หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์เดินออกจากห้องทำงานและปิดประตู
จงจิ่งห้าวเดินเข้ามานั่งข้างเธอ “ผมคิดว่าที่เขาพูดมีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นเราถือโอกาสนี้…”
“ตอนนี้เหมาะสมหรอ?” หลินซินเหยียนตัดบทเขา “อย่าว่าแต่เรื่องในมือของคุณยังจัดการไม่เรียบร้อยเลย ท้องนี้เองแม้แต่ชุดแต่งงานก็สวมไม่ได้แล้ว”
“ผมให้คนทำไซส์ใหญ่ให้คุณ ส่วนเรื่องของกู้เป่ย หรือว่าไม่เอาเขาไปลงโทษตามกฎหมายสักวันหนึ่งพวกเราก็ไม่จัดงานแต่งงานสักวันแล้ว?” จงจิ่งห้าวตัดสินใจแล้ว เขาไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วก็อยากให้เธอและลูกๆมีสถานะที่ชัดเจน
ลูกชายลูกสาวอีกไม่นานก็จะเข้าประถมแล้ว สถานะไม่ชัดเจนจะถูกคนครหาเอาได้
“แต่…”
“ครั้งนี้เชื่อฟังผม” ท่าทางของเขาแน่วแน่ผิดปกติ ปฏิเสธไม่ได้ง่ายๆ “คุณไม่คิดถึงตัวเอง แต่ลูกคุณต้องคิดถึง พวกเขาต้องการสถานะที่ชัดเจนเพื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้คน”
หลินซินเหยียนหลับตาลง ความหมายของจงจิ่งห้าวเธอเข้าใจดี เพียงแต่บาดแผลของฉินยายังไม่หายดี เรื่องของกู้เป่ยก็ยังจัดการไม่เสร็จ ช่วงวิกฤตแบบนี้จัดงานแต่งงานไม่ใช่เวลาที่ดี
แต่ว่าที่จงจิ่งห้าวพูดก็มีเหตุผล ลูกทั้งสองคนต้องการสถานะ ตัวเธอเองจะถูกคนพูดว่าอะไรก็ไม่เป็นไร แต่ว่าลูกทั้งสองคนนั้นไม่ได้
มันจะทำให้พวกเขาเดือดร้อน หากร้ายแรงอาจจะกระทบถึงสภาพจิตใจของพวกเขา
เธอหลุบตาต่ำลง “ฉันเชื่อฟังคุณ คุณจัดการเถอะค่ะ”
จงจิ่งห้าวอืมเบาๆ เอื้อมมือหยิบเส้นผมของเธอขึ้นมาช่อหนึ่ง เกี่ยวอยู่ในนิ้ว “ผมจะให้พ่อเลือกวันดีๆให้เรา”
บิดาของหลินซินเหยียนไม่อยู่แล้ว เขาก็เหลือแค่บิดา จัดงานแต่งงานต้องมีผู้อาวุโสอยู่ด้วยถึงจะเป็นทางการ วันแต่งก็ต้องพิถีพิถัน ถึงแม้เขาจะไม่ได้งมงาย แต่ว่าก็อยากเลือกวันมงคลเพื่อจัดงานแต่งงานที่เขาอยากจะจัดให้หลินซินเหยียนมาโดยตลอด
เขาคิดในใจว่าจัดงานที่ไหนถึงจะเหมาะที่สุด
แต่ว่าอารมณ์ของหลินซินเหยียนเหมือนจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนต่างเฝ้าใฝ่ฝันถึงงานแต่งงานของตัวเองไม่มากก็น้อยงั้นหรอ?
เพราะอะไรเธอถึงไม่มี?
“คุณไม่มีความคิดเห็นอะไรเลยหรอ?”
หลินซินเหยียนเอามือของเขาออก ให้เขานิ่งๆหน่อย อีกเดี๋ยวเลขาเข้ามาเห็นเข้ามันจะไม่ดี เธอตอบอย่างจริงจัง “มีสิ แต่นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ชินกับคุณแล้วน่ะ”
แม้จะไม่จัดงานแต่งงาน เธอก็เห็นจงจิ่งห้าวเป็นสามีแล้ว
ตอนที่ตัวเองยังเด็กเริ่มรู้จักความรัก เคยฝันไว้ ว่าเจอผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาว จากนั้นก็แต่งตัวสวยๆแล้วจับมือกับเขา เดินเข้างานแต่งงานในพระราชวัง
ให้กำเนิดลูกๆและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนคนปกติทั่วๆไป แต่ว่าต่อมาเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมากมาย ขายตัวเอง ตั้งท้อง แต่งงานกับเขา
ความฝันที่สวยงามทั้งหมดของเธอพังทลายไปนานแล้ว เธอที่เป็นแบบนั้นได้สูญเสียคุณสมบัติที่จะมีความรักไปหมดแล้ว
ต่อมาพอคลอดลูกออกมา ก็ประคองทั้งครอบครัวตัวคนเดียว เพื่อไม่ให้จวงจื่อจิ่นเป็นห่วง เธอเลยไม่นำความรู้สึกใดๆกลับมาบ้าน
แล้วก็แอบร้องไห้เงียบๆตอนกลางดึก
เธออายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปี แต่ว่าประสบการณ์กลับยาวราวกับผ่านมาครึ่งชีวิต
ตอนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่สุดก็อดทนผ่านมาแล้ว สภาพจิตใจตอนนี้สงบนิ่งราวกับคนอายุสี่สิบห้าสิบปี ไม่มีอารมณ์อยากอวดคนอื่นมาตั้งนานแล้ว
เข้าใจชีวิต ความรักที่ร้อนแรงสักแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่จืดจางลง
สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ต่างฝ่ายต่างยังคงรักกันอย่างลึกซึ้งถึงจะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด
“ไปเมืองCไม่นาน ฉันเจอขอทานขอเงินอยู่ข้างถนนคนหนึ่ง เสื้อผ้าของเขาสกปรกจนมองรูปร่างเดิมไม่ออก ไม่รู้ว่าสวมมานานแค่ไหน ผมเผ้ากระเซิงแห้งกร้านอย่างกับฟาง รอยเหี่ยวย่นเต็มหน้า มักจะนั่งอยู่ที่เดิม บางทีก็หัวเราะโง่ๆ บางทีก็ร้องไห้หนักหน่วง คนแถวนั้นมักจะผลัดกันเอาของกินมาให้เขา ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นคนบ้า ต่อมาฉันได้ฟังมาจากคนแถวนั้น ถึงรู้ว่า เขาเป็นโรคทางใจ”
เธอหันหน้าไปมองจงจิ่งห้าว “เขากลายเป็นแบบนั้น เป็นเพราะว่าภรรยาของเขาคลอดบุตรยากตกเลือดจนเสียชีวิต หนึ่งศพสองชีวิต หลังจากนั้นเขาก็บ้าไปเลย”
ขอทานที่นั่งอยู่ข้างถนน ก็คือแถวๆเวิร์คช็อปงานปักที่ช่าวหยุนเช่าให้เธอตอนแรกๆ เป็นทางที่เธอต้องผ่านไปเวิร์คช็อปงานปัก ทุกครั้งที่ไปเวิร์คช็อปงานปักก็มักจะเห็นขอทานคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น มีวันหนึ่งเธอผ่านไปขอทานคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ช่าวหยุรบอกว่าเขาตายแล้ว เป็นมะเร็งไม่ได้รักษา
ตอนนั้นเธอคิดว่า โชคชะตาทำไมโหดร้ายขนาดนี้ ให้คนคนหนึ่งทั้งชีวิตต้องพบเจอแต่เรื่องเลวร้าย
ดังนั้นเธอจึงต้องการเพียงให้ทุกคนที่เธอห่วงใยปลอดภัยแข็งแรง ตัวเองก็เช่นกัน “ฉันไม่อยากสูญเสียคนที่รักไป แล้วก็ไม่อยากให้คนที่รักสูญเสียฉันไปเหมือนกัน”
ความรู้สึกอย่างกะทันหันของเธอทำให้จงจิ่งห้าวตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ
“ผมไม่มีทางเป็นบ้า คุณเองก็จะไม่จากผมไป” จงจิ่งห้าวโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด หยิกใบหน้ารูปไข่ของเธอ “ตลอดทั้งวันในหัวคิดอะไรอยู่?”
หลินซินเหยียนตีมือเขา “มันเจ็บนะ”
จงจิ่งห้าวทำเสียงกลืนอึกหนึ่งอย่างเย็นชา “คุณรู้จักเจ็บด้วย? ต่อไปถ้าคิดอะไรไร้สาระอีก ผมจะ…”
“คุณจะทำอะไร?” หลินซินเหยียนจับเนคไทของเขา ดึงเข้ามาหาตัวเอง จงจิ่งห้าวนั่งตัวตรง หลังตรงแข็ง มั่นคงมาก “ตอนนี้ก็รังแกฉันแล้วหรอ? งานแต่งงาน คุณไปหาคนอื่นมาเป็นเจ้าสาวเลยไป”
จงจิ่งห้าวถูกความไร้เหตุผลของเธอทำให้หัวเราะ “คุณจะรัดคอผมตายแท้ๆ จะเป็นผมรังแกคุณได้ยังไง?”
หลินซินเหยียนใช้ความไม่สบาย เอนตัวลงไปนอนลงบนหมอนในโซฟาที่อยู่บนต้นขาตักของเขา ดึงเนคไทของเขาเข้ามาเล่นในมือ “คุณรังแกฉันแน่นอน ยังไงฉันก็ไม่ชนะคุณหรอก คุณสูงกว่าฉันตั้งเยอะ หนักกว่าฉัน แขนก็หนากว่าฉัน”
จงจิ่งห้าวยิ้ม น้ำเสียงนุ่มลึกลากยาว “ต่อไปผมจะยอมให้คุณ”
หลินซินเหยียนรู้สึกสนอกสนใจ “ตีก็ไม่โต้ตอบด่าก็ไม่เถียงกลับหรอ?”
“ไม่ใช่”
หลินซินเหยียนมองข้างบนด้วยดวงตาสีดำและถามว่า “ถ้างั้นคืออะไร?”
เขายิ้มอ่อนๆ “ผมให้คุณอยู่ข้างบนผม”