ผู้บัญชาการซ่งเรียกให้เสิ่นเผยชวนนั่งลง “คุณลองบอกฉันมา ว่าคุณไปล่วงเกินใครเข้า?”
เสิ่นเผยชวนนั่งลงกับที่ พร้อมกล่าว “อาจจะเป็นกู้เป่ย”
ผู้บัญชาการซ่งฉงนเล็กน้อย กู้เป่ย?
เขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนานของบุคคลนี้มาก่อน
ผู้บัญชาการซ่งถึงได้เข้าใจขึ้นมาบ้าง “คุณล่วงเกิน คุณล่วงเกินคนของท่านปู่กู้งั้นหรือ ลูกชายคนเล็กที่เขารักมากคนนั้นใช่ไหม?”
“อืม” เสิ่นเผยชวนหลุบตาลงต่ำ
“คุณไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหาสักหน่อย ทำไมถึงได้ล่วงเกินเขาเข้าซะล่ะ?” ผู้บัญชาการซ่งรู้จักเสิ่นเผยชวนดีที่สุด เขาไม่ใช่คนที่ชอบการแข่งขันเอาชนะ แถมกู้เป่ยคนนั้นและเสิ่นเผยชวนก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันทางด้านหน้าที่การงาน กู้เป่ยไม่ใช่บุคคลสาธารณะ ก็ไม่มีอันใดที่จะเกิดความบาดหมางกันได้ สิ่งเดียวที่จะเกิดความบาดหมางกันขึ้นได้คงจะมีแต่เรื่องชีวิตส่วนตัวสินะ
เสิ่นเผยชวนเองก็ไม่คิดที่จะปิดบังผู้บัญชาการซ่งแต่อย่างใด “แฟนของเพื่อนฉันถูกเขาจับตัวไป เรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดเมื่อครั้งก่อนนั่นแหละ ฉันกำลังตรวจสอบเขาอยู่ คงเป็นเพราะเขาเองก็รู้ว่าฉันกำลังตรวจสอบเขาอยู่ ถึงได้ตั้งใจใส่ร้ายฉัน”
ผู้บัญชาการซ่งเองก็ไร้หนทาง ท่านปู่กู้เป็นคนที่มีเส้นมีสายกว้างขวาง เขาสนับสนุนคนที่มีความสามารถมากมายให้ได้ตำแหน่งใหญ่โต หากเขาต้องการลงมือเล่นงานใครสักคนขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องยากเลย
“ฉันไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่ออกจากตำแหน่ง” เสิ่นเผยชวนกล่าวอย่างเรียบเฉย
ความรู้สึกเสียดายนั้นมีอยู่แล้ว หากต้องออกจากตำแหน่งจริงๆ เขาเองก็ยอมรับ
ผู้บัญชาการซ่งทำตาขวาง ไม่เห็นด้วยกับประโยคของเขาอย่างเห็นได้ชัด “ทีแรกที่คุณมาอยู่กับฉันคุณพูดว่ายังไง? ตอนนี้คุณกล้าพูดกับฉันว่าอย่างมากก็แค่ออกจากตำแหน่ง?”
เสิ่นเผยชวนไม่อยากอยู่แล้ว แต่การถูกตรวจสอบไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ผู้บัญชาการนิ่งไปสักพัก “ฉันจะช่วยคุณหาเส้นสายเอง”
“อย่าคิดมากเพราะฉันเลย” เสิ่นเผยชวนไม่อยากรบกวนผู้บัญชาการซ่ง
ผู้บัญชาการซ่งโมโห คิดว่าเสิ่นเผยชวนไม่ใส่ใจอนาคตของตนเอง พลันคำรามลั่น “คุณพูดอะไรของคุณ? เรื่องที่มีผลกระทบกับอนาคต แต่คุณกลับไม่ใส่ใจ ความทะเยอทะยานของคุณก่อนหน้านี้ไปไหนหมดแล้ว?”
เสิ่นเผยชวนก้มหน้าลงไม่ตอบโต้ เขาเองก็อยากทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ทำเรื่องดีๆ พยายามทำให้ตนเองเกิดคุณค่ามากที่สุด เขาเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อเรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว เขาแค่นึกถึงเหตุร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้
เขาไม่อยากจะบอกใครทั้งนั้น โดยเฉพาะจงจิ่งห้าว ว่าเขากำลังเตรียมงานแต่ง ในเวลานี้เขาไม่อยากจะรบกวนใครทั้งนั้น
“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่คุณไม่เคยทำ เราต้องพยายามแก้ไขปัญหา ต่อจากนี้ห้ามพูดอะไรที่หมดอาลัยตายอยากอีก เข้าใจไหม?”
ผู้บัญชาการซ่งสีหน้าบึ้งตึง
เสิ่นเผยชวนรู้สึกผิดต่อความไว้วางใจและการปลูกฝังของผู้บัญชาการซ่ง
ผู้บัญชาการซ่งลุกขึ้นยืนหยิบหมวกขึ้นกะทันหัน “ฉันจะไปหาคนเพื่อหารือเรื่องนี้สักหน่อย”
เสิ่นเผยชวนไม่รู้ว่าพูดอะไรกับผู้บัญชาการซ่ง เขาเปรียบเสมือนกับพ่อคนหนึ่ง
“ขอบคุณครับ” แม้ว่าคำนี้จะไม่สามารถแสดงความรู้สึกของเขาออกมาได้
ผู้บัญชาการซ่งตบบ่าของเสิ่นเผยชวน “คุณต้องตั้งสติ เรื่องที่ไม่เป็นความจริง เราไม่เกรงกลัว แล้วก็ คุณกับฉันยังต้องขอบคุณอะไรกัน?”
เสิ่นเผยชวนเผยรอยยิ้ม “สำหรับความไว้วางใจของท่านและการปลูกฝัง ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
“ทำสิ่งดีๆ ก็ถือว่าตอบแทนแล้ว” จบประโยคผู้บัญชาการซ่งเดินออกไปทันที
เสิ่นเผยชวนสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด ก่อนเดินตามออกจากห้อง เขาผลักประตูห้องทำงานออก แฟ้มคดีของมารดาชางหยูยังคงวางอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบขึ้นไปไว้ที่ห้องเก็บข้อมูล ระหว่างทางกลับเขาก็ได้พบกับลูกน้องเข้า
“รองผู้บัญชาการ มีจดหมายของท่านครับ”
“จดหมายอะไร?” เสิ่นเผยชวนกล่าวถาม
“อยู่ที่โต๊ะของฉัน ฉันจะไปเอามาให้” คนคนนั้นรีบกลับไปยังโต๊ะประจำตำแหน่งของตน หยิบจดหมายฉบับหนึ่งยื่นให้กับเสิ่นเผยชวน “คุณชางหยูคนนั้น ฝากฉันเอาให้กับท่าน”
เมื่อเสิ่นเผยชวนได้ยินชื่อนี้ ในใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา
เสิ่นเผยชวนกล่าวถามขณะรับจดหมายมาไว้ “เธอมาเมื่อไหร่?”
“เมื่อวันนี้ครับ” บุคคลดังกล่าวเอ่ยตอบ
เสิ่นเผยชวนขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัย “เมื่อวันนี้?”
“ใช่ครับ เมื่อวันนี้ เธอมาหาท่าน แต่ท่านไม่อยู่ ฉันยังบอกให้เธอไปที่บ้านท่านด้วยครับ คงจะไม่ได้พบท่าน ถึงได้ฝากจดหมายกับฉันเอาไว้”
เสิ่นเผยชวนกล่าวตอบรับทราบ เขาถือจดหมายเอาไว้เดินเข้าไปที่ห้องทำงานพร้อมปิดประตูลง เขาเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน จ้องมองซองจดหมายสีชมพู ไม่ได้เปิดอ่านในทันที
หากแต่เขานึกในใจ ว่าเธอจะเขียนบอกอะไรกับเขากันนะ
เวลาผ่านไปสักพัก เขาถึงได้ค่อยๆ เปิดซองจดหมายออก
ตัวอักษรที่ผ่านเข้ามายังสายตาถูกขีดเขียนด้วยปากกาหมึกซึมสีดำ ลายมือที่สะสวย ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเขียนจดหมายแบบดั้งเดิม หากแต่เริ่มต้นด้วยเนื้อหา
【อันที่จริงฉันอยากจะบอกลาคุณต่อหน้า แต่ฉันไม่ได้พบกับคุณเลย รู้สึกว่าเราไม่ค่อยมีวาสนาต่อกันสักเท่าไรเลย
เหมือนกับอายุของเรา คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว ส่วนฉันยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย นี่คือความแตกต่างของเรา
อันที่จริงฉันรู้สึกดีกับคุณมาก ฉันคิดว่า อาจเป็นเพราะการที่ฉันขาดความรักจากพ่อล่ะมั้ง เลยชอบผู้ชายที่มีความรับผิดชอบดูเป็นผู้ใหญ่ และคุณก็เป็นคนแบบนั้น แต่ฉันรู้ดีแก่ใจ ว่าเราเป็นไปไม่ได้ คุณต้องการภรรยาที่เกื้อหนุนคุณได้ และเห็นได้ชัดว่าฉันไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นได้
ฉันต้องไปก่อน ฉันตัดสินใจที่จะไปจากเมืองB หลังจากนี้จะไม่กลับมาอีก คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว
ขอขอบคุณคุณมากจริงๆ ที่ดูแลฉันตลอดมา ขอบคุณค่ะ
ใช่สิ คุณรีบหาคู่ชีวิตได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะแก่จริงๆ แล้วนะ
หากเจอคนที่ชอบก็ใช้ความกล้าเข้าไปจีบเลย คุณโลกส่วนตัวสูงเกินไป เดี๋ยวจะพลาดจากกันเอานะ
สุดท้ายนี้ขอให้คุณมีความสุข
หนทางแสนไกลกับผู้คนมากหน้าหลายตา หวังว่าเราจะได้พบกันอีก
——————————————————ซางหยู
เสิ่นเผยชวนหลุบตาลงต่ำ ใบหน้าของเขาเฉยชาไร้ปฏิกิริยาใดๆ จนไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ตอนนี้รู้สึกยังไง
เขาพับจดหมายเก็บเข้าไปในซองดังเดิม วางลงบนโต๊ะ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาเธอ หากแต่ปลายสายกลับเป็นเบอร์ว่าง
ก่อนที่เธอจะไปจากเมืองB เธอยกเลิกเบอร์ที่ใช้ที่นี่ เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปจากเมืองนี้
หน้าจอที่แสดงการโทรออกย้อนกลับไปยังหน้าที่กดหมายเลขโทรศัพท์ เธอกดเบอร์ของซูจ้าน
ซูจ้านกำลังนวดให้กับท่านย่า แม้ว่าท่านย่าจะฟื้นฟูสามารถพูดจาได้แล้ว แต่ยังไงซะก็อายุมากแล้ว การเดินเหินคงจะฟื้นฟูไม่ได้แล้ว
ท่านย่ายังไม่อยากจะเป็นอะไรไป เพราะยังไม่ได้เห็นหลานชายเพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝา
“เมื่อไหร่คุณถึงจะไปตามเสี่ยวยากลับมา?” ท่านย่ากล่าวถาม ในใจเธอก็ยังคงถูกใจฉินยามากที่สุด
“ครั้งก่อนเป็นความผิดของคุณแท้ๆ หากคุณยอมขอโทษเธอ ต่อให้คุกเข่าขอร้องเธอ คุณก็ต้องไปตามเธอกลับมา” ท่านย่ากล่อย่างชัดเจน
ซูจ้านกล่าว “ฉันรู้”
“เฮ้อ ฉันเกือบจะไม่ได้อุ้มเหลนแล้ว ความหวังในชีวิตนี้ของฉัน ก็คือได้เห็นคุณกับเสี่ยวยาคืนดีกัน แล้วมีลูกซะ แบบนี้ฉันก็จะไม่มีอะไรติดค้างอีก ต่อให้ตายไป ฉันก็นอนตายตาหลับแล้ว”
“ท่านต้องมีอายุยืนจนถึงร้อยปี” ซูจ้านกุมมือของคุณย่าเอาไว้ “ท่านวางใจเถอะ ฉันจะตามเสี่ยวยากลับมาให้ได้ แล้วก็มีเหลนให้ท่านเยอะๆ อีกหน่อยท่านยังต้องอยู่ช่วยฉันเลี้ยงเหลนอีกนะ เพราะงั้นต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี”
ท่านย่าหัวเราะร่า ในเวลานี้เองโทรศัพท์ในกระเป๋าของซูจ้านเกิดร้องดังขึ้น เขาควักโทรศัพท์ออกมาก็ได้พบกับ เบอร์โทรศัพท์ของเสิ่นเผยชวน
เขากดรับสาย “เผยชวน?”
“ว่างไหม ออกมาดื่มกับฉันสักหน่อยสิ”
ซูจ้านรับรู้ถึงน้ำเสียงที่เศร้าซึมของเขา จึงกล่าวถาม “นายเป็นอะไร?”
“หากนายมีเวลาก็ออกมาดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย อย่าถามมาก”
ซูจ้านหยิบโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นเสิ่นเผยชวนจริงๆ ไอ้หมอนี่เป็นอะไรของมัน?
ทำไมถึงได้เหมือนกับกินลูกระเบิดมาแบบนั้น?
“ฉันว่าง คุณอยู่ไหน?” ซูจ้านกล่าวถาม
น้ำเสียงของเสิ่นเผยชวนแล่นผ่านมาจากปลายสาย “ฉันจะไปรอคุณที่บาร์ที่เราไปประจำ”
“โอเค ฉันรู้แล้ว” จบประโยคซูจ้านตัดสายทิ้ง พลันหันกลับไปทางท่านย่า “เป็นเผยชวน เหมือนว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี เลยเรียกให้ฉันออกไปดื่มเป็นเพื่อน”
ท่านย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เผยชวนก็ยังไม่มีแฟนอย่างงั้นหรือ?”
ซูจ้านกล่าวตอบว่าใช่
“เฮ้อ พวกคุณแต่ละคนต้องคอยทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย อายุปูนนี้แล้ว เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังไร้วี่แวว”
ซูจ้านตบมือของผู้เป็นย่าเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันไปก่อนนะ”
ท่านย่า โบกมือ “ไปเถอะ อย่าดื่มมากล่ะ บอกให้เขาดื่มให้น้อยหน่อย เหล้าเป็นไม่ดี”
“ฉันรู้แล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ” ซูจ้านคว้ากุญแจรถ ก่อนกำชับกับสาวใช้ “ดูแลคุณย่าดีๆ”
สาวใช้กล่าว “แน่นอนค่ะ”
ซูจ้านออกจากบ้านมุ่งไปยังบาร์ร้านประจำที่พวกเขาไปบ่อยๆ
เมื่อเขาถึงที่ เสิ่นเผยชวนกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว เขาเดินเข้ามานั่งลงที่ข้างๆ เสิ่นเผยชวน
เขาหยิบขวดเหล้าก่อนจะรินลงในแก้วเปล่าที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองจนเต็ม พร้อมกล่าวถาม “คุณมีเรื่องไม่สบายใจงั้นหรือ?”
เสิ่นเผยชวนไม่กล่าวใดๆ “ก็แค่อารมณ์ไม่ค่อยดี”
ซูจ้านกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ “คุณไม่ใช่คนที่อารมณ์ไม่ดีแล้วจะดื่มเหล้า ว่ามา ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?”
เสิ่นเผยชวนรินเหล้าจนเต็มแก้วอีกครั้ง พลันจ้องมองเขา “ให้คุณมาดื่มคุณก็ดื่มไปสิ จะถามมากทำไมกัน?”
“เหอะ” ซูจ้านเผยเสียงหัวเราะ ก็เพราะอารมณ์ไม่ดี จึงใช้น้ำเสียงกระตุ้นหัวข้อ
เขากะลิ้มกะเหลี่ย “ทะเลาะกับแฟนสาวตัวน้อยมางั้นหรือ?”
เสิ่นเผยชวนหันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ ทำน้ำเสียงเย็นชา