ใช่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว นอกเสียจากเวลาจะหมุนย้อนกลับ หรือไม่ก็เกิดปาฏิหาริย์
“พี่บอกมาสิ ตอนนี้จะทำยังไง?” กู้หุ้ยหยวนมองไปทางพี่ใหญ่
ตระกูลกู้ดูเหมือนจะเป็นตระกูลใหญ่ เกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ที่สามารถช่วยได้มีแค่น้อยนิด
พวกเด็กๆไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน ลูกสาวก็มีอคติต่อบิดามารดา เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกคนไม่สามัคคีกันก็ถือเป็นเรื่องปกติ
“พี่สาม…”
“เลิกคิดได้แล้ว วันนั้นพี่สามไม่ได้พูดอย่างชัดเจนแล้วรึไง? ไม่มีทางยอมช่วยแน่นอน จะว่าไปก็ต้องโทษพ่อกับแม่ พวกเขาตอนนั้นถ้าหากห่วงใยและรักทะนุถนอมพวกพี่สาวสักหน่อย พวกเธอก็คงจะไม่เด็ดขาดถึงขนาดนี้ ในสายตาของคนแก่ทั้งสอง ลูกชายถึงจะสำคัญที่สุด เลี้ยงดูจนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทำให้เกิดเรื่องขึ้น” กู้หุ้ยหยวนเข้าใจที่พวกพี่สาวทำ “พวกเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุด ถ้าหากสามารถปกป้องกู้เป่ยได้ ก็เดินหน้าเต็มที่ เพื่อปกป้องลูกชายคนนี้ให้พวกเขา”
พี่ใหญ่ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน “เราไปดูแม่กัน ไปปรึกษาเธอหน่อย”
กู้หุ้ยหยวนพยักหน้า
สิบโมงตรง ตอนที่หลินซินเหยียนปรับอารมณ์เสร็จแล้วเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก ฉินยาก็ถามเธอ “เธอจะไปรับอารองหรอ?”
หลินซินเหยียนพยักหน้า “เขาพึ่งมา จะต้องไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมที่นี่แน่ๆ ฉันจะไปรับเขา”
“ฉันไปละกัน เธอบอกสถานที่นัดหมายมา ถึงตอนนั้น พวกเราจะตรงเข้าไปเลย”
หลินซินเหยียนมองเธอ และถามขึ้นอีกครั้ง “เธอคิดดีแล้วจริงๆหรอ?”
ฉินยาพยักหน้า “จริง”
หลินซินเหยียนก็หมดหนทาง ได้แต่ตามใจเธอ “งั้นก็ได้ ร้านอาหารเร่อต่าวที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท”
ฉินยายิ้มให้เธอ “เธอตอนขมวดคิ้ว ไม่ได้น่ารักเลย เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว ฉันคิดดีแล้ว แล้วก็จะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วย ดังนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
หลินซินเหยียนอ้าแขนกอดเธอ “ขอแค่เธอรู้สึกสบายใจก็ดีแล้ว”
ที่จริงเธอพูดมาก็มีเหตุผล ใช้ชีวิตโดยไม่กดดันตัวเอง หากอยู่กับคนรัก ทำให้เธอรู้สึกกดดันมากขึ้น สู้แยกกันและผ่อนคลายสักหน่อยจะดีกว่า
หลังจากที่ฉินยาออกไป หลินซินเหยียนก็ออกจากวิลล่าตามออกไป ไปหาจงจิ่งห้าวที่บริษัทก่อนล่วงหน้า
แต่จงจิ่งห้าวกลับไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงาน แต่อยู่ที่ห้องรับแขกพูดคุยอยู่กับคนอื่น ถึงแม้จะเคลื่อนไหวใหญ่โต เบื้องบนก็ให้ความสำคัญ แต่ว่าก็ยังคงวางใจไม่ได้ ด้านหนึ่งสังเกตสถานการณ์ อีกด้านหนึ่งเกาะติดความคืบหน้าของเรื่อง
หลินซินเหยียนไม่ได้ให้เลขาไปแจ้งเขา ตัวเองเข้าไปรออยู่ในห้องทำงาน
จงจิ่งห้าวพูดคุยกับคนอื่นจบ ตอนกลับมา ได้ยินเลขาบอกว่าหลินซินเหยียนเข้ามาหา เขารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องทำงาน ผลักเปิดประตูก็เห็นหลินซินเหยียนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา กำลังดูเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ
ที่จริงคำศัพท์เฉพาะทางธุรกิจหลายคำเธออ่านไม่ออก ก็แค่เบื่อๆเลยฆ่าเวลา
ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นเขาก็ถามขึ้น “เสร็จธุระแล้วหรอคะ?”
จงจิ่งห้าวปิดประตูเดินเข้ามา “อืม มาถึงแล้ว ทำไมไม่ให้เลขาไปแจ้งผม?”
“คุณยุ่งอยู่ไม่ใช่รึไง?” หลินซินเหยียนอยากจะลุกขึ้นยืน จงจิ่งห้าวกดไหล่เธอไว้ไม่ให้เธอขยับ หลินซินเหยียนยิ้ม “คุณไม่ให้ฉันลุกขึ้น อยากจะให้ฉันมานั่งตำแหน่งนี้งั้นหรอคะ?”
จงจิ่งห้าวพิงขอบโต๊ะทำงาน งอขา รักษาระยะห่างจากเธอไม่ไกลมาก “เดิมทีก็เป็นของคุณอยู่แล้ว ไม่ใช่รึไง?”
ตอนปีใหม่ จงฉีเฟิงยกหุ้นส่วนทั้งหมดให้แก่เด็กทั้งสองคน มีเธอเก็บรักษาไว้ให้ ตอนนี้เธอต่างหากที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่
หลินซินเหยียนเอื้อมมือคว้าเนคไทของเขา ดึงเข้ามาหาตัวเอง สบสายตากัน เธอเหยียดยิ้มพูดอย่างซุกซน “งั้นตอนนี้คุณก็กำลังทำงานให้ฉันงั้นหรอ?”
จงจิ่งห้าวเหลือบสายตาลงมองนิ้วเรียวของเธอที่กำลังพัวพันเนคไทอยู่ ทำท่าจนใจหมดหนทางกับเธอ “ตัวผมล้วนเป็นของคุณ ต่อไปคุณนั่งตรงนี้ ผมรับใช้คุณ”
หลินซินเหยียนยิ้ม แต่ว่ารอยยิ้มก็หายไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ามือยังไม่ปล่อยเขา จงจิ่งห้าวให้ความร่วมมือก้มตัวลงมาแบบนั้น
“วันนี้ซูจ้านเซ้าซี้ให้คุณเรียกฉินยาออกมาใช่มั้ย?” เธอถามอย่างเศร้าใจ
จงจิ่งห้าวเอื้อมมือลูบใบหน้าของเธอ ปลายนิ้วลูบคิ้วที่ขมวดอยู่ของเธอให้เรียบ “เป็นอะไร? ฉินยาไม่เห็นด้วยหรอ?”
เธอส่ายหน้า “เปล่า ยังจำครั้งก่อนที่ฉันถามคุณว่า ถ้าหากฉันไม่สามารถมีบุตรได้ คุณยังจะรักฉันได้มั้ย?”
ขนตาจงจิ่งห้าวสั่นไหว เข้าใจทั้งหมดแล้ว ตอนนั้นที่หลินซินเหยียนถาม เขาก็คาดเดาไว้บ้าง
“ระเบิดครั้งนั้นทำให้เธอแท้ง ตอนนี้ไม่สามารถมีบุตรได้แล้ว เธออยากจะตัดขาดกับซูจ้าน วันนี้เธอมา น่าจะมาพูดกับซูจ้านให้ชัดเจน”
“ที่จริงแบบนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี”
พูดชัดเจนแล้ว ต่างคนก็ต่างเริ่มต้นใหม่ ไปตามหาคนที่เหมาะสมใหม่อีกครั้ง
จะพูดว่าเป็นทางเลือกที่แย่ก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรกระจกแตกแล้วก็ยากจะเหมือนเดิม ต่อให้ซ่อมแซมยังไง ก็ยังมีรอยอยู่ดี
สู้ปล่อยมือเสียดีกว่า
หลินซินเหยียนเงยหน้ามองเขา “ไปคุยกับซูจ้านหน่อยมั้ย ให้เขาเตรียมใจไว้หน่อย?”
เธอกลัวว่าถึงตอนนั้นซูจ้านจะโศกเศร้าเสียใจมาก
“คุณไม่ต้องไปยุ่งหรอก” จงจิ่งห้าวก้มตัวลงมาต่ำยิ่งกว่าเดิม พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “คุณกะว่าจะลากผมไปอย่างนี้หรอ?”
หลินซินเหยียนถึงจะสะดุ้งขึ้น ตัวเองดึงเขามาตลอดไม่ปล่อย เนคไทถูกเธอดึงจนออกมานอกเสื้อสูทแล้ว เธอปล่อยมือออก จัดเนคไทและปกคอเสื้อให้เขา “ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราไปกันตอนนี้เลยมั้ย?”
“อืม” จงจิ่งห้าวตอบรับ
เขาอยากจะไปก่อน สั่งของกินให้หลินซินเหยียนสักหน่อย กลัวว่าอีกเดี๋ยวเธอจะไม่อยากอาหาร
“ไปกันเถอะ” จงจิ่งห้าวโอบเอวของเธอ