แต่ว่าที่นี่ไม่มีน้ำเลย นอกจากก้อนหินและใบไม้แห้งเต็มพื้น อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเลย
ถ้าหากออกไปไม่ได้ เธอยังไข้ขึ้นเรื่อยๆผลลัพธ์นี้ซูจ้านไม่กล้าคิด
รอให้คนอื่นมาช่วย ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ สถานการณ์ตอนนี้ของฉินยารอต่อไปไม่ได้แล้ว เขาวางฉินยาลงเบาๆ เดินไปที่ปากถ้ำ แล้วมองขึ้นไป ปากถ้ำไม่ใช่ทางตรง ไม่สามารถมองเห็นข้างบนได้ แสงในถ้ำล้วนส่องมาจากช่องว่างแนวนั้น
เขามองดูฉินยาที่ล้มนอนอยู่ด้านข้าง พูดเสียงต่ำ “ผมต้องช่วยคุณออกไปให้ได้”
ถึงแม้ว่าเขาไม่กลัวความตาย แต่เขาจะให้ฉินยาตายไม่ได้
เขาถอดเสื้อและรองเท้าออก ผิวหนังและผนังถ้ำสัมผัสกันสามารถเพิ่มแรงต้านทานได้ แบบนี้สามารถช่วยให้เขาปีนบ่ายได้ เพราะว่าถ้ำแบนราบ เขาใช้สายตาวัดระยะ เอียงตัวขาทั้งสองข้างมีโอกาสดันผนังถ้ำสองด้านแล้วปีนขึ้นไปได้
แต่ทว่าเมื่อปฏิบัติจริงแล้ว พบว่าระยะห่างนั้นไม่เท่ากัน ยิ่งขึ้นไประยะห่างยิ่งกว้าง ขาสองข้างของเขาไม่สามารถดันระยะห่างนี้ได้ ถึงแม้จะขยับไปริมสุดก็ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้
เวลาเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ไม่ได้กินอะไรเลย เรี่ยวแรงก็ไม่ดีอยู่แล้ว ร่างกายอ่อนเพียงเล็กน้อย ก็ลื่นลงมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ แต่ว่าลองอย่างไม่ยอมหยุด แต่ว่าก็ร่วงลงมาทุกครั้ง
ฉินยาระหว่างสะลึมสะลือ เหมือนเห็นร่างคนร่างหนึ่ง ปีนป่ายอยู่ปากถ้ำ ขึ้นไปลงมา ขึ้นไปลงมา ครั้งแล้วครั้งเล่า เธออยากพูดประโยคหนึ่งว่าอย่าเสียแรงสูญเปล่าเลย แต่ว่าเธอไม่มีแรงจริงๆ
ตอนที่ถูกขังเธอกลัวว่าอาหารที่ให้เธอกินถูกวางยาอะไรพวกนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่กล้ากินอะไร บวกกับไข้ขึ้นด้วย เธอจึงไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
อยากจะห้ามปรามก็มีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง
เรี่ยวแรงของซูจ้านล้มลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ใช้หมดแล้ว เขาหมดแรงแล้ว เงยหน้าอย่างสิ้นหวัง
เขาตายก็ตายเลย แต่ว่าฉินยาจะทำยังไง?
เธอหนีรอดจากความตาย เปลี่ยนโฉมหน้า เปลี่ยนเสียง มีชีวิตอยู่อย่างไม่ง่ายเลย หรือจะต้องตายอยู่ที่นี่เหรอ?
ไม่รู้ว่าคือเหงื่อ หรือว่าน้ำตา ไหลลงมาจากหางตาเขา
ทำยังไงดี?
เขาหันหน้าไปดีฉินยา ฉินยาหรี่ตาเล็กน้อย เหมือนดูผ้าบางๆปิดตาไว้ เธอดูสภาพของซูจ้านไม่ชัด เป็นเพียงรูปร่างเลือนลาน
เธอเห็นร่างนั้นคลานมาทางเธอ ยื่นมือปัดผมที่บังอยู่ตรงหน้าผากของเธอ พูดกับเธอด้วยเสียงแหบ “ความจริงผมไม่กลัวตายแม้แต่น้อย สามารถตายพร้อมกับคุณก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ได้อยู่กับคุณ แต่ว่า ผมไม่อยากให้คุณตาย”
ฉินยามองเขา เห็นเขาน้ำตาไหล ร้องไห้เหมือนกับเด็ก
“ตลอดมาที่ไม่ได้เล่าเรื่องพ่อแม่ของผมให้คุณฟัง ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจคุณ และไม่ใช่เพราะผมไม่รักคุณ แต่เพราะว่าผม……..ทุกครั้งที่คิดถึง ก็จะถูกฝันร้ายรบกวนอยู่นานมาก แต่ว่าตอนนี้ผมอยากเล่าให้คุณฟัง ผมกลัวว่าจากนี้ไปแม้แต่โอกาสถูกฝันร้ายก่อกวนก็ไม่มีแล้ว ผมกลัว ว่าจะไม่สามารถสารภาพความในใจของผมกับคุณอีก”
เขาเช็ดหน้า “ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นผมอายุเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมตั้งใจลืมเรื่องเมื่อก่อน ก็เลยลืมตัวเองในตอนนั้นไป
แม่ของผมหักหลังพ่อผม ผมเห็นกับตาว่าเธอพาผู้ชายคนอื่นกลับบ้าน ในห้องของเธอและพ่อผม……”
ซูจ้านก้มหน้า ฉินยามองไม่เห็นสีหน้าของเขา จึงรู้สึกได้แค่ความไร้หนทางและเกลียดชังของเขาในตอนนั้น
อาจจะไร้หนทางเพราะผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเขา เกลียด เกลียดความไร้ยางอายของเธอ
ซูจ้านไม่เคยพูดกับใครเลย แม้แต่เสิ่นเผยซวนและจงจิ่งห้าวก็ไม่รู้ประวัติอันไม่ควรให้คนรู้นี้
รู้แค่ว่าเขาถูกเลี้ยงมาด้วยคุณย่า
พ่อแม่เสียแต่เด็ก
“ผมเห็นหลายครั้งมาก ชีวิตแบบนั้นต่อเนื่องอยู่ครึ่งปี ผมเกลียดที่มีแม่แบบนี้ แต่ผมเลือกไม่ได้ว่าจะออกมาจากท้องของผู้หญิงแบบไหน เรื่องแบบนี้สักคนก็ต้องมีคนพบเห็น ผมคิดไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาเร็วขนาดนี้ เร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน เร็วจนทำให้ชีวิตผมพลิกผัน
ผมก็มารู้ทีหลัง ครั้งนั้นบริษัทพ่อของผมยกเลิกการเดินทางไปทำงานของเขากะทันหัน กลับบ้านก่อนเวลา พบเรื่องของแม่ผม จับได้แม่ของผมและชายชู้อยู่บนเตียงคาหนังคาเขา ตอนนั้นเขาน่าจะโมโหมาก ถึงได้เอามีด…….เขาพลั้งมือฆ่าหญิงชั่วชายเลวคู่นั้น
ผมเลิกเรียนกลับบ้าน ก็เห็นเขาถือมีดวางอยู่ที่คอของตัวเอง พอเห็นผม เขาก็น้ำตาท่วมหน้าบอกว่าขอโทษ…….
ผมเห็นกับตาว่าเขาฆ่าตัวตายต่อหน้าผม เขาฆ่าคนเพียงแค่ว่าถูกทำให้เจ็บปวดเกินไปจนวู่วามชั่วขณะ พอได้สติแล้ว เสียใจก็ไม่ทันแล้ว”
“คนเดียวที่ผมเคยพูดก็คือหลิวเฟยเฟย ตอนนั้นผมชอบเธออย่างจริงใจ หลังจากนั้นเธอบอกไปก็ไปเลย พอจากไปก็สิบปี แต่สิบปี ผมคิดว่าผมยังปล่อยวางไม่ได้ ความจริงมันเปลี่ยนเป็นความเจ็บใจไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ความอาลัยอาวรณ์ ไม่ใช่เพราะยังมีเยื่อใยกับเธอ เพียงแค่เจ็บใจที่ตอนนั้นเธอจากไปโดยไม่บอกลาเท่านั้น”
หลังจากที่ได้เจอเธอใหม่ แม้แต่ความเจ็บใจในสิบปีนี้ผมก็ไม่มีแล้ว ผมเคยคิดว่า ถ้าเจอเธอ ผมจะถามเธอยังไง ด่าทอการไร้ความรับผิดชอบของเธอ แต่ว่าผมไม่มี เพราะว่าหลังจากผมได้เจอคุณแล้ว แม้แต่ความไม่พอใจอันน้อยนิดก็ไม่มีแล้ว”
“ได้อยู่กับคุณ ผมดีใจมาก มีความสุขมาก ผ่อนคลายมาก ความจริงผมเคยมีอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะบอกคุณ แต่ว่าผมก็กลัว กลัวคุณรังเกียจผมในแบบนั้น ผมกลัว ที่ให้คุณเห็นเรื่องแสนสาหัสในอดีตของผม เมื่อก่อนผมรู้สึกว่าหลิวเฟยเฟยก็เพราะรังเกียจผมในแบบนั้น ถึงได้จากไปโดยไม่บอกลา ผมกลัว ผมกลัวคุณก็จากผมไป เพราะฉะนั้นผมไม่กล้า”
“ความจริงผมไม่เสียงใจที่ไม่แบ่งปันเรื่องราวของผมให้คุณฟัง โลกของผมมันมืดมิดเกินไป”
พูดตอนนี้ เพียงแค่เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะตายที่นี่ก็ได้ ก่อนตาย สารภาพกับเธอ
ฉินยาสลบไป หลังจากนั้นเขายังพูดอะไรอีกก็ไม่ได้ยินแล้ว
ซูจ้านกอดร่างที่สลบของฉินยา เขาก้มหน้าจูบหน้าผากของเธอ หัวเราะพูดว่า “สวรรค์ก็เข้าข้างผมเหมือนกันใช่ไหม คุณไม่ยอมอภัยให้ผม แต่กลับให้พวกเราตายพร้อมกัน”
“คั๊ก”
เวลานี้มีเสียงดังมาจากปากถ้ำ ตามมาด้วยเสียงเสียดสี ไม่นานก็มีคนร่วงลงมาก
ซูจ้านเบิกตามองผู้ชายในชุดลายพรางคนหนึ่งร่วงลงมาในตำแหน่งที่ห่างจากเขาไม่มากนัก
เขาอึ้งไปก่อนหนึ่งวินาที วินาทีต่อมาเขาก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา เหมือนกับเจอผู้ช่วยชีวิต
“คุณมาหาพวกเราเหรอ?” ซูจ้านถามอย่างตื่นเต้น
ผู้ชายจับเอวไว้หันหน้ามาดู พยักหน้า “พวกเรามาหาคน คุณคือซูจ้าน?”
ซูจ้านพูดอย่างตื่นเต้น “ผมคือซูจ้าน คุณเร็วๆหน่อย เธอไข้ขึ้นสูง สลบไปแล้วต้องรีบส่งโรงพยาบาล”
ผู้ชายในชุดลายพราง สังเกตมองในถ้ำรอบหนึ่ง พูดอย่างไม่รีบร้อน “อย่าใจร้อน เพื่อนร่วมทีมของผมจะแจ้งคนมาช่วยพวกเราเอง”
“คนสลบไปแล้ว ผมจะไม่ใจร้อนได้ยังไง?” ซูจ้านตะโกน
ผู้ชายหัวหดเล็กน้อย คิดในใจว่านิสัยคนนี้ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้?
เขาพูดอย่างใจเย็น “ที่นี่ปีนขึ้นไปได้ไหม?”
ซูจ้านจ้องเขา “ถ้าสามารถปีนขึ้นไปได้ ผมยังจะรอคนมาช่วยเหรอ?”
“งั้นก็ใช่แล้วไง ปีนขึ้นไปไม่ได้ จึงทำได้แค่รอคนมาช่วย คุณเร่งผม ผมจะไปมีวิธีอะไร?” ผู้ชายหยิบน้ำออกจากกระเป๋าพกพาของเขา ยื่นให้ซูจ้าน “คุณป้อนเธอดื่มหน่อย เพื่อนร่วมทีมของผมน่าจะเรียกคนมาช่วยพวกเราอย่างเร็ว”