หลินซินเหยียนขมวดคิ้วเบาๆ เพราะของชิ้นนั้นมันราคาไม่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรลูกสาว เพราะเธอรู้ ว่ามันเป็นเกม ไม่ใช่ว่าจะคีบได้ของราคาเท่าไหร่ แต่เป็นความสุขระหว่างที่คีบได้ต่างหากล่ะ
เธอลูกหัวของลูกสาวเบาๆ “มีความสุขไหม?”
จงเหยียนซีพยักหน้าเต็มแรง “มีความสุขสิ ฉันอยากได้อะไรพ่อก็ซื้อให้หมดเลย”
เมื่อพูดไปเธอก็เอากระเป๋าใบหรูออกมาจากถุงกระดาษ เธอสะพายมัน ให้หลินซินเหยียนดู “หม่ามี๊คุณว่าสวยไหม?”
แถมยังหมุนไปรอยๆ อย่างรักสวยรักงาม
“อือ”
หลินซินเหยียนบอกว่าสวย เลยยื่นมือไปหยิบถุง ในนั้นยังมีอีกใบ จงเหยียนซีปรี่เข้ามา “หม่ามี๊นี่มันเป็นของของแม่กับลูกสาว อันนี้ของคุณ ครั้งหน้าเรามาใช้ด้วยกันนะ”
หลินซินเหยียนหยิบออกมา มันเป็นของใช้ของแม่กับลูกสาวจริงๆ ด้วย แถมยังเป็นยี่ห้อแอร์เมสที่เพิ่งออกใหม่สำหรับแม่ลูกจริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ออกใหม่อะไร มันก็จะแพงที่สุดทั้งนั้น แถมยังเป็นแอร์เมสที่หรูหราด้วย ยิ่งไม่ถูกเลยล่ะ
กระเป๋าที่ซื้อครั้งก่อนยังไม่เคยใช้เลย “เปลืองไปหน่อยนะ”
“หม่ามี๊ไม่ชอบเหรอ?” จงเหยียนซีถาม
“ชอบ” ผู้หญิงนั้นต้านทางการซื้อของไม่ไหว ถึงเธอจะฟุ่มเฟือยมากมาย แต่ก็ยังมีความสุขภายในใจ ถึงอย่างไร ก็เป็นของที่สามีซื้อให้ไม่ใช่เหรอ
จู่ๆ เสียงกริ่งที่ประตูก็ดังขึ้น คุณน้าหวางกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ป้าหยูเข้าไปพยุงฉินยาในห้อง เมื่อได้ยินว่าเด็กทั้งสองคนกลับมา เธอก็เรียกป้าหยูให้ไปพยุงเธอหน่อย ไม่มีใครว่างไปเปิดประตู หลินซินเหยียนเลยลุกไป
ที่ประตูนั้นคือเสิ่นเผยซวนกับซูจ้าน
“พี่สะใภ้”
หลินซินเหยียนเบี่ยงตัวให้พวกเขาเข้ามา
มาเวลานี้เพื่อกินข้าวเย็นแน่นอน หลินซินเหยียนรีบเรียกคุณน้าหวาง ก่อนจะให้เธอเตรียมอาหารให้มากขึ้นหน่อย
“ออกไปเที่ยวมาเหรอ?” ซูจ้านเห็นว่าบนโซฟามีของวางอยู่ไม่น้อย
หลินซินเหยียนยังไม่ได้พูดอะไรเลย จงเหยียนซีก็เริ่มโอ้อวดแล้ว “ใช่ พ่อพาเราออกไปเที่ยวน่ะ”
ซูจ้านยิ้ม “งั้นเหรอ?”
“แน่นอน” จงเหยียนซียิ้มหรี่ตา ก่อนจะเอาของของตัวเองใส่เข้าไปในถุง เหมือนกับว่าคิดอะไรออก เลยตีหัวของตัวเองเล็กน้อย “จริงสิ ซื้อของของเจ้าขาวมาด้วย”
มันเป็นชุดของน้องหมาสีฟ้ามีหมวก
จงเหยียนซีใส่ให้เจ้าขาวด้วยความตื่นเต้น หลินซินเหยียนยืนอยู่ข้างๆ พลางมองลูกสาวที่มีท่าทีตื่นเต้น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“พวกคุณทั้งสองอยากจะดื่มอะไรไหม?” หลินซินเหยียนถามซูจ้านกับเสิ่นเผยซวน
“ฉันไม่ดื่ม” เสิ่นเผยซวนพูด ส่วนซูจ้านเองก็บอกว่าไม่ดื่ม เพราะดื่มมาจากห้องทำงานของเสิ่นเผยซวนแล้ว
“คุณซื้อของให้หมาแล้ว ไม่ได้ซื้อของให้ฉันเหรอ?” ซูจ้านนั่งลงบนโซฟาก่อนจะหยอกจงเหยียนซี
จงเหยียนซีเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเบิกตาโพลง “ทำไมฉันต้องซื้อให้คุณด้วย?”
มีเสียงหัวเราะพรวดออกมา จงเหยียนเฉินอดที่จะขำไม่ได้
“คุณอาซู……” เขาปิดปากได้ทัน
ซูจ้านมองจงเหยียนเฉินที่ปิดปากตัวเอง ก่อนจะหรี่ตาลงถาม “คุณอยากจะพูดอะไร?ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ?”
เขาไม่ได้โง่ รู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
จงเหยียนเฉินส่ายหัว เขาไม่กล้าพูด และก็พูดไม่ได้
จงเหยียนซีไม่รู้ว่าพี่ชายอยากจะพูดอะไร เลยถาม “พี่ อยากจะพูดอะไรเหรอ?ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ พูดเพียงครึ่งเดียวได้อย่างไร?”
จงเหยียนเฉินพูด “ฉันพูดไม่ได้ ฉันกลัวว่าคุณอาซูจะต่อยฉัน”
“คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่ ทำไมคุณอาซูจะต่อยคุณ” จงเหยียนซีถามตรงๆ ด้วยท่าทีที่อยากจะถามเอาความให้จนได้
“พี่คุณอยากจะพูด ว่าเขาเทียบกับหมาไม่ติดด้วยซ้ำ” ฉินยาที่ถูกป้าหยูพยุงออกมา เมื่อได้ยินพวกเขาคุยกัน ก็ตอบคำถามของจงเหยียนซี
“อ๋อที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” จงเหยียนซีตั้งใจคิดก็เข้าใจ เธอซื้อของให้เจ้าขาว แต่ไม่ได้ซื้อของให้คุณอาซู ดังนั้นเขาเลยเทียบกับเจ้าขาวไม่ติดไงล่ะ
“ครั้งหน้าฉันจะซื้อให้คุณ คุณอาซูชอบอะไรเหรอ?” เธอเงยหน้าน้อยๆ ขึ้น
ซูจ้านมองตาน่ารักๆ ของเธอ ในใจก็อบอุ่นขึ้นมา ก่อนจะยื่นมือไปบีบแก้มของเธอ “ขอบคุณนะ ทำไมน่ารักขนาดนี้เนี่ย?”
“งั้นคุณชอบฉันเหรอ?” จงเหยียนซีถามพลางยิ้มแย้ม
ซูจ้านตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอน ไม่มีใครไม่ชอบเด็กน้อยหรอก”
“คุณเองก็ชอบเด็กน้อยเหรอ? ”
“แน่นอน จากนี้ฉันเองก็จะเป็นพ่อคนแล้ว” ซูจ้านพูด
เมื่อได้ยินคำนี้ ฉินยาก็อึดอัดจนหายใจไม่ออก เธอนั่งลงบนโซฟาเบาๆ “ป้าหยูช่วยรินน้ำให้ฉันหน่อย”
ป้าหยูรินน้ำพลางส่งให้เธอ หลังจากที่เธอดื่มแล้ว ถึงจะกดอารมณ์ลงในใจได้
ซูจ้านสังเกตสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยถามด้วยความเป็นห่วง “คุณไม่สบายเหรอ?”
ฉินยายิ้มพลางพูด “ตาของคุณเห็นว่าฉันไม่สบายงั้นเหรอ?” พูดไปพลางยื่นมือไปลูบหัวของเจ้าขาว เมื่อมองเสื้อผ้าของเจ้าขาว พลางมองเสื้อผ้าที่ซูจ้านใส่อยู่ มันเป็นสีเดียวกัน เธอยิ้มพลางถาม “พวกคุณใส่เสื้อผ้าคู่รักเหรอ?”
เสิ่นเผยซวน “……”
ซูจ้านมองฉินยาโดยที่ไม่พูดอะไร
ฉินยาพิงโซฟา พลางยิ้มแล้วพูด “อ๋อ ขอโทษด้วยฉันผิดไปแล้ว เจ้าขาวมีเพศเดียวกับคุณ คู่กันไม่ได้”
หลินซินเหยียนรู้ว่าฉินยานั้นรู้สึกขมขื่นในใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงคิดว่ามันเบาบางมากเกินไป แต่ตอนนี้ เธอไม่คิดแบบนั้นแล้ว
เมื่อเทียบกับคำพูดที่ไม่น่าฟัง ความเจ็บปวดทางกายนั้นมันจะไปนับประสาอะไร?
เธอเก็บถุงกระดาษบนโซฟา ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบน
บรรยากาศด้านล่างนั้นยังคง ‘ปะทะอารมณ์’ ซูจ้านจ้องฉินยาไม่ห่าง สักพักใหญ่ๆ ถึงจะหัวเราะขึ้นมา “ทำไม คุณไม่ชอบหน้าฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันแค่ถกปัญหาเท่านั้นเลย ไม่ต้องตื่นเต้นไป” ฉินยาเองก็ยิ้มขึ้น
“ฉันไม่ได้ตื่นเต้น” ซูจ้านทำท่าทีเหมือนไม่เป็นอะไร ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพลางพูด “คุณเจาะจงฉันขนาดนั้น มันจะทำให้ฉันคิดผิดว่าคุณยังแคร์ฉันอยู่นะ อันที่จริงฉันก็ชอบให้คุณจับจ้องฉันแบบนั้นนะ”
ฉินยามองเขาอย่างเย็นชา “คิดไปเองทั้งนั้น!”
“คิดเสียว่าฉันหลงตัวเองก็แล้วกัน” เขาโน้มตัวมาลูบขนของเจ้าขาว “ก็ไม่รู้ว่าสัตว์ของคุณมีหัวใจหรือเปล่า ถ้าไม่มี ฉันเป็นพี่น้องกับคุณก็ได้นะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เสิ่นเผยซวนก็เลิกคิ้วขึ้น นี่มันคำพูดอะไรกัน?งั้นก็หมายความว่าเขาเป็นพี่น้องกับเจ้าขาวแบบอ้อมๆ ไปแล้วเหรอ?
ซูจ้านคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเจ็บปวดอะไรในใจ
“คุณกับเจ้าขาวเป็นพี่น้องกันก็หมายความว่าเป็นหมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” จงเหยียนซีไม่เข้าใจความหมายลึกๆ ของซูจ้าน
ซูจ้านยิ้ม “คุณน้าเยี่ยนเยี่ยนของคุณเกลียดฉันมากไม่รู้เหรอ?ถ้าเกิดทำให้เธออารมณ์ดีได้ ไม่ใช่แค่เป็นหมาหรอก เป็นหลานเลยก็ยังได้”
เสิ่นเผยซวนเพราะเรื่องของซางหยู อารมณ์เลยไม่ได้ดีมากมาย ดังนั้นเลยไม่พูดอะไรออกมา แต่เรื่องที่เกิดที่นี่นั้น ก็ยังหาทางไม่เจอเหมือนเดิม
เพื่อหาโอกาสให้ซูจ้านกับฉินยาได้ใกล้ชิด เลยพูดดันเด็กทั้งสอง “เราไปเดินเล่นข้างนอกกันไหม?”
เด็กทั้งสองโบกมือพร้อมกัน “เราอยากไปพักในห้อง”
อยู่ข้างนอกมาทั้งวัน จนเหนื่อยแล้ว เสิ่นเผยซวนพูด “ฉันไปกับพวกคุณด้วย”
ไม่ออกไป ก็กลับเข้าห้องไปก็ได้ ขอแค่ไม่อยู่ในห้องรับแขกก็พอแล้ว
“คุณอาเสิ่นเองก็เหนื่อยใช่ไหม?” จงเหยียนซีถาม
เสิ่นเผยซวนพูด “อือ ฉันเองก็เหนื่อย ดังนั้นพวกคุณให้ฉันไปพักในห้องพวกคุณได้ไหม?”
“ได้อยู่แล้ว” จงเหยียนซีหยิบของของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะจูงมือของเสิ่นเผยซวนกลับเข้าห้องอย่างเชื่อฟัง
จงเหยียนเฉินตามกลับไปที่ห้องอย่างมีสติ เขาเองก็ซื้อของมา เป็นรถแข่งที่มีรางเหมือนของจริง เมื่อถึงห้องก็ไม่ได้นอน แต่นั่งลงบนพรหมแล้วแกะกล่อง มาต่อราง
เสิ่นเผยซวนนอนพิงตรงโซฟาที่ติดหน้าต่าง จงเหยียนสือพิงอยู่บนเตียงพลางวุ่นอยู่กับกระเป๋าและตุ๊กตา บรรยากาศดีมาก ไม่เหมือนกับบรรยากาศในห้องรับแขกเลย
ซูจ้านมองฉินยา พลางอยากจะถามหน่อย อยากจะให้ฉันทำอะไร คุณถึงจะให้อภัยแล้วให้โอกาสฉันล่ะ?
ในใจเขารู้ว่ามันไม่มีสติ ถึงแม้เขาจะถามไป และท่าทีที่ฉินยาทำกับเขาในตอนนี้ เลยพูดอย่างมั่นใจ “ฉันไม่มีทางให้อภัยคุณ”
เธอนั้นตัดขาดกับตัวเองอย่างแน่วแน่
“เราจะเอาแบบนี้เหรอ?จะพูดอย่างสงบจิตสงบใจไม่ได้หรือไง?”
ฉินยาหัวเราะออกมา “ฉันแค่อยากจะสงบจิตใจกับคนที่ฉันชอบ สิ่งที่น่าเขินก็คือ คุณคือคนที่ฉันไม่ชอบ แต่ยังชอบมาอยู่ต่อหน้าฉัน อารมณ์ไม่ดีจริงๆ ตอนที่อารมณ์ไม่ดีนั้น ไม่ได้ด่าคุณออกไป ก็ถือว่าสงบจิตใจมากแล้ว”