“คุณอาซู คุณอาก็เล่นจุ๊บๆกับคุณน้าเยี่ยนเยี่ยนด้วยไหมคะ” จงเหยียนซีเบิกตากว้าง แพขนตากะพริบปริบๆ
“แน่นอนว่าอาอยาก…”
ฉินยาขึงตาใส่เขา ซูจ้านก็มีท่าทางขลาดกลัวขึ้นมาทันที ไม่กล้าเอ่ยพูดมากไปกว่านี้แม้แต่คำเดียว
“เธอยังเป็นเด็ก ยังไร้เดียงสา คุณน่ะใช่ไหมคะ ที่นี่มันคือสถานที่ใด?”
ซูจ้านยอมรับความผิดทันที “เป็นผมที่ผิดเอง ครั้งหน้าผมจะระวังเรื่องสถานที่”
เสิ่นเผยซวนเห็นท่าทางขลาดเขลาเช่นนั้นของซูจ้านแล้วก็อยากจะหัวเราะ จึงอุ้มจงเหยียนซีไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อไม่เป็นการรบกวนทั้งสองฝั่ง
“ดูข่าวหรือยัง” ช่าวหยุนถาม
จงจิ่งห้าวตอบอืม ความจริงแล้วไม่ใช่เขาที่ดู แต่เป็นกวนจิ้งที่คอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ผลลัพธ์ก็โทรศัพท์หาเขาทันที
หลินซินเหยียนถามด้วยความสงสัย “ข่าวอะไรหรือคะ”
คดีความของท่านปู่กู้ถูกตัดสินลงมาแล้ว เมื่อคืนวานเว่ยป๋อของทางราชการได้โพสต์ผลลัพธ์การจัดการ
หลังจากเรื่องเก่านานนับปีถูกขุดออกมา ไม่เอ่ยถึงคนที่มีความเกี่ยวข้องมากมาย ขอเพียงแค่เขาประพฤติตัวเสื่อมเสีย เมื่อตรวจออกมาก็ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเดียว การทุจริตและรับสินบนที่มีจำนวนเงินสูงถึงสองพันล้าน จึงถูกตัดสินโทษประหาร
เสียงประกาศเรียกดังไปทั่ว
ช่าวหยุนตบบ่าจงจิ่งห้าวเล็กน้อย “ดูแลเหยียนเหยียนให้ดี มีเวลาว่างก็ไปเที่ยวเล่นที่เมืองC”
จงจิ่งห้าวที่โอบไหล่หลินซินเหยียนเอาไว้เอ่ยว่า “ต้องไปแน่”
“ขณะนี้เที่ยวบิน A950 ที่จะเดินทางไปยังเมืองC เครื่องกำลังจะขึ้นบินแล้ว ท่านผู้โดยสารโปรดไปตรวจตั๋วขึ้นเครื่องที่ประตูทางเข้าด้วยค่ะ”
“ฉันควรจะไปแล้ว พวกนายก็กลับเถอะ” ช่าวหยุนโบกมือ
ทางด้านซูจ้านกับฉินยาก็เดินมาแล้วเช่นกัน ฉินยาเข้ามากอดหลินซินเหยียนแล้วเอ่ยว่า “ฉันกลับก่อนนะ ที่ร้านฉันจะดูเอง เธอไม่ต้องเป็นกังวล เธอก็บำรุงครรภ์ให้ดี อย่าปฏิบัติต่อลูกชายบุญธรรมของฉันอย่างขาดความยุติธรรมล่ะ”
หลินซินเหยียนรับคำ
ไปส่งพวกเขาถึงประตูตรวจตั๋ว
เห็นเงาร่างของพวกเขากำลังจะหายไป ในใจหลินซินเหยียนก็มีความรู้สึกหดหู่ผุดขึ้นมากะทันหัน “อารอง ฉินยา ฉันจะไปเยี่ยมพวกคุณนะ”
“ได้ พวกเราจะรอ” ฉินยาออกแรงโบกมือ ช่าวหยุนก็หน่วยตาแดงระเรื่อขึ้นมาแปลกๆ “น่าเกลียด”
เอ่ยเสร็จแล้วก็หมุนตัวจากไป
หากใช้คำพูดที่ทำให้ผู้คนสะเทือนใจก็คือ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา? อีกอย่าง หลังจากนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้พบกันอีก
“ลาก่อนค่ะคุณปู่ช่าว คุณน้าเยี่ยนเยี่ยน” จงเหยียนซีชูแขนสองมือขึ้นสูง ออกแรงโบกไปมา “หนูจะคิดถึงพวกคุณนะคะ หนูกับพี่ชายจะไปเยี่ยมพวกคุณแน่ค่ะ”
ประตูทางเข้าคนเยอะเกินไป พวกเขาจึงต้องเข้าไปทันที
ซูจ้านยืนอยู่ข้างประตูทางเข้า หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความให้กับฉินยาข้อความหนึ่ง [เสี่ยวยา คุณเพิ่งจะจากไป ผมก็คิดถึงคุณแล้ว ทำอย่างไรดี?]
ฉินยาที่เพิ่งจะนั่งลงบนที่นั่ง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หลังจากเธอเปิดอ่านข้อความแล้ว ก็ตอบกลับไปว่า [จนปัญญา]
หลังจากนั้นก็ปิดเครื่อง
ซูจ้านที่เห็นคำนั้นก็ยิ้มแหยๆออกมา แม้ว่าจะไม่ใช่คำหวาน แต่ขอเพียงแค่เธอสนใจตัวเอง เขาก็ดีใจมาก มีความสุขมาก และพอใจมากเช่นกัน
เสิ่นเผยซวนมองเขาอย่างเย็นชา พลางเอ่ยว่า “ยิ้มเหมือนกับคนโง่”
“นายน่ะสิที่โง่” ซูจ้านโต้กลับประโยคหนึ่ง ในตอนนี้เองที่โทรศัพท์มือถือในมือของเขาส่งเสียงดังขึ้นมา เป็นโทรศัพท์จากสำนักงานกฎหมาย มีคดีความที่ตึงมือคดีหนึ่ง ไม่มีทนายในสำนักงานกฎหมายที่กล้ารับ จึงต้องการให้เขากลับไปจัดการ เขาเอ่ยประโยคหนึ่งว่าผมรู้แล้ว และวางสายโทรศัพท์ไป พลางเอ่ยกับเสิ่นเผยซวนว่า “ฉันมีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ นายนั่งรถของจิ่งห้าวกลับไปนะ”
เอ่ยจบคนก็วิ่งไปแล้ว
เสิ่นเผยซวนเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้ว่า “ใช้ไม่ได้เลยเจ้าหมอนี่”
จงจิ่งห้าวยื่นกุญแจรถตัวเองให้เขา “นายขับรถของฉัน”
“แล้วนายล่ะ” เสิ่นเผยซวนถาม
“ฉันยังมีเรื่องอื่น ตอนนี้จึงยังไม่กลับไป นายช่วยฉันส่งเสี่ยวลุ่ยกลับไปที่คฤหาสน์หน่อย”
เสิ่นเผยซวนพยักหน้า “แบบนั้นก็ได้”
เขาเดินไปได้สองก้าวก็หยุดเท้า พลางเอ่ยว่า “คืนวันนี้พวกนายว่างไหม ถ้าว่างล่ะก็ ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวพวกนาย”
“มีเรื่องอะไรหรือ” หลินซินเหยียนมองไปที่เขา พลางเอ่ยถาม
เสิ่นเผยซวนพยักหน้า “ฉันอยากจะแนะนำแฟนสาวของฉันให้พวกนายรู้จัก”
หลินซินเหยียนเบิกตากว้าง “นายมีแฟนสาวแล้ว?”
เสิ่นเผยซวนคิดว่าตัวเองรับปากไปแล้ว อีกทั้งเขาก็ยอมรับเธอแล้ว จึงควรจะแนะนำเธอให้กับคนข้างกายตัวเองได้รู้จัก
เขาพยักหน้า “อืม”
“ว่าง” หลินซินเหยียนยิ้ม “เรื่องสำคัญขนาดนี้ แน่นอนว่าว่างอยู่แล้ว”
เสิ่นเผยซวนเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รอฉันจองสถานที่ก่อน เดี๋ยวจะส่งที่อยู่เข้าโทรศัพท์มือถือเธอ”
หลินซินเหยียนบอกว่าได้ และกำชับให้เขาขับรถช้าหน่อย
เสิ่นเผยซวนเอ่ยว่าวางใจเถอะ “ฉันจะส่งเสี่ยวลุ่ยกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”
เอ่ยจบแล้วก็อุ้มจงเหยียนซีเดินออกไปจากห้องโถงสนามบิน เธอนอนคว่ำหน้าอยู่บนไหล่ของเสิ่นเผยซวน เบะปากเอ่ยว่า “เฮ้อ หนูถูกทิ้งแล้ว”
“พูดไร้สาระ ใครทิ้งหนูกัน?” เมื่อเดินถึงข้างรถ เสิ่นเผยซวนก็เปิดประตูรถ วางเธอไว้บนคาร์ซีทที่เบาะด้านหลัง
จงเหยียนซีเบะปาก “แน่นอนว่าเป็นหม่ามี๊กับคุณพ่อหนูไงคะ พวกเขาสองคนมักจะอยู่ด้วยกัน ล้วนไม่ต้องการหนูกับพี่ชายแล้ว”
“หนูก็มาอยู่กับอาสิ หลังจากนี้ก็มาอยู่ที่บ้านอา…”
“หนูไม่เอาด้วยหรอก” เสิ่นเผยซวนยังเอ่ยไม่ทันจบ จงเหยียนซีก็รีบตัดบทเขา แม้ว่าคุณพ่อกับหม่ามี๊จะอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน แต่ว่าเธอก็ยังรู้สึกว่ามีความสุขมาก
เธอไม่ต้องการไปจากคุณพ่อกับหม่ามี๊ เพื่อไปอยู่บ้านคุณอาหรอก”
เมื่อสตาร์ทรถแล้ว เสิ่นเผยซวนก็คิดถึงซ่งหย่าซิน จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมจะโทรหาเธอ แต่ก็พบว่าตัวเองไม่มีเบอร์ของเธอ ดังนั้นจึงโทรศัพท์หาผู้บัญชาการซ่งแทน
เมื่อวานนี้ซ่งหย่าซินได้เล่าเรื่องที่เสิ่นเผยซวนยอมรับตัวเองแล้วให้กับผู้ชราที่บ้านทั้งสองฟัง
คุณนายซ่งยิ้มไม่หุบ ผู้บัญชาการซ่งเพียงแค่ทอดถอนใจเล็กน้อย
คุณนายซ่งจึงไม่สบอารมณ์ พลางเอ่ยว่า “คุณไม่อยากให้ลูกสาวกับเสิ่นเผยซวนคบกันหรือคะ”
ผู้บัญชาการซ่งแค่นเสียงหนึ่ง ไม่ตอบคำถาม แน่นอนว่าเขาหวังให้ลูกสาวของตัวเองคบกับเสิ่นเผยซวน แต่ว่าตอนนี้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ มักจะรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ
ตอนนี้เมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ของเสิ่นเผยซวนก็รีบรับสายทันที
เขาอยากจะถามว่าคิดชัดเจนดีแล้วหรือยัง สุดท้ายก็ได้ยินเสียงของเสิ่นเผยซวนที่เอ่ยว่า “ผมมีเรื่องอยากจะโทรศัพท์หาหย่าซินครับ แต่ว่าไม่มีเบอร์ของเธอ”
ผู้บัญชาการซ่งมองลูกสาวที่กำลังปอกผลไม้อยู่แวบหนึ่ง และยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้ “เผยซวนจะหาลูก แต่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ลูก”
ซ่งหย่าซินรีบรับมาทันที เอ่ยยิ้มๆว่า “เผยซวน”
“ตอนเย็นผมอยากจะเชิญเพื่อนผมมากินข้าว เพื่อแนะนำคุณให้พวกเขารู้จัก ตอนเย็นคุณว่างไหม”
“ว่างค่ะ ใช่แล้ว ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนหรือคะ มารับฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากขับรถไปทำงาน คุณไปส่งฉันเถอะนะคะ จะได้ถือโอกาสขับรถของคุณไปด้วยเลย”
ระหว่างทางกลับจากสนามบินผ่านชุมชนที่ซ่งหย่าซินพักอาศัยอยู่พอดี จึงเอ่ยว่า “ได้ อย่างนั้นคุณลงมารอผมเลย ผมจะถึงในไม่ช้า”
ผ่านไปประมาณสิบนาที เสิ่นเผยซวนก็ขับรถไปถึงหน้าประตูชุมชน ซ่งหย่าซินก็ลงมารอแล้ว เธอนึกว่าเสิ่นเผยซวนจะนั่งรถแท็กซี่มา ถึงอย่างไรรถของเขาก็อยู่ที่บ้านเธอ เมื่อเสิ่นเผยซวนลดกระจกรถลงแล้วเรียกเธอ เธอถึงจะรู้
หลังจากขึ้นรถแล้วก็ถามว่า “นี่คือรถของใครคะ เป็นของคุณด้วยหรือคะ”
เสิ่นเผยซวนกำลังจะพูดว่าไม่ใช่ จงเหยียนซีก็เอ่ยขึ้นว่า “เป็นของคุณพ่อหนูค่ะ”
ตอนนี้ ซ่งหย่าซินถึงได้สังเกตเห็นว่าที่เบาะด้านหลังมีคน จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธออยากจะมีเวลาส่วนตัวกับเสิ่นเผยซวน เด็กคนนี้เป็นใครกัน?