เสิ่นเผยซวนเม้มปาก ไม่รู้ว่าจะตอบเธออย่างไร เด็กสาวคนนี้ตัวไม่ใหญ่ แต่ใจกลับประณีตเป็นอย่างมาก แล้วก็มีเมตตาอีกด้วย เพียงแต่โชคไม่ดีกับเธอเท่าไหร่
ซางหยูยืดคอมามองเขา “ทำไมคุณไม่ดีใจล่ะ?”
ท่าทีที่เหมือนจะมีเรื่องในใจ ตั้งแต่รู้จักเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีท่าทีแบบนี้
เสิ่นเผยซวนยังไม่ยอมตอบ
ซางหยูนั่งดีๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเขา ในใจก็คิดว่าเขาเองก็เป็นคนอาจจะมีเรื่องหงุดหงิดในใจ ตัวเองจะมาพูดพร่ำต่อหน้านั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
บางทีเขาอาจจะต้องการความเงียบ
ระหว่างทาง พวกเขาไม่ได้พูดอะไร เสิ่นเผยซวนจะพูดเรื่องของแม่เธอกับซางหยูอย่างไร แต่ซางหยูกลับคิดว่าเขามีเรื่องในใจ
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ เสิ่นเผยซวนก็ให้พวกเขาเข้าไปก่อน เขาเลยคุยกับซางหยูเองเล็กน้อย
พวกเขาลงจากรถไป แต่เสิ่นเผยซวนกับซางหยูไม่ลงจากรถ
“คุณอยากจะพูดอะไรกับฉันเหรอ?” ซางหยูสังเกตเห็นความผิดปกติ ปกติเขาจะไม่พูดมากแบบนี้
วันนี้เหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า?จู่ๆ เธอก็ตื่นตัวขึ้นมา
“คุณอา?” ซางหยูตั้งใจหยอกให้เขาอารมณ์ดี เลยพูดล้อเล่นอย่างยิ้มแย้ม “แก่ขนาดนี้แล้ว ยังจะทำเป็นอารมณ์บูดบึ้งเหมือนเด็กอีกเหรอ?”
เสิ่นเผยซวนเงยหน้ามามองหน้าของเธอ ตอนเด็กๆ โตมาในครอบครัวที่ไม่ดีนัก เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตา และก็ไม่ได้เสียความสนุกสนานในชีวิตไป พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ดูแลแม่ที่ติดคุกอยู่
เขายื่นมือมาจับหน้าผากของเธอ ไม่ได้มีความหมายอื่นอะไร แต่รู้สึกว่าเธอน่าสงสาร และอยากจะปลอบเธอ
ซางหยูตกใจอึ้ง ตัวแข็งทื่อไป เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาแตะตัวเองแบบนี้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมา และจะรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิง
ทำไมเขาถึงได้……
“คุณ……” ซางหยูพูดตะกุกตะกัก “เป็นอะไรคุณ?”
“แม่ของคุณ เธอ……”
“ทำไมเหรอ?” ซางหยูกะพริบตา ถึงแม่จะอยู่ในนั้นแต่ร่างกายแข็งแรงดี เธอจะเป็นอะไรได้ล่ะ?
ดังนั้นซางหยูเลยไม่ได้คิดในแง่ร้าย
“ทำไมคุณไม่พูดอะไรล่ะ?เธออยากเจอฉันเหรอ? ก่อนหน้านี้เพิ่งไปเยี่ยมเธอเอง แล้วก็ไม่ได้ยินว่าจะลดโทษอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?” ซางหยูถามต่อ
“จู่ๆ เธอก็ป่วย……แล้วก็เสียแล้วล่ะ”
สีหน้าของซางหยูเปลี่ยนไปมืดมนในทันที เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ราวกับว่ามีเมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว และเหมือนกับว่าโดนน้ำเย็นสาดไปทั้งตัว มันชาไปหมด เลยมองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก “คุณ คุณว่าอะไรนะ?”
เสิ่นเผยซวนเลยพูดซ้ำอีกครั้ง “แม่คุณเสียแล้ว”
“คุณพูดบ้าๆ น่า!” จู่ๆ เธอก็พูดตัดบทเขาเสียงดัง “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันฉันเพิ่งไปหาเธอเอง เธอยังดีๆ อยู่เลย จะตายได้อย่างไร?”
นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง เธอกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?
ใช่ มันต้องอยู่ฝันอย่างแน่นอน น่าจะเป็นเพราะแม่คิดถึงเธอแล้ว เลยทำให้เธอฝัน เพื่อให้ตัวเองไปเยี่ยมเธอ
จะต้องเป็นแบบนี้แน่นอน
“พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมเธอ” เธอพูดคำนี้ซ้ำไปมาไม่หยุด ตอนที่พูดคำนี้ก็เปิดประตูรถลงไป จากนั้นเสิ่นเผยซวนก็ตามลงไป จากนั้นก็ดึงแขนของเธอ “คุณเย็นใจลงหน่อย”
“ฉันจะใจเย็นต่อไปได้อย่างไร!” นี่เป็นญาติคนเดียวของเธอ แต่กลับมาบอกเธอว่า เธอไม่เหลือแม้แต่ญาติเพียงคนเดียว
เธอจะรับได้ได้อย่างไร
“คุณโกหกฉันใช่ไหม?” ดวงตาของเธอแดงก่ำ มือก็อยู่ไม่สุข พลางสั่นอย่างไม่หยุด
เสิ่นเผยซวนพูดด้วยความใจร้ายไปหน่อย เปล่า “ฉันไม่ได้โกหกคุณ มันเป็นเรื่องจริง”
ซางหยูร้องไห้ จากนั้นก็ยิ้ม เหมือนคนบ้าเลย
“คุณใจเย็นก่อน” เสิ่นเผยซวนไม่รู้ว่าจะปลอบใจเธออย่างไร เลยพูดด้วยเสียงหนักแน่น ทำให้เธอได้ฟังเสียงของตัวเอง
ซางหยูเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่ง แต่สำหรับคุณแม่หยู นี่เป็นเพียงความหวังที่พึ่งเดียวของเธอ ตอนนี้ เธอกลายเป็นเด็กกำพร้าแล้ว ญาติเพียงคนเดียวเองก็ทิ้งเธอไปแล้วเธอ
“ฉันอยากจะไปเยี่ยมเธอ” เธอพูดเสียงเบา จนแทบจะแหบแห้งไปแล้ว
เสิ่นเผยซวนมองเธอ ด้วยความไม่วางใจ “คุณไหวไหม?”
เธอพยักหน้าอย่างเต็มแรง
“งั้นก็ได้ ฉันจะพาคุณไป” เสิ่นเผยซวนพูดพลางมองเธอ “อยากให้ฉันพยุงคุณไหม?”
ซางหยูส่ายหัว
เสิ่นเผยซวนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอก่อนจะพาเธอไป แถมยังบอกสถานการณ์กับเธอ “มันเกิดขึ้นกะทันหัน ยังไม่ทันรักษาก็เสียแล้ว แถมทางหมอก็มีผลออกมาแล้วเดี๋ยวเย็นๆ ฉันจะพาคุณไป ทางนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญคุยกับคุณ”
ซางหยูไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะตามเขาไปทั้งอย่างนั้น
เสิ่นเผยซวนหันกลับมา ท่าทีของเธอเหมือนจะไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ เลยไม่ได้พูดอะไร เมื่อถึงที่แล้วซางหยูก็พูด “ฉันอยากเข้าไปคนเดียว บอกที่อยู่กับฉันมาเถอะ”
“ห้อง203 ด้านบนมีชื่อเขียนอยู่” เสิ่นเผยซวนพูด ถึงจะเจ็บปวด แต่ก็ควรจะไปดูด้วยคนเดียว
“ฉันรู้แล้วล่ะ” เมื่อพูดจบซางหยูก็เดินไปคนเดียว ตอนที่เดินผ่านทางเดิน ก็ผ่านประตูบานใหญ่บานหนึ่ง มีลมเย็นโชยมา เหมือนกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว เธอนั้นไม่รู้ตัวเลย ว่าตอนนี้เธอไม่ได้หนาวกาย แต่หนาวใจ
เพียงไม่นานเธอก็เดินไปถึงห้อง203 เห็นชื่อที่เขียนอยู่ด้านบน เธอเดินไป ตอนที่กำลังยื่นมือไปเปิดประตู ก็หยุดมือ ในตอนนั้น เธอเริ่มจะไม่กล้าแล้ว ไม่กล้ามองหน้าคนที่อยู่ข้างใน
ยังไม่เห็นก็บอกกับตัวเองก่อน ว่าอาจจะเกิดความผิดพลาด ถ้าเกิดเห็นจริงๆ แม้แต่จินตนาการยังมลายหายไปได้เลย
“แม่ คุณจะไม่ทิ้งฉันไปใช่ไหม?คุณทนไม่ได้ ที่จะให้ฉันใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้หรอก ใช่ไหม?คุณไม่มีทาง การที่พ่อทำร้ายร่างกายแบบนั้น คุณยังพยายามอดทนเพื่อฉันได้ขนาดนี้ จะจากไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร คุณทิ้งฉันไม่ลงหรอก ใช่ไหม?ไม่จริง มันต้องเป็นเรื่องโกหก จะต้องมีคนสร้างเรื่องใส่ฉันแน่ๆ” เมื่อพูดจบเธอก็เปิดโรงเย็น มันมีควันเย็นออกมา จากนั้นใบหน้าที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้น
ถึงแม้จะซีดเซียว แต่เธอนั้นไม่มีทางมองผิดไปแน่
ในตอนนี้ จินตนาการทั้งหมดมันพังลง นี่มันเรื่องจริง ญาติเพียงคนเดียวของเธอทิ้งเธอไปแล้ว
จู่ๆ เธอก็คุกเข่าลง ก่อนจะร้องไห้ขึ้นมา “แม่……”
เสิ่นเผยซวนเห็นเธอร้องไห้จากทางด้านนอก ก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยืนอยู่ตรงกำแพงไม่ได้เข้าไป
“เธอเข้าไปคนเดียวงั้นเหรอ?” ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามา
เสิ่นเผยซวนตอบรับเล็กน้อย
“เด็กสาวคนนี้ใจกล้ามากจริงๆ ในนั้นเป็นที่เก็บศพนะ” คนคนนั้นพูด
“คงไม่มีเวลาคิดอะไรแบบนั้นน่ะ” เสิ่นเผยซวนพูด
เธอเสียใจขนาดนั้น จะมีเวลามากลัวอีกที่ไหนกัน
คนคนนั้นคิด “ก็เหมือนจะใช่”
คนที่ยืนข้างกำแพง พูดขึ้น “เด็กสาวคนนี้น่าสงสารจังเลย”
เสิ่นเผยซวนเองก็ไม่ได้ตอบแต่ถามกลับว่า “มีบุหรี่ไหม?”
คนคนนั้นพยักหน้า ก่อนจะหยิบกล่องบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าแล้วเขย่าบุหรี่ออกมาก่อนจะจุดให้เขา
ที่เก็บศพนั้น เงียบสงัด ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ทางเดิน ก่อนจะสูบบุหรี่อย่างเงียบๆ
“รองผู้บัญชาการกับเธอเป็นอะไรกัน เป็นคู่รักกันจริงๆ เหรอ?ไม่ค่อยเหมือนสไตล์ที่คุณชอบเท่าไหร่เลยนะ” คนคนนั้นพูดขึ้นมากะทันหัน
คนที่ทำงานกับเสิ่นเผยซวนต่างรู้จักนิสัยเขา ตรงไปตรงมาจริงๆ แต่ความคิดนั้นดื้อดึง
เสิ่นเผยซวนชายตามองก่อนจะถาม “ฉันมีสไตล์แบบไหนเหรอ?”
“คุณน่าจะชอบคนที่อายุไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ คนของคุณเด็กเกินไป จะต้องเป็นเพราะคนอื่นจะนินทาคุณ เราร่วมงานกันมามากแล้ว ฉันจะยังไม่รู้จักคุณได้อย่างไร” ตอนที่คนคนนั้นพูดก็เอามือวางที่ไหล่ของเขา “ตอนนี้เป็นสังคมใหม่ ความคิดเก่าเกินไปก็ไม่ดี ตอนนี้อายุไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว มีคนอายุห่างกันมาคบกันตั้งเยอะ ในสถานการณ์แบบนี้คุณเองก็ไม่นับว่าเป็นคู่รักต่างวัย อย่างมากคุณก็อายุมากกว่าเธอเพียงสิบกว่าปีไม่เท่าไหร่หรอก……”
“คุณว่างขนาดนี้เลยเหรอ?” จู่ๆ เสิ่นเผยซวนก็ตัดบทเขา “เธอเพิ่งจะเสียญาติไป คุณมาพูดเรื่องแบบนี้กับฉัน มันเหมาะไหม?”
คนคนนั้นเมิน ก่อนจะกระแอมเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดในใจ “ขอโทษด้วย ฉันมีธุระอีกต้องไปก่อนนะ”
เมื่อพูดจบก็ขอตัวก่อน ในตอนนี้ เสียงร้องไห้มันหยุดไปกะทันหัน จากนั้นคนที่เพิ่งเดินไปสองก้าวก็หันกลับมามองเสิ่นเผยซวนพลางถาม “ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ?”