เนื่องจากประหม่ามากเกินไปเธอจึงสั่นสะท้านไปทั้งตัว หลินซินเหยียนเข้ามาโอบเธอไว้แล้วคอยลูบหลังให้“ฉันไม่ถามแล้ว”
พอเห็นท่าทางที่เจ็บปวดของหล่อน หลินซินเหยียนก็ทำใจรับไม่ได้
“ที่ฉันถามเธอ ก็แค่ไม่อยากให้เธอทนทุกข์อยู่คนเดียว แต่ถ้าพูดออกมาแล้วมันยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิมก็ไม่ต้องพูดหรอก”
เธอเดาอยู่ในใจคร่าวๆว่าที่หล่อนพูดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงไม่ได้อีกแล้วแสดงว่าในร่างกายมีอะไรขาดหายไปงั้นหรอ?แต่ว่าไม่เห็นหมอจะบอกอะไรเธอเลย
“ฉันไม่ได้กลัวว่าเธอจะรู้”ฉินยากอดเธอไว้แล้วซบอกร้องไห้ออกมา“แค่นึกถึงมันก็เหมือนมีมีดกรีดอยู่ในใจแล้ว”
ทุกครั้งที่พูดถึงมันก็เหมือนกับแผลเป็นที่อยู่ในใจโดนฉีกกระชากออก แล้วตกอยู่ในสภาวะความสิ้นหวังเหมือนในตอนนั้นเลย
“ฉัน ตั้งท้องไม่ได้อีกแล้ว ทั้งชีวิตนี้มีลูกไม่ได้อีกแล้ว เธอรู้ไหม?ฉันเกลียดเขา เขาเป็นคนทำให้ฉันเป็นแบบนี้……”
หลินซินเหยียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะท้องไม่ได้ยังไง?
เป็นไปไม่ได้?
“นี่ นี่มันเป็นไปได้ยังไง?คุณหมอไม่เห็นเคยบอกฉันเลย นี่เธอเข้าใจผิดรึเปล่า?การแท้งลูกไม่ได้ทำให้ตั้งท้องไม่ได้ตลอดชีวิตซักหน่อย……”
“ฉันเองที่เป็นคนบอกหมอว่าห้ามบอกคนอื่น มันเป็นเรื่องจริงที่ในร่างกายของฉัน——มีบางอย่างขาดหายไป ฉินยารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไป”
“เป็นแบบนี้ได้ยังไง”เธอเสียงแหบพร่าลง ในฐานะที่เป็นผู้หญิง การที่ไม่สามารถมีลูกได้เป็นเรื่องที่โหดร้ายมากเรื่องหนึ่ง
“เป็นเพราะมดลูกโดนทำร้าย ดังนั้น……”
“ไม่ใช่”ฉินยาผละออกจากเธอ แล้วเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าออก“ฉันไม่มีมดลูกแล้ว”
หลินซินเหยียนรู้สึกตกใจและในขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บปวดแทนหล่อนและรู้สึกเห็นใจหล่อน
เธอไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมาพูดปลอบใจหล่อน หล่อนทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวเงียบๆมานานมาก แถมยังแสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นไรต่อหน้าทุกคน
ถึงเธอจะไม่เคยประสบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่เธอก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันน่าเศร้ามากแค่ไหน
“ฉันจะปลอบเธอได้ยังไง”หลินซินเหยียนกะพริบตาถี่ๆเพราะไม่อยากให้น้ำตาไหล แต่ว่าถึงจะเช็ดออกมันก็เอ่อล้นออกมาอยู่ดี“เห็นเธอเศร้า ฉันก็พลอยเศร้าไปด้วย”
“อย่าร้องไห้ไปเลย”ฉินยาเช็ดน้ำตาเช็ดน้ำตาให้เธอ“ในท้องของเธอยังมีลูกทูนหัวของฉันอยู่นะ”
เวลาที่เจ็บปวดมากที่สุดได้ผ่านไปแล้ว ทว่าตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ยังถือว่ายืนหยัดอยู่ได้ หล่อนเช็ดน้ำตาออกแล้วสูดหายใจเข้าลึก“ช่วยฉันเก็บเป็นความลับนะ อย่าไปบอกใคร”
“ได้สิ”เธอจะไปบอกคนอื่นได้ยังไงกัน
“ก็แค่ เธอน่าสงสารมาก ฉันทำใจไม่ได้น่ะ”ที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากจะแสดงความเศร้าออกมาต่อหน้าฉินยาหรอก แต่ว่ามันอดไม่ได้จริงๆ
ถ้าใครไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่คนก็คงไม่รู้หรอกว่าวินาทีที่ได้เป็นแม่คนนั้นมันวิเศษมากแค่ไหน ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกใดๆต่อคนที่ทำให้ตัวเองท้องก็ตาม เราก็ยังคงจะรักชีวิตน้อยๆที่กำลังเจริญเติบโตในท้องนี้มากๆ
เธอเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะตอนที่ความสัมพันธ์ของฉินยากับซูจ้านกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต หล่อนก็ไม่ลังเลที่จะเลือกคลอดเด็กคนนั้นออกมา แสดงว่าหล่อนก็คงรู้สึกเหมือนกัน
แต่ว่าหล่อนกลับต้องสูญเสียเขาไป
แถมยังสูญเสียการเป็นแม่ด้วย เธอน่าสงสารมากเกินไปแล้ว
มีคนบอกว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่ค่อยอยากมีลูก แล้วถ้าจะมีลูกไม่ได้มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรไป?
มีไม่ได้กับไม่อยากมี เดิมมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
โดยเฉพาะผู้หญิงที่เคยตั้งท้อง เคยผ่านความรู้สึกของการเป็นแม่มา
คนสมัยนี้มักจะพูดว่าไม่มีลูกเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะตอนนี้การเลี้ยงดูเด็กหนึ่งคนต้องใช้ทั้งเวลาแล้วยังมีค่าการศึกษาเล่าเรียน ที่ซึ่งต้องใช้เงินมากมายในการเลี้ยงดู เพราะงั้นเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตสบายหน่อยจึงเลือกที่จะไม่มีลูก
ถ้าคิดได้ ที่จริงคนที่ตัดสินใจไม่อยากมีลูกทั้งชีวิตนั้นมีจำนวนน้อยมาก มีหลายคนที่พอถึงวัยกลางคนก็มานึกเสียใจทีหลัง ถึงจะเป็นผู้หญิงมีอายุแล้วก็ต้องลองเป็นแม่สักครั้งในชีวิต
เมื่อเวลาเปลี่ยนไปความคิดของคนก็เปลี่ยนไปด้วย
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง คุณจะเข้าใจชีวิตและการสืบสกุลได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อคุณเป็นลูกสาวและมีลูก
มีบางคนบอกว่าลูกเป็นสิ่งที่จารึกความรักของคนสองคน เป็นหลักฐานพิสูจน์ความรักของพวกเขา
ถึงแม้การเลี้ยงลูกจะไม่ใช่เรื่องง่าย และดูแลลูกก็เป็นเรื่องที่ลำบากมาก แต่ว่าพอได้เห็นพวกเขาค่อยๆเติบโตขึ้นมาช้าๆ ได้ยินพวกเขาเรียกว่าแม่ครั้งแรก ความรู้สึกแบบนั้นมันน่าตื่นเต้นมาก
เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฉินยาจะมีลูกไม่ได้ทั้งชีวิต แล้วตอนนั้นหล่อนผ่านมันมาได้ยังไงนะ
ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเธอ เธอก็คงทำใจรับมือได้ยากเหมือนกัน
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”ฉินยาฝืนยิ้มออกมาบางๆ ขอบตาก็ยังคงแดงก่ำ
การที่หล่อนแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง มันน่าปวดใจมาก
แต่เธอก็ไม่อยากให้ฉินยาเห็นเธอเศร้าเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นหล่อนอาจจะเศร้ากว่าตัวเองอีก
เธอข่มความรู้สึกสั่นไหวในใจไว้ แล้วยื่นมือไปบีบแก้มของหล่อน“คนที่จะเป็นแม่ทูนหัวในอนาคตจะต้องสวยนะ”
“แน่นอน ฉันจะต้องเป็นแม่ทูนหัวที่สวยที่สุด”ฉินยายิ้ม
หลินซินเหยียนไม่พูดอะไรอีก เธอเปลี่ยนเรื่องคุยแทน โดยถามเรื่องงานออกไป
“วันนี้เป็นวันจันทร์ อารองต้องยุ่งมากแน่ๆ เพราะที่นั่นมีเขาอยู่คนเดียว”ฉินยาพูด
เดิมเขาเป็นผู้บริหารบริษัท แต่ก็ยังต้องมาช่วยเธอดูร้าน แถมยังต้องคอยดูโรงงานผลิตผ้าไหมกวางตุ้งด้วย
“จริงด้วย”หลินซินเหยียนก็อยากกลับไป แต่เธอรู้ว่าจงจิ่งห้าวไม่ยอมแน่
“เธอดูรูปที่ฉันวาดเมื่อวานสิ”ฉินยาหยิบรูปที่เธอวาดเมื่อวานมาให้ดู ดูเหมือนอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุย ความรู้สึกทุกอย่างล้วนถูกข่มไว้ในใจ
วันนี้มหาวิทยาลัยฮั๋วชิงได้จัดประชุมคณาจารย์และนักศึกษาทุกคน
เพื่อนำเรื่องของซางหยูกับเสิ่นเผยชวนออกมาประกาศให้เป็นบทเรียนที่ไม่ดีให้กับทุกคนว่าห้ามทำเรื่องผิดศีลธรรม และห้ามทำลายชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย
เดิมเรื่องนี้ถูกชี้แจงไปแล้วแต่กลับถูกเอามารื้อฟื้นอีก ทุกคนต่างก็รู้สึกแปลกใจและงงงวย
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะมาดูความสนุก ยังไงธรรมชาติของมนุษย์ต่างก็ให้ความสนใจกับเรื่องสนุกๆแบบนี้อยู่แล้ว
ซางหยูนั่งอยู่ในห้อง อาจารย์นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ด้านนอกหน้าต่างมีนักเรียนจำนวนมากมองเข้ามาเพราะอยากรู้ว่าอาจารย์จะพูดกับซางหยูว่ายังไง
พอถึงแปดโมงครึ่ง อาจารย์ก็ลุกขึ้น“ถึงเวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ซางหยูทำหน้าไร้ความรู้สึก ในมือหยิบใบสำรวจตรวจเองที่เขียนไว้เสร็จแล้วมุ่งหน้าต่อไปที่สนามกีฬา