จงจิ่งห้าวเงยศีรษะให้ความร่วมมือในการ ‘ลวนลาม’ ของเธอเป็นอย่างดี หางตาตกลงเล็กน้อย และหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด “ถ้าผมพูดว่าผมคิดถึงคุณ คุณจะอนุญาตให้ผมทำอะไรสักนิดในห้องทำงานไหม”
หลินซินเหยียนพ่ายแพ้ในวินาทีเดียว สำหรับเรื่องหน้าไม่อายเหล่านั้นเทียบเขาไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
เธอปล่อยมือ จงจิ่งห้าวคว้ามือเธอเอาไว้ ไม่ให้เธอเอาออก เอ่ยยิ้มๆว่า “ลวนลามเสร็จแล้วก็จะจากไป?”
หลินซินเหยียนทำท่าทางโกรธเคืองอย่างน่ารัก “ใครลวนลามคุณกันคะ จะว่าไป มีใครเห็นหรือคะ ใครจะสามารถพิสูจน์ได้?”
จงจิ่งห้าวโมโหจนหัวเราะออกมา “หลังจากนี้คุณทำอะไรกับผม ผมยังต้องถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้เป็นหลักฐานถึงจะได้สินะ”
หลินซินเหยียนไม่ได้เถียงกับเขาต่อ ลุกขึ้นจากตักเขา “คุณจัดการงานเถอะค่ะ ฉันจะรอคุณอยู่ด้านข้าง”
จงจิ่งห้าวจับมือเธอไม่ปล่อย “ผมกอดคุณก็ไม่ทำให้การอ่านแฟ้มเอกสารล่าช้าหรอก”
หลินซินเหยียนอึดอัด “อีกครู่หนึ่งผู้อื่นเห็นเข้าจะไม่ดีนะคะ”
“พวกเราเป็นสามีภรรยา ใครจะกล้าพูดอะไร” จงจิ่งห้าวเอ่ยอย่างเป็นเหตุเป็นผล
หลินซินเหยียนยังคงไม่ยอม จงจิ่งห้าวไม่สนใจว่าเธอจะไม่ยินยอม ยังคงดึงคนกลับมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง โอบเอวเธอด้วยมือหนึ่งเอาไว้แน่น อีกมือหนึ่งก็พลิกแฟ้มเอกสารดูคร่าวๆ
หลินซินเหยียนที่รู้นิสัยของเขาก็ไม่ดิ้นรนอีก หาท่าที่นั่งแล้วสะดวกสบาย หลายคนที่อายุเท่าเขาล้วนมีร่างกายที่อ้วนขึ้น แต่เขากลับไม่มีพุงเลยแม้แต่น้อย ตอนที่นั่งกล้ามเนื้อก็เรียบตึงและแข็งแรง ไม่มีส่วนเกินเลยแม้แต่น้อย เป็นเรือนร่างที่ผู้หญิงล้วนอิจฉา
หลินซินเหยียนรู้สึกเบื่อ จึงถามว่า “คุณกอดฉันแบบนี้ ไม่รู้สึกว่าไม่สบายหรือคะ”
จงจิ่งห้าวหลุบตามองเธอ เอ่ยว่า “ไม่หรอก ผมชอบกอดคุณ”
หลินซินเหยียนยิ้ม แอบอิงอยู่ในอ้อมแขนเขา “คุณว่า แฟนสาวของเสิ่นเผยซวนจะเป็นผู้หญิงแบบไหนกันคะ ถึงได้สามารถทำให้เสิ่นเผยซวนเจ้าคนที่มีความคิดดื้อด้านคนนี้เปิดกว้างได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย?”
เสิ่นเผยซวนนั้นอะไรก็ล้วนดีหมด เพียงแต่ความรู้สึกช้าและสมองทึบ
ถึงกับมีแฟนสาวแล้วอย่างเงียบๆ นี่ทำให้หลินซินเหยียนตกตะลึงจริงๆ คราวที่แล้วซูจ้านยังบอกว่าเขามี แต่ตอนนั้นก็ไม่ยอมรับ
“คนที่ชื่อซางหยูคนนั้น คุณเคยเจอไหมคะ” เธอถาม
จงจิ่งห้าวบอกว่าไม่เคย
ความจริงแล้วคือเคยเจอแต่ว่าลืมไปแล้วเท่านั้นเอง
ตอนที่เกิดเรื่องคราวที่แล้ว ซูจ้านเคยพาเธอมาที่บริษัท
หลินซินเหยียนอ่านแฟ้มเอกสารที่เขาต้องจัดการไม่เข้าใจ ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากนอน จึงหาวออกมา “คุณจะเสร็จเมื่อไรคะ”
จงจิ่งห้าวตบหลังเธอเบาๆ “อยากนอนก็นอนสักครู่หนึ่ง พอเสร็จแล้วผมจะปลุกคุณ”
หลินซินเหยียนส่งเสียงอืม พิงร่างอยู่ในอ้อมอกของเขาแล้วหลับตาลง
การนอนในครั้งนี้นอนไปสองชั่วโมง จงจิ่งห้าวนั้นเหน็บชากินขาแล้ว แต่เมื่อเห็นเธอหลับลึกจึงไม่ได้เรียกเธอ และไม่กล้าขยับ กลัวว่าจะเป็นการปลุกเธอตื่น
“คุณควรจะปลุกฉันให้ตื่นนะคะ” หลินซินเหยียนขยี้ตา ลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเขา บนโต๊ะมีน้ำวางอยู่ เธอยกขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง เพื่อลดอาการคอแห้งตอนที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา
จงจิ่งห้าวบีบนวดขาที่เป็นเหน็บชา พลางเอ่ยว่า “เห็นว่าคุณกำลังหลับลึก จึงไม่อยากจะปลุกคุณตื่น”
หลินซินเหยียนวางแก้วน้ำ มองไปที่เขา กอดเขาเอาไว้แล้วจูบไปรอบหนึ่ง “สามี กลางวันนี้พวกเราจะไปกินข้าวกันที่ไหนคะ”
จงจิ่งห้าวถูกเสียงที่เรียกว่าสามีทำให้มึนงง ตะลึงค้างมองเธออยู่นาน “เมื่อครู่คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”
หลินซินเหยียนยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่ยอมรับ “ฉันเรียกคุณแล้วหรือคะ”
จงจิ่งห้าวยิ้มอย่างจนปัญญา “เจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ”
หลินซินเหยียนพิงเข้ากับขอบโต๊ะ “เจ้าเล่ห์เอาไว้ใช้พรรณนาถึงจิ้งจอกค่ะ”
จงจิ่งห้าวดึงเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น โค้งตัวอุ้มเธอขึ้นมา “คุณก็คือจิ้งจอก”
หลินซินเหยียนแกว่งขา ดื่มด่ำไปกับความใกล้ชิดและความรักทะนุถนอมของผู้ชายคนนี้อย่างสบายอกสบายใจ พลางยิ้มอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นคุณชอบจิ้งจอกแบบฉันคนนี้ไหมคะ”
“ผมถูกปีศาจจิ้งจอกทำให้ลุ่มหลงแล้ว จึงคิดอยากจะมีชีวิตมั่วไปวันๆกับปีศาจจิ้งจอกเท่านั้น” จงจิ่งห้าววางเธอลงบนโซฟา “พวกเราไปกินข้าวที่โรงอาหารของบริษัทกัน”
หลินซินเหยียนพยักหน้า เอ่ยอย่างน่ารัก “ล้วนฟังคุณค่ะ”
จงจิ่งห้าวยิ้ม ไล้มือไปที่จมูกของเธอแผ่วเบา
11:10 น. เป็นเวลาเลิกงานของพนักงาน พวกเขาลงไปสายสิบนาที ตอนที่ไปถึงพนักงานของบริษัทล้วนอยู่ที่นี่แล้ว
กวนจิ้งนั้นสายหน่อย ตอนที่ยกจานใส่อาหารอยู่ก็เห็นพวกเขาเดินเข้ามา จึงเอ่ยทักทายยิ้มๆ “ประธานจง คุณนายจง”
ประหลาดใจที่จงจิ่งห้าวพาหลินซินเหยียนมากินข้าวที่นี่ จึงถามว่า “พวกคุณมากินข้าวที่นี่?”
หลินซินเหยียนเอ่ยยิ้มๆ “ไม่อย่างนั้นล่ะคะ”
กวนจิ้งก็ยิ้มเช่นกัน แม้ว่าอาหารของโรงอาหารจะประณีตและถูกปาก แต่ว่าสู้ร้านอาหารไม่ได้แน่นอน
ในตอนนี้ก็มีคนลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยว่า “ยินดีด้วยครับประธานจง”
วันที่จัดงานแต่งงานวันนั้น จงจิ่งห้าวได้มอบอั่งเปาที่มีจำนวนเงินสองพันให้กับพนักงานทุกคนของว่านเยว่กรุ๊ป
คราวนี้จึงกระตือรือร้นกันมาก และเรียกหลินซินเหยียนอย่างให้เกียรติว่า คุณนาย
ก่อนหน้านี้ที่จงจิ่งห้าวยังไม่ได้จัดงานแต่งงานกับเธอ ทุกคนล้วนรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับจงจิ่งห้าว เพียงแต่ในเรื่องของคำเรียกก็ไม่กล้าเรียกมั่วๆเช่นกัน
ตอนนี้ประชาชนทั้งประเทศล้วนรู้แล้ว
“มาตรงนี้สิคะ ตรงนี้มีที่นั่งค่ะ” เลขาที่อยู่นอกห้องทำงานจงจิ่งห้าวก็นั่งกันเองไปโต๊ะหนึ่ง มีเพียงตรงเธอที่ว่างที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ยุ่งอยู่ ช่วงเวลาที่จงจิ่งห้าวกินข้าวที่นี่นั้นมีมาก ทุกคนล้วนคุ้นชินนานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เถ้าแก่เนี้ยมาเยือน
เมื่อมีตำแหน่งที่นั่งว่างก็เอ่ยเรียก “ตรงที่พวกเราก็ว่าง นั่งตรงนี้ก็ได้นะครับ”
“ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ พวกเรานั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ” หลินซินเหยียนยิ้ม ดึงจงจิ่งห้าวไปนั่งตรงโต๊ะเลขา
เดิมเลขาก็เป็นคนเอ่ยก่อน นั่งตรงนี้เหมาะสมที่สุด
เดิมทุกคนก็มีความประทับใจต่อหลินซินเหยียนดีอยู่แล้ว เธอเรียบง่ายเป็นกันเอง และไม่เคยถือตัวไม่เห็นใครในสายตา ตอนนี้เธอมาปรากฏตัวที่โรงอาหารของบริษัทพร้อมกับจงจิ่งห้าว ทุกคนล้วนเป็นมิตรและเคารพมากเช่นกัน
อาหารมื้อนี้ของหลินซินเหยียนกินได้ไม่สงบนัก เมื่อพนักงานกินข้าวเสร็จแล้วก็จะแวะมาทักทาย
“คุณก็ปรับตัวสักหน่อยเถอะ ในที่สุดพวกเราก็มีเถ้าแก่เนี้ยแล้ว จึงดีใจ” กวนจิ้งกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาหา ข้างหน้ามีสองคนที่เข้าไปทักทายหลินซินเหยียนโดยเฉพาะ เขาถึงได้กล้าเอ่ยหยอกเล่นแบบนี้ประโยคหนึ่ง
ในใจก็ทอดถอนใจ คนที่เขาไม่ชอบเมื่อก่อนนี้ ตอนนี้กลับได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆว่า สายตาเขามันไม่ได้เรื่อง
ดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นเถ้าแก่ได้ ทำได้เพียงแค่ทำงานให้กับคนอื่น
จงจิ่งห้าวเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณไม่ยุ่งหรือ”
กวนจิ้งยิ้มกระอักกระอ่วน “ผมก็แค่แวะมาทักทายเอง”
ก่อนจะจากไปก็เอ่ยกับหลินซินเหยียนว่า “คุณดูสิครับ กดขี่ผมขนาดนี้”
หลินซินเหยียนยิ้ม รอจนเขาจากไปแล้วก็แตะจงจิ่งห้าวเล็กน้อย “หลังจากนี้ก็ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาหน่อยสิคะ”
“คุณฟังเขาพูดเพ้อเจ้อ” จงจิ่งห้าวแค่นเสียงเย็น
หลินซินเหยียนอยู่ที่บริษัททั้งวัน ตอนเย็นจงเหยียนซีโทรศัพท์มาบอกว่าจะออกไปกินข้าวกับพวกเขา ดังนั้นหลังจากที่เลิกงานแล้วจึงไปรับลูกสาวแล้วค่อยไปที่ร้านอาหาร
ตอนที่พวกเขาไปถึงนั้นซูจ้านก็มาถึงแล้ว