเตียงใส่รองเท้า ถามถึงลูกทั้งสองคน ป้าหยูบอกว่านอนอยู่ เธอพยักหน้าอย่างรับรู้ เดินลงชั้นล่าง
ซูจ้านเดินไปเดินมาในห้องรับแขกอย่างไม่สบายใจ เห็นหลินซินเหยียนลงมาก็รีบเดินเข้าไป “พี่สะใภ้…….”
“พวกเราไปคุยกันในห้องหนังสือ”
ซูจ้านอดกลั้นนิสัยไว้ รอเธอลงมาไปห้องหนังสือพร้อมกัน
พอถึงห้องหนังสือซูจ้านก็ถามอย่างทนรอไม่ไหว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมฉินยาถึงถูกกู้เป่ยจับตัวไป?”
“สถานการณ์ความเป็นมาฉันก็ไม่รู้ คุณอย่าเพิ่งใจร้อน จิ่งห้าวกับเผยซวนกำลังคิดหาวิธีอยู่” ตอนแรกที่ไม่บอกเขา ก็เพราะว่ากลัวเขารีบร้อน ใจร้อนจนทำเรื่องราวอะไรที่ไม่อาจแก้ไขได้
“ผมจะไม่ใจร้อนได้ยังไง กู้เป่ยมันไม่ใช่คนดีอะไร” ซูจ้านเสียงแหบ “พวกคุณปิดบังผมได้ยังไง? ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ผม……จะทำยังไง?”
หลินซินเหยียนไม่รู้ว่าจะปลอบเขายังไง เธอดูเวลา เป็นช่วงเช้าแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีข่าวอะไรเลย ไม่รู้ว่าจงจิ่งห้าวกับกู้เป่ยคุยกันได้ยังไงบ้าง
“ผมไปหากู้เป่ย” ซูจ้านทำไม่ได้จริงๆ ไม่ทำอะไรเลย ให้รออยู่แบบนี้
ไม่ว่าใช้วิธีอะไร เขาต้องช่วยฉินยาออกมาจากมือของกู้เป่ยให้ได้
หลินซินเหยียนตะคอก “คุณสงบสติอารมณ์ก่อน”
เขาเองก็รู้ว่ากู้เป่ยไม่ใช่คนดี จะสามารถพูดง่ายขนาดนั้นแล้วปล่อยคน?
“ผมจะสงบสติอารมณ์ได้ยังไง” ซูจ้านตะโกนอย่างโมโห ตะโกนไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ร้อนไปหน่อย ความจริงทุกคนต่างก็รีบร้อน
“ขอโทษ…….”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ ฉันโทรถามสถานการณ์กับจิ่งห้าวละกัน” หลินซินเหยียนเรียกป้าหยู ให้เธอขึ้นไปเอามือถือของเธอลงมา
ซูจ้านยื่นมือถือของเขาให้เธอ “ใช้ของผมเถอะ”
เขาไม่โทรถามจงจิ่งห้าวแต่แรก ก็เพราะกลัวเขาจะไม่บอกตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงมาหาหลินซินเหยียนโดยตรง
หลินซินเหยียนมองเขาแล้วรับมือถือมา ซูจ้านปลดล็อกหน้าจอแล้ว เธอหาเบอร์ของจงจิ่งห้าวเจอแล้วกดโทรออก
เวลานี้จงจิ่งห้าวและเสิ่นเผยซวนใกล้ถึงคฤหาสน์แล้ว
เสิ่นเผยซวนเป็นคนขับรถ หันกลับไปดู “ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่โทษนาย กู้เป่ยพูดจาไม่น่าฟัง นายทนไม่ไหว ก็เป็นเรื่องปกติ”
จงจิ่งห้าวขมวดคิ้วแน่น แลกเปลี่ยนข้อเสนอกับกู้เป่ยคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เห็นเขาถ่วงเวลาก็รู้แล้วว่าเขาอาจจะมีความคิดอย่างอื่น
เขาไม่สามารถฝากความหวังไว้บนตัวกู้เป่ย “คนของนายสะกดรอยตามพี่สี่ได้หรือยัง?”
เสิ่นเผยซวนพูด “ฉันโทรศัพท์ถามดู”
ตอนที่จงจิ่งห้าวคุยกับเขา เขาก็ส่งข้อความให้ลูกน้องแล้ว ครั้งนี้สะกดรอยตามพี่สี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้แล้ว
ตอนที่เขาโทรศัพท์ มือถือจงจิ่งห้าวดังขึ้น เขาดูหน้าจอโชว์ว่าซูจ้านโทรมา ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมอีก ตอนที่ใกล้จะตัดสาย เขากดรับขึ้นมา
“ฮัลโหล”
จงจิ่งห้าวเอามือถือมาดูแน่ใจว่าหน้าจอโชว์ว่าเป็นเบอร์ซูจ้าน ทำไมถึงเป็นเสียงของหลินซินเหยียน?
เขาวางมือถือกลับไปแนบหูอีกครั้ง “ทำไมคุณถึงใช้มือถือซูจ้าน? เขาไปหาคุณเหรอ?”
หลินซินเหยียนตอบอืม “เขารู้หมดแล้ว ทางคุณสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
ตอบตกลงกับหลินซินเหยียนว่าจะพาฉินยากลับมา ผลลัพธ์คือทำให้สถานการณ์กับกู้เป่ยยิ่งตึงเครียด
ขณะที่จงจิ่งห้าวไม่รู้ว่าจะตอบหลินซินเหยียนยังไง เสิ่นเผยซวนหันไปมองเขาพูดว่า “พวกเขาสะกดรอยตามพี่สี่ถึงวัดหนานซานแล้ว”
“วัดหนานซาน?”
“ใช่ ดูแล้วเขาก็ไม่เหมือนคนไหว้พระกินเจ ไปที่นั่น…….”
ทั้งสองคนสบตากัน มีข้อสงสัยเหมือนกัน หรือว่าฉินยาจะถูกซ่อนไว้ตรงนั้น?
“อะไรวัดหนานซาน?” หลินซินเหยียนได้ยินเสียงของเสิ่นเผยซวน
“คุณให้ซูจ้านมาที่หน้าประตู” จงจิ่งห้าวพูด
หลินซินเหยียนบอกว่าได้
วางสายแล้ว เธอก็คืนมือถือให้ซูจ้าน บอกเขาว่าจงจิ่งห้าวให้เขาไปที่หน้าประตู
ซูจ้านรับมือถือไปแล้วก็ออกไป
เขาเดินไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ พอดีกับรถของเสิ่นเผยซวนก็ขับมาถึงคฤหาสน์ เขาจอดรถข้างซูจ้าน ลดกระจกลงพูดว่า “ขึ้นรถ”