จงเหยียนเฉินกลั้นขำไว้แล้วถามออกไป“ดึงขนทั้งตัวออกมาหมดเลยหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ จะถอนให้เกลี้ยงเลย เอาให้เกลี้ยงเหมือนกับไก่ไร้ขน เพราะไก่ไร้ขนมันน่าเกลียด คนก็เลยไม่ชอบ”จงเหยียนซีพูดด้วยท่าทางจริงจัง
จงเหยียนเฉินกระแอมออกมา ในใจก็ได้แต่คิดว่าถ้าถูกดึงขนออกมาหมด ก่อนอื่นเลยคือมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะดูดีหรือดูน่าเกลียด แต่แค่ควรจะคำนึงถึงว่าไก่ตัวนั้นที่โดนถอนขนจนเกลี้ยงจะยังมีชีวิตรอดอยู่ไหมต่างหาก
“ถ้าพ่อมาได้ยินเข้า เธอว่าพ่อจะโกรธไหม?”จงเหยียนเฉินกลั้นขำสุดชีวิต แม้จะเห็นแค่ด้านหลังก็พอจะเดาได้แล้วว่าตอนนี้สีหน้าของจงจิ่งห้าวย่ำแย่แค่ไหน
“ถ้าพี่ไม่ฟ้อง พ่อก็คงไม่ได้ยินหรอก”จงเหยียนซีพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเหมือนกับว่าเข้าใจจงจิ่งห้าวดียังไงยังงั้นเลย
จงเหยียนเฉินต้องเอามือกุมท้องไว้แน่นถึงจะกลั้นขำไว้ได้“เธอแน่ใจได้ยังไง?”
“พ่อน่ะเป็น‘คนยุ่งแห่งชาติ’เขาคงไม่มีเวลามาสนใจพวกเราหรอก ฉันกำลังคิดว่าหรือพวกเราจะไม่ใช่ลูกของเขากันนะ?”
จงเหยียนซีคิดในใจว่าถ้าเป็นพ่อแท้ไป ทำไมถึงไม่มีเวลามาอยู่กับพวกเขาเลย?
ในที่สุดจงเหยียนเฉินก็ขำพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้
จงเหยียนซีไม่เข้าใจก็เลยหันไปถาม“พี่หัวเราะอะไร……”
ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนไปทันที“พะ……พ่อ”
จงเหยียนซีเลิ่กลั่กจนทำอะไรไม่ถูก
จงจิ่งห้าวดึงหน้าไว้แล้วถามขึ้น“ไปเรียนคำพูดพวกนี้มาจากไหนกัน?”
“คะ……คุณพ่อได้ยินหมดแล้วหรอคะ?”จงเหยียนซีได้แต่คิดในหัวว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทำไม่เธอถึงไม่รู้สึกตัวเลย?
ถ้ารู้สึกตัวได้ก็คงไม่พูดคำพวกนี้หรอก
“เอ่อคือ คุณพ่อคะ”จงเหยียนซีกอดขาเขาไว้แล้วทำท่าออดอ้อน“คุณพ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่?ทำไมหนูถึงไม่ได้ยินเลย?”
“ถ้าลูกได้ยิน พ่อก็คงจะไม่ได้ฟังลูกพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมแบบนี้น่ะสิ”จงจิ่งห้าวยังคงดึงหน้าไว้
จงเหยียนซียังคงยิ้มแล้วกอดรัดแน่นขึ้นอีก จากนั้นก็ตั้งใจทำเสียงจีบปากจีบคอให้มันดูน่ารัก“คุณพ่อขา หนูรักพ่อมากจริงๆนะคะ หนูก็แค่กลัวว่าจะเสียพ่อไป กลัวว่าจะมีคนมาแย่ง”
ถึงจะโกรธ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่สวยงามของลูกสาวเขาก็โกรธไม่ออก แต่เพื่อให้ลูกจำไว้เป็นบทเรียนเขาจึงยังคงทำหน้าเย็นชาไว้“บอกพ่อมาว่าได้ยินมาจากไหน?”
จงเหยียนซีก้มหน้ามองนิ้วมือตัวเองแล้วเบ้ปากพูดขึ้น“ทั้งหมดล้วนมาจากในละครค่ะ”
“จากนี้ไปห้ามดูอะไรไรสาระพวกนั้นอีก”จงจิ่งห้าวพูดอย่างเข้มงวด
“ได้ค่ะ ได้ค่ะ ตั้งแต่นี้ไปจะไม่ดูแล้ว คุณพ่ออย่าโกรธเลยนะคะ”จงเหยียนซียื่นมือออกไปทั้งสองข้าง“คุณพ่อไม่ได้กอดหนูมานานมากแล้ว กอดหนูหน่อยสิคะ หนูคิดถึงคุณพ่อ”
จงจิ่งห้าวทั้งโกรธทั้งขำ“พวกเราก็เจอหน้ากันอยู่ทุกวันไม่ใช่หรอ?”
“ถึงเจอก็คิดถึงค่ะ คุณพ่อรอหนูวาดรูปนี้เสร็จก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวหนูจะวาดรูปเหมือนคุณพ่อให้เป็นคนแรกเลย”จงเหยียนซีพูดอย่างจริงจัง
สีหน้าที่ดูจริงจังของลูกสาวเอาชนะความโกรธของจงจิ่งห้าวได้จนหมด
เขาก้มลงไปอุ้มลูกสาวแล้วตบก้นเธอเบาๆ“เลิกทำให้พ่อปวดหัวซักที จากนี้ไปห้ามดูทีวีเลยนะ”
“ดูการ์ตูนได้ไหมคะ?”จงเหยียนซีถามเสียงเบา
“ถ้าพ่อบอกว่าไม่ ลูกก็จะไม่ดูหรอ?”
“ถ้าพ่อไม่ให้หนูดู หนูก็จะไม่ดู ถึงดูก็จะแอบดูไม่ให้พ่อรู้หรอก ฮี่ๆ”จงเหยียนซีทำหน้าทะเล้นแล้วเข้าไปจุ๊บที่หน้าของคุณพ่อ“พ่อตีหนูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
จงจิ่งห้าวถูกลูกสาวแหย่จนหัวเราะออกมา“ลูกนี่นับวันยิ่งทำให้พ่อกังวลมาขึ้นเรื่อยๆเลยนะ”
“คุณพ่อวางหนูลงก่อน หนูยังวาดรูปไม่เสร็จเลย”วันนี้เธอให้ความสนใจกับมันมาก เพราะงั้นเลยตั้งใจว่าจะวาดให้เสร็จ
จงจิ่งห้าวบีบแก้มของลูกสาวเบาๆแล้วปล่อยเธอลง
จงเหยียนซีวิ่งไปที่หน้ากระดานวาดรูปแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาวาดภาพที่ยังวาดไม่เสร็จต่อ จงเหยียนเฉินวางหนังสือลง“พ่อครับ พวกเราเล่นหมากรุกนานาชาติด้วยกันดีไหม?”
จงจิ่งห้าวประสานมือไว้แล้วมองลูกชายด้วยท่าทีเรียบเฉย“พ่อกลัวว่าถ้าลูกแพ้ลูกจะร้องไห้งอแงอีก”
จงเหยียนเฉินเกาหัวด้วยความเขิน ก่อนหน้านี้เขารับไม่ได้ที่แพ้จึงรู้สึกโกรธ
แต่ตอนนี้เขาคิดออก และเข้าใจแล้ว
ถึงแม้ตอนนี้ฝีมือและเทคนิคของเขาจะยังไม่ดีมาก แต่จากนี้ไปเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น
“ไม่ร้องหรอก”จงเหยียนเฉินพูดอย่างแน่วแน่
จงจิ่งห้าวเดินมานั่งลงบนพื้น“เอาสิ”
จงเหยียนเฉินเปิดกระดานหมากรุกที่พึ่งซื้อมาใหม่ออกมาอย่างดีอกดีใจ ทั้งสองแบ่งฝ่ายเป็นฝั่งหนึ่งสีดำอีกฝั่งหนึ่งสีขาว
ครั้งนี้จงเหยียนเฉินก็ยังคงแพ้เหมือนเดิม แต่ว่าก็ยังมีการพัฒนาเพราะสามารถยืนหยัดอยู่ได้สองสามรอบ
ฟ้าเริ่มมืด จงเหยียนซีวาดรูปเสร็จแล้ว ซึ่งในขณะเดียวกันก็ถึงเวลาทานมื้อค่ำพอดี จงจิ่งห้าวหยุดเล่นหมากรุกกับลูกชาย แล้วลุกไปเก็บของกลับไปที่บ้าน
ที่บ้านได้เตรียมกับข้าวมื้อเย็นไว้ครบหมดแล้ว ขณะที่ป้าหยูกำลังจะออกมาเรียกพวกเขาก็เห็นว่าพวกเขาเดินกลับมาพอดี หล่อนรีบเข้าไปรับของในมือของจงจิ่งห้าวแล้วยิ้มพูดขึ้น“ไปล้างมือกินข้าวกันเถอะ”
อาหารมื้อเย็นวันนี้คุณน้าหวางกับหลินซินเหยียนเป็นคนเตรียม ฉินยาไม่ได้กลับไปที่ห้อง ซูจ้านก็ยังไม่ตื่น ที่ครัวได้แบ่งอาหารไว้ให้เขาแล้ว แถมคุณน้าหวางยังต้มซุปแก้เมาค้างให้อีก เพื่อที่พอเขาตื่นขึ้นจะได้ทานเลย
จเหยียนซีเอารูปที่ตัวเองวาดยื่นให้หลินซินเหยียนดูแล้วถามออกไปว่ามันดีไหม
การวาดรูปของลูกสาวถือว่าพัฒนาขึ้นมาก เธอจึงเอ่ยชมอย่างไม่ลังเล“วาดเหมือนของจริงเลย นับวันยิ่งเก่งใหญ่แล้วนะ เยี่ยมจริงๆ ไปล้างมือกินข้าวกัน”
หลังจากที่ได้รับคำชมจงเหยียนซีก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที เเอารูปในมือวางลงแล้วไปล้างมือ จากนั้นก็ปีนขึ้นมานั่งบนโต๊ะเพื่อรอทานข้าว
หลินซินเหยียนตั้งใจทำซุปเป็นพิเศษ เธอตักให้ทั้งลูกสาวและลูกชายคนละถ้วย จงจิ่งห้าวมองซุปของลูกสาวกับลูกชายแล้วถามขึ้น“ไม่มีของผมหรอ?”
ไม่ใช่เพราะตะกละ แต่หลักๆเพราะเขาได้ยินว่าหลินซินเหยียนเป็นคนทำมากกว่า
เดิมหลินซินเหยียนก็กำลังจะตักให้เขานั่นแหละ แต่พอถูกถาม จึงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ เธอตักไว้หนึ่งถ้วยแล้วเอาวางลงตรงหน้าเขา“จะลืมคุณได้ยังไง?”
จงจิ่งห้าวหัวเราะออกมาเบาๆ
เท้าของฉินยาเริ่มดีขึ้นแล้ว เธอจึงมาร่วมโต๊ะทานอาหารด้วย แต่ดูเหมือนเธอจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังไงไม่รู้ หลินซินเหยียนยกถ้วยซุปที่ตักไว้มาวางอยู่ตรงหน้าเธอ“คิดอะไรอยู่หรอ?”
“ไม่ได้คิดอะไรนี่นา”พอฉินยารู้สึกตัวก็จะตักซุปทานทันที หลินซินเหยียนรีบห้ามหล่อนไว้“มันร้อนนะ เดี๋ยวรอมันเย็นอีกหน่อยค่อยทาน ทำไมถึงใจลอยแบบนี้ล่ะ?”
“ไม่ได้ใจลอยซักหน่อย”ฉินยาปฏิเสธ
หลินซินเหยียนดูออกแต่ไม่พูดออกมา เธอยิ้มให้แทน
คุณน้าหวางเป็นคนเก็บถ้วยชามบนโต๊ะมื้อค่ำ ส่วนป้าหยูไปช่วยอาบน้ำให้เด็กๆ จงจิ่งห้าวจูงมือหลินซินเหยียนขึ้นไปชั้นบนตั้งนานแล้ว เขาไม่ให้เธอทำอะไรทั้งนั้น เอาแต่กอดเธอไว้
ซูจ้านงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เขารู้สึกคอแห้งจึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำ หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปเขาก็รู้สึกเบลอๆ พอดื่มน้ำไปแก้วหนึ่งก็เหมือนจะสร่างเมาขึ้นมาหน่อย จากนั้นถึงเห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ไม่นานก็คิดออกว่าฉินยาก็อยู่ที่นี่ เขาจ้องไปที่ห้องของเธอ จากนั้นก็วางแก้วชาลง เขาเดินตรงไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะนี่ตอนกลางคืน บริเวณรอบๆมันจึงเงียบเป็นพิเศษ เขารู้แก่ใจโดยทันทีว่าฉินยาคงเข้านอนแล้ว ถ้าเขาไปดู เธอคงไม่เห็นเขาหรอก เพราะงั้นเขาจึงผลักประตูห้องของฉินยาเข้าไปเบาๆ