ฉินยาไม้แม้แต่จะหันไปมองเขา เธอเอามือเท้าคางไว้ข้างเดียวพร้อมกับทำท่าเฉยเมย“ป้าไม่สนิทกับเขา”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็บ่งบอกได้เลยว่านี่คือเส้นแบ่งเขตระหว่างคนสองคน
ซูจ้านรู้สึกเจ็บใจ ทว่ายังคงยิ้มออกไปได้“พวกเราเป็นคนแปลกหน้าที่สนิทกันสินะ?”
ฉินยายิ้มแล้วถามกลับ“พวกเราเคยสนิทกันด้วยหรอ?ทำไมฉันไม่เห็นจำได้เลย?”
เมื่อเปรียบเทียบกับความเย็นชาของฉินยา ซูจ้านนั้นเทียบเธอไม่ได้เลย เขาเม้มปากแน่นพลางลากเก้าอี้ออกมานั่ง“ถ้าเกิดว่าการที่ทำให้ผมเจ็บปวดมันทำให้คุณมีความสุข คุณก็ทำได้เลย”
“คุณไม่มีค่าพอสำหรับการที่ฉันต้องทำให้คุณเจ็บหรอก เพราะว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรในใจฉัน ฉันไม่มีความรู้สึกใดๆต่อคุณ แม้แต่จะเกลียดก็ไม่มี ทว่ารำคาญคนอย่างคุณต่างหาก”
ขณะที่พูดประโยคนี้ มือของฉินยาที่วางอยู่บนโต๊ะก็กำหมัดแน่นขึ้นมา เล็บนี่แทบจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความเจ็บปวดเท่านั้นที่จะทำให้เธอรักษาท่าทีที่ดูสงบนี้ได้
ที่จริงเธอเกลียดแค้นเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ขณะที่หลินซินเหยียนหยิบนมออกมาก็บังเอิญเห็นท่าทางของหล่อนพอดี ถึงแม้หล่อนจะดูเงียบ แต่ท่าทางที่เป็นอยู่มันก็มากพอที่จะบ่งบอกได้แล้วว่าในใจของเธอนั้นไม่นิ่งสงบเหมือนหน้าตา
ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีความรู้สึกกับซูจ้านอยู่ หล่อนคงไม่เป็นแบบนี้หรอก
หล่อน——ซ่อนอะไรไว้ในใจกันแน่?ถ้าเกิดว่าปล่อยวางแล้วจริงๆ ทำไมถึงต้องทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่นด้วย?
เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วแกล้งทำว่าไม่เห็นอะไร จากนั้นก็เดินไปเทนมให้พวกเขา ตอนที่รินนมให้ซูจ้านเธอก็ถามขึ้น“คุณย่าสบายดีไหม?”
เธอตั้งใจหาเรื่องคุย เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
“จำเป็นต้องมีคนดูแลครับ”เนื่องจากยังคงดูแลตัวเองไม่ได้เลยเหมือนเดิม แต่สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงก็คือพูดได้แล้ว เพราะเมื่อก่อนพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว
หลินซินเหยียนพยักหน้า“ดูแลหล่อนให้ดีนะ”
ซูจ้านพยักหน้ารับ“ครับ หล่อนเป็นญาติเพียงคนเดียวของผม ผมจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดีแน่นอน”
จงจิ่งห้าวเดินเข้ามาแล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่งพร้อมกับเหลือบมองซูจ้านแต่ไม่พูดอะไรออกมา
ซูจ้านยิ้มร่า“ครั้งหน้าผมจะเรียกเผยชวน จะได้ไม่ต้องรบกวนพวกคุณอีก”
จงจิ่งห้าวยกนมสดที่หลินซินเหยียนรินให้ขึ้นมาดื่ม แล้วเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ตอนนี้รู้สึกว่าเขาตั้งใจแน่ๆ ตั้งใจที่จะมาที่นี่
จริงสิ ฉินยาก็อยู่ที่นี่ เพราะงั้นถ้าเขาไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อมาถึงจะแปลก
เขาก็ไม่ได้อยากจะเจาะจงมากจึงเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง“เมื่อวานเมาหรอ?”
ซูจ้านดื่มเยอะก็จริงแต่ว่าเขายังคงมีสติรู้ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ก็จริงที่เขาจงใจบอกให้พนักงานร้านเหล้าโทรหาจงจิ่งห้าว
ไม่งั้นคงไม่บังเอิญขนาดนี้หรอก เพราะยังไงในโทรศัพท์เขาก็มีเบอร์ตั้งเยอะแยะมากมาย แล้วทำไมถึงได้โทรหาเขาล่ะ?
“ของแบบนี้แกล้งทำได้ด้วยหรอ?”ซูจ้านไม่ยอมรับหรอก
จงจิ่งห้าวมองเขาอย่างมีเลศนัย“แค่นายรู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว”เขาไม่มีเวลาไปสนใจปัญหาของเขาหรอก เขายื่นมืออกไปหยิบไข่มาแกะให้ลูกสาว“อยากไปเรียนวาดรูปไหม?”จงเหยียนซีรีบพยักหน้า“อยากค่ะ”
เธอสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ พอเห็นตัวเองวาดรูปได้เหมือนจริง เธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจมาก
“วันนี้พ่อจะพาไปร้านสอนวาดรูปโดยเฉพาะเลย ไปไหม?”
“จริงหรอคะ?”จงเหยียนซีไม่อยากจะเชื่อ
ยังจะถามเธออีกว่าไปรึเปล่า นี่มันประหลาดมาก คุณพ่อเป็นคนยุ่งมากแล้วจะมีเวลาว่างพาเธอออกไปได้ยังไง
“จริงสิ”เขาโทรบอกกวนจิ้งแล้วว่าวันนี้ไม่เข้าบริษัท และยังสั่งไว้อีกด้วยว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรอย่างติดต่อเขา
วันนี้เขาจะอยู่กับลูกสาว
“ว้าว ดีใจจังเลย”เธอไถลตัวลงมาจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้“คุณพ่อเยี่ยมที่สุดเลย”
จงจิ่งห้าวยื่นมือออกไปลูบหัวลูกสาว ดูเหมือนเด็กคนนี้จะพึงพอใจมาก หลังจากนี้เขาจะหาเวลาว่างมาอยู่กับพวกเขาเยอะๆให้ได้
เช้าวันนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คือจงเหยียนซี เพราะว่าคุณพ่อจะพาเธอออกไปข้างนอก
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จซูจ้านก็ขับรถของจงจิ่งห้าวออกไปจากคฤหาสน์คันหนึ่ง
“คุณไปกับพวกเราด้วยสิ”จงจิ่งห้าวยืนพิงข้างประตูมองเธอ
หลินซินเหยียนสวมชุดกันแดดให้เด็กๆพลางเงยหน้ามองเขา“พวกคุณไปเถอะ ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยเลยไม่อยากออกไปข้างนอก”
เด็กๆออกไปข้างนอกกันหมด พอดีเลยเธอจะได้มีเวลาคุยกับฉินยา
ตอนนี้ในทุกๆเดือนลูกในท้องของเธอเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะงั้นการรู้สึกเหนื่อยจึงเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้จงจิ่งห้าวจะอยากให้เธอไปกับเขาแต่พอเธอพูดว่าเหนื่อยเขาก็ไม่ได้บังคับ เขาไม่อยากให้เธอเหนื่อย“อยากได้อะไรไหม?เดี๋ยวผมซื้อกลับมา”
หลินซินเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ฉันอยากกินแตงโม”
“มีอย่างอื่นอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว”เธอส่ายหน้าแล้วพูดกับเขาออกไป“ในเมื่อมีเวลาก็พาเด็กๆออกไปเล่นซักหน่อยเถอะ”
จงจิ่งห้าวตอบตกลง
เขาไม่ได้พาคนอื่นไปด้วย เขาขับรถไปกับเด็กๆเอง หลินซินเหยียนออกไปส่งพวกเขาที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่ารถแล่นออกไปแล้วหลินซินเหยียนถึงได้กลับเข้าไป
คุณน้าหวางกับป้าหยูเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน เนื่องจากพื้นที่ในบ้านค่อนข้างกว้างจึงมีหลายที่ที่ต้องเช็ด ถ้าไม่เช็ดก็จะเป็นฝุ่น เพราะงั้นห้องนั่งเล่นจึงไม่สะดวกคุย เธอเลยประคองฉินยากลับไปที่ห้อง
เมื่อนั่งลงที่เตียงฉินยาก็ถามขึ้น“มีอะไรจะพูดกับฉันหรอ?”
ไม่งั้นคงไม่หาข้ออ้างอยู่บ้านหรอก เพราะวันนี้ถือเป็นเรื่องยากกว่าที่จะได้ออกไปข้างนอกพร้อมทั้งครอบครัว
“บอกฉันมาว่าเธอมีเรื่องอะไรกันแน่?”หลินซินเหยียนมองเธอด้วยท่าทีจริงจัง
ฉินยาเอามือจับผ้าห่มไว้ด้วยความเลิ่กลั่ก“ฉันจะมีเรื่องอะไร?”
“มองตาฉันแล้วพูดออกมา”หลินซินเหยียนทำหน้าขรึม“ถ้าเกิดว่าไม่มีอะไรปิดบังฉันก็มองมาที่ฉัน”
เธอไม่ได้อยากบังคับฉินยา เพียงแต่กลัวว่าเธอจะมีอะไรปิดบังไว้ในใจต่างหาก และถ้าเก็บกดไว้นานๆมันจะไม่ดีต่อตัวหล่อนเอง
บางทีการพูดออกมามันอาจจะทำให้สบายใจขึ้นมาหน่อย
ฉินยาไม่กล้ามองเธอ แถมยังปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ เธอคิดมากเกินไปแล้ว”
“ฉันก็คิดว่าฉันคงคิดมากไปเอง แต่ว่าท่าทางที่เธอแสดงออกมาทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจมาก”หลินซินเหยียนยื่นมือออกไปจับมือเธอไว้“เธอยังเชื่อใจฉันอยู่ไหม?”
ฉินยาก้มหน้าลง
ตาของหล่อนแดงก่ำ รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก และไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี
นึกย้อนไปตั้งแต่ตอนที่รู้เรื่องมาจนถึงตอนนี้ เธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในตอนนั้นได้อยู่เลย ตอนนั้นเธอสิ้นหวัง ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเธอไม่มีความหมายใดๆแล้ว
หลังจากผ่านจุดที่ยอมรับไม่ได้และจุดที่เจ็บปวดที่สุดมาแล้ว เธอจึงเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งเมื่อต้องเจอซูจ้านแล้วจะได้สงบนิ่ง เอาชนะ และอดทนได้
ถึงเธอจะแสดงออกต่อหน้าซูจ้านว่าตัวเองมั่นใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินซินเหยียนนั้นกลับทำไม่ได้เลย
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น นัยน์ตายังคงมีความเจ็บปวดอยู่ เพราะว่าเธอสูญเสียคุณสมบัติของผู้หญิงคนหนึ่งไป
“เธอรู้ไหมว่าฉันเคยท้อง”หล่อนพูดเสียงแหบ
หลินซินเหยียนพยักหน้า“ฉันรู้”
“ฉัน……”หล่อนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่พอตอนที่จะพูดออกมาความเจ็บปวดในใจมันกลับยังคงอยู่