ขณะที่เขากำลังจะสำเร็จ ทันใดนั้น ก็เบิกตากว้างมองฉินยาอย่างไม่อยากเชื่อ “เธอ……..”
ฉินยามือถือแท่นเทียน นำปลายแหลมที่ปักเทียนทิ่มไปที่หลังคือของเขา
“นางแพศยา กล้าทิ่มกูบาดเจ็บ” พี่สี่มือสองข้างบีบคอฉินยาไว้ ใช้แรงอย่างหนัก อยากบีบคอเธอให้ตาย
ฉินยาถูกบีบจนใกล้หายใจไม่ออกแล้ว แต่เธอไม่ได้ยอมแพ้ เธอจะตายไม่ได้ เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ อยู่อย่างสะอาด เธอจับแท่นเทียนไว้แน่น ท่าทางบ้าคลั่ง ใช้เรี่ยวแรงทั่วร่างอย่างเต็มที่ ใช้แท่นเทียนทิ่มไปบนร่างของเขาอย่างไม่หยุด ครั้งแล้วครั้งเล่า “อ้าก”
พี่สี่ร้องด้วยความเจ็บปวด ผู้ชายสองคนข้างนอกมองไปทางห้อง ทำเสียงจุ๊
คิดในใจว่าพี่สี่เล่นได้สนุกเกินไปก็ไม่ได้ใส่ใจ
แต่ทว่า พี่สี่เจ็บจนกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว ฉินยาทิ่มโดนเส้นเลือดใหญ่บนคอเขาสองครั้งจนเลือดไหลไม่หยุด เขาคิดว่าตัวเองจะตายแล้ว ร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
ฉินยาลุกขึ้นมาอย่างสงบสติอารมณ์ ดึงเก้าอี้ไม้ทรงยาวที่อยู่ด้านข้าง ทุบไปที่หัวของพี่สี่สองครั้ง พี่สี่ถูกทุบจนสลบ นอนอยู่กับพื้นอย่างแน่นิ่ง
สองคนนอกห้องเหมือนรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ไม่กล้าบุกเข้าไป กลัวทำลายความสุขของพี่สี่แล้วถูกเขาด่า ยืนถามอยู่หน้าห้อง “ท่านชายสี่?”
ฉินยาดึงเสื้อเข้ามาปิดตัว ยืนอยู่กับที่เพื่อตั้งสติสองวินาที แล้วตะโกนกับข้างนอก “เรียกทำไม อยากทำลายความสุขของเราเหรอ ไสหัวไป”
ผู้ชายาสองคนอึ้งไป จากนั้นก็ตบปากตัวเอง “คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้แรดขนาดนี้”
ฉินยาจ้องประตูอย่างตื่นเต้น ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไป ถึงได้โล่งใจ เธอพึงอยู่ที่ผนังห้องเอามือไว้กลางอกสูดหายใจอย่างแรง หัวใจเหมือนเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ กระตุกอย่างรุนแรง ถึงวินาทีนี้แล้วเธอรู้สึกไร้ที่พึ่ง หวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก
ไม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาร้องไห้ เธอต้องหาวิธีหนีออกไปให้ได้
สองวันที่ถูกขังไว้ในนี้ เธอรู้ดีว่าที่นี่โครงสร้างเดิมมันก็เป็นห้องเก็บของ ไม่ได้ทำหน้าต่าง มีเพียงช่องระบายอากาศด้านบนเท่านั้น เธอยกเก้าอี้ไปที่ขอบผนัง ซ้อนสองตัวไว้ด้วยกัน ก้าวขึ้นไปอย่างระมัดระวัง ปีนออกไปจากช่องระบายอากาศ ความสูงของช่องระบายอากาศกับกำแพงพอๆกัน เธอยื่นมือจับกำแพงไว้ ปีนออกไปจากห้องสำเร็จ อีกอย่างไม่มีคนพบเห็น
เธอเลื่อนลงไปจากกำแพงสูง ขาอย่างห่างจากพื้นอีกระยะหนึ่ง เพราะว่ากำแพงสูงมาก ขาของเธอไม่สามารถแตะพื้นได้ ทำได้เพียงปล่อยมือโดดลงไป ดีที่พื้นตรงนี้เป็นเดินแฉะ โดดลงมาแล้วเปื้อนดินโคลนตามตัว ไม่ได้บาดเจ็บ เวลานี้ภายในห้องมีความเคลื่อนไหว ดูเหมือนพบว่าเธอหนีไปแล้ว
เธอไม่ทันได้คิดอะไรมาก มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น รีบหนีออกไปจากที่นี่ เธอเปลือยเท้า วิ่งขึ้นเขาที่ไม่มีทางเดิน กลัวว่าจะถูกจับตัวกลับไป ถ้าหากถูกจับไปอีกครั้งเธอไม่มีวันมีโอกาสหนีอีกแน่นอน
เธอจะเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด กิ่งของพุ่มไม้เตี้ยบาดน่องของเธอเป็นรอยเลือด
ไม่รู้ว่าถูกอะไรบาดขา เธอเจ็บจนร้องซิ๊ด แต่ก็ไม่ได้หยุดยังคงวิ่งต่อไป
ภายในวัด เสิ่นเผยซวนและลูกน้องที่สะกดรอยตามพี่สี่พบหน้ากัน รู้ว่าพี่สี่ไปห้องเก็บของหลังวัด มาถึงหลังวัด เห็นว่าห้องเก็บของมีคนนั่งอยู่สองคน แน่ใจว่าฉินยาต้องถูกขังไว้ที่นี่แน่นอน มิเช่นนั้น คงไม่มีคนเฝ้าหน้าประตู
เสิ่นเผยซวนพาลูกน้องที่สะกดรอยตามพี่สี่ ล้มสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสำเร็จ
ซูจ้านวิ่งเข้าไปในห้องก่อน และแล้วในห้องมีโต๊ะอยู่หนึ่ง เลอะเทอะวุ่นวายไปหมดไม่เห็นเงาคนแม้แต่คนเดียว เขาขมวดคิ้วอย่างผิดหวัง
เสิ่นเผยซวนและจงจิ่งห้าวเดินตามหลังเข้ามา แต่ว่าเห็นสภาพห้องแล้ว ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเคยมีคนอยู่ และห้องด้านในก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ซูจ้านรีบเดินเข้าไป ยื่นมือผลัก แต่ผลักไม่ออก ตอนที่พี่สี่เข้าไปล็อกประตูจากด้านในแล้ว
ซูจ้านไม่พูดสักคำก็ยกเท้าขึ้นถีบ เสียงดังเคร้งคร้าง ประตูสองบานส่ายไปมา แต่ไม่ได้เปิดออก ด้านในเป็นกลอนประตูเหล็กล็อกไว้ ไม่ได้เปิดง่ายเหมือนประตูบานเดียว เสิ่นเผยซวนเดินมา ทั้งสองคนร่วมแรงกันถึงถีบจนประตูเปิด
ภาพที่เข้าสู่สายตานั้น ทำให้จิตใจของทั้งสองคนตะลึง พี่สี่นอนล่อนจ้อนอยู่กับพื้น บนร่างกายมีเลือดเต็มตัว ความจริงไม่ได้มีบาดแผลใหญ่ ล้วนเป็นแผลเล็กๆที่ฉินยาใช้แท่นเทียนทิ่ม แต่ว่าตอนนั้นเธอค่อนข้างโหด แผลก็เลยลึก พี่สี่หมดสติเป็นสักพัก เลือดก็ไหลจนเต็มตัว ดูแล้วก็บาดเจ็บไม่เบา ที่หนักที่สุดก็สองจุดตรงคอ
เสิ่นเผยซวนไม่สนว่าพี่สี่จะเป็นหรือตาย ที่สำคัญคือท่าทางเปลือยกายของเขา เห็นได้ชัดว่าเขามาหาฉินยาเพื่อจะทำอะไร…….
เขาหันไปมองซูจ้าน เห็นเพียงซูจ้านเนื้อตัวสั่น ใบหน้าด้านข้างจนถึงลำคอเกร็งจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นมา เหมือนถูกเติมลมสามารถระเบิดได้ตลอดเวลา
เขากำลังจะพูดปราม กลับเห็นซูจ้านหยิบเก้าอี้ข้างโต๊ะขึ้นมา พุ่งเข้าไปด้านหน้าพี่สี่ ทุบไปอย่างแรง ไม่ได้มีเสียงดังกึกก้อง มีเพียงเสียงกระดูกหักเบาๆ
เสิ่นเผยซวนเข้าไปดึงตัวเขา ไม่ใช่เพราะเห็นใจพี่สี่ ถึงจะต้องตาย ก็ไม่ใช่ให้มันตายแบบนี้ แบบนี้ดีกับมันเกินไป อีกอย่างเสียเวลา ตามหาฉินยาสำคัญกว่า
ไม่รู้ว่าพี่สี่ทำสำเร็จหรือไม่ เธอจะคิดสั้นหรือเปล่า ไม่ว่ายังไงหาคนให้เจอสำคัญที่สุด “นายสงบสติอารมณ์ก่อน ที่นี่ไม่มีฉินยา เธอต้องหนีออกไปแล้วแน่นอน นายดูเก้าอี้ข้างกำแพง ด้านบนมีช่องระบายอากาศ เห็นได้ชัดว่าออกไปจากตรงนั้น ตอนนี้หาเธอให้เจอสำคัญที่สุด”
ซูจ้านดวงตาแดงก่ำ เขาไม่พูดอะไรหมุนตัวก็วิ่งออกไปข้างนอก
จงจิ่งห้าวมองไปในห้องครู่เดียวก็ไม่มองแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดมาก พูดกับเสิ่นเผยซวนว่า “แจ้งความเถอะ”
เขาก็โทรศัพท์ให้กวงจิ้ง ให้เขาเรียกนักข่าวหลายคนมาที่วัดหนานซาน
เสิ่นเผยซวนให้ลูกน้องสองคนรอแจ้งความ พวกเขาไปหาคนที่หลังเขา
หลังเขานั้นเป็นภูเขาสูงป่าไม้แน่นหนา พุ่งไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด ไม่มีทางเดินเลย เพราะว่าฤดูร้อนกิ่งก้านเถาวัลย์เลื้อยพันกันไปทั่ว ใบไม้แน่นหนาเดินยากมาก
ซูจ้นเดินไปไกลแล้ว เดินไปด้วยตะโกนไปด้วย มือทั้งสองข้างก็ดึงเถาวัลย์ที่กีดขวางไปเลื่อย
ยิ่งเข้าไปในป่าลึกเข้าไปแสงก็ยิ่งมืดลง กิ่งก้านใบไม้แน่นหนาจนบดบังแสงสว่าง
“ฉินยา” ซูจ้านคอแหบ ยกมือเช็ดหน้า เช็ดรอยเปียกตรงหางตา
เขาเดินไม่หยุด ตะโกนไม่หยุด ทันใดนั้นพบว่ามีกิ่งไม้ที่หักแล้ว เขาก้มตัวลง ข้างบนยังมีน้ำไหลลงมาอย่างสดๆ ชัดเจนเลยว่าเพิ่งถูกหัก เขาสังเกตดูอย่างละเอียด บนพื้นมีเลือด ต้องมีคนเดินผ่านที่นี่แน่นอน
หาเบาะแสนี้เจอแล้ว เขาหาตามร่องรอย เขาไม่รู้ว่าหาไปนานแค่ไหน และไม่รู้สึกเหนื่อย แค่อยากหาฉินยาให้เจอเร็วที่สุด
แต่ทว่ากลับหาไม่เจอสักที เขาไม่ได้ยอมแพ้ ยังคงหาอย่างต่อเนื่องจากร่องรอยที่พบ มีร่องรอยก็มีความหวัง
เขาหันกลับไปมองทีหนึ่ง ถึงพบว่าตัวเองเดินมาถึงจุดลึกแล้ว รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้อย่างแน่นหนา ไม่เห็นแสงแดดเลยแม้แต่น้อย เขาตะโกนเสียงดัง “ฉินยา”
เสียงกึกก้องในเขา แต่ไม่มีการตอบสนอง
ไม่ว่ายังไง เขาก็ยอมแพ้ไม่ได้ ต้องรีบหาเธอให้เจอ เดินอยู่ดีๆเท้าก็เหยียบพลาดไป ร่างก็ล้มลงไป เลื่อนลงไปตามถ้ำหิน
เขาตกใจจนร้องอ้าก ไม่นานเสียงก็หายไป
ถ้ำลึกมาก
พื้นหินลื่นเกินไป ไม่สามารถดึงอะไรเกาะได้เลย เลื่อนลงไปโดยตรงจนถึงใต้ถ้ำ
เขาถูกสีจนปวดไปทั้งตัว พยุงร่างที่เจ็บปวดลุกขึ้นนั่ง พบว่าดูเหมือนที่นี่มีคน