หวางเหวิ่นมองซางหยูด้วยความอึ้ง ไม่คิดว่าเธอจะมีการตอบสนองที่รุนแรงแบบนี้ “ฉัน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ ฉันแค่กลัวว่าเธออยู่กับเขาแล้วจะไม่มีความสุข……”
“งั้นนายคิดว่ามีเงินชีวิตนี้ถึงจะมีความสุขหรือไง?” ซางหยูถามกลับด้วยวาจาที่คมคาย
หวางเหวิ่นอธิบายอย่างน้อยใจว่า “ทั้งที่คุณเสิ่นบอกกับฉันว่าเขาไม่มีการงานที่มอบชีวิตที่สุขสบายให้กับเธอได้ ดังนั้นฉันถึงได้ถามเขาไง”
ขนาดพี่เสิ่นเขาก็ไม่เรียกแล้ว
เขารู้สึกเสิ่นเผยซวนแย่งโอกาสของเขาไป
ถ้าเขาไม่ปรากฏตัวออกมา ตัวเองก็ยังมีโอกาสอยู่
ซางหยูมองไปที่เสิ่นเผยซวน เหมือนถามเขาว่านายพูดแบบนี้จริงเหรอ?
เสิ่นเผยซวนไอกระแอมเบาๆ ทำแล้วไม่กล้ายอมรับไม่ใช่สไตล์เขา “ใช่ ฉันพูดเอง”
ซางหยูคล้องแขนเขาไว้ “นายพูดถูกทั้งหมดเลย”
หวางเหวิ่น “……”
เขาลืมตาโพลง นี่มันเหตุผลอะไรกัน?
“ซางหยู เธอไม่ยุติธรรมเลยนะ ทำไมเขาพูดถูก แล้วฉันผิดล่ะ? เธอลำเอียงเกินไปแล้วนะ”
“เขาเป็นแฟนฉัน ฉันชอบทุกอย่างที่เป็นเขา แม้มันจะผิด ฉันก็รู้สึกว่าถูกอยู่ดี มีปัญหาอะไรไหม?” ซางหยูรู้ว่าตัวเอง ‘ไม่ยุติธรรม’ แต่ว่าเธออยากจะปกป้องแฟนตัวเองแบบนี้
เพราะว่า นี่คือแฟนของเธอ
เธอชอบ และอยากรักแฟนไปนานๆ
“ซางหยูเธอเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้” หวางเหวิ่นเห็นว่าตัวเองเริ่มไม่เข้าใจเธอแล้ว
ปกติเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนมาก และยังมีจิตใจเมตตามากคนหนึ่ง แต่ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะ?
หรือว่าการรักใครสักคนมันไม่มีเหตุผลจริงเหรอ?
“แม้เธอจะชอบคนคนนี้แค่ไหน เธอก็จะสูญเสียบุคลิกของตัวเองไม่ได้นะ เวลานานเข้า เขาจะดูถูกเธอได้ และจะเลิกรักเธอ จากนั้นก็จะทิ้งเธอไป” หวางเหวิ่นกังวลว่าซางหยูจะเสียใจได้อย่างหนัก ความรักแบบนี้ของเธอมันต่ำต้อยเกินไป พอนานๆเข้า เสิ่นเผยซวนจะดูถูกได้
ซางหยูก้มหน้าจับมือเสิ่นเผยซวนขึ้นมา ประสานสิบนิ้วด้วยกัน เธอรู้ว่า เสิ่นเผยซวนไม่ใช่คนที่ไม่รับผิดชอบแบบนั้น เธอเชื่อใจเขา และเชื่อสายตาตัวเองด้วย
“ถ้าคนที่ฉันไม่ชอบ ฉันจะไม่ทุ่มเทแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้ารักแล้ว ฉันก็จะทุ่มเทความรักทั้งหมดที่ฉันมี ถึงแม้จะทุ่มเทผิดคน หรือจะต้องเสียใจในภายภาคหน้าก็ตาม ฉันจะรับมันไว้” ซางหยูเงยหน้ามองเสิ่นเผยซวน แต่คำพูดนั้นกลับพูดกับหวางเหวิ่น
หวางเหวิ่นรู้สึกตัวเองไม่สามารถเข้าใจความคิดแบบนี้ได้ ทำไมไม่สามารถตัดไฟแต่ต้นลมได้? ทำไมถึงทุ่มเทไปทั้งหมดแบบนี้? ทำไมถึงไม่เผื่อทางออกให้ตัวเองบ้างเลย?
“ยัยโง่ ว่ากันว่าผู้หญิงที่มีความรัก มักจะตาบอดกันทั้งนั้น ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วล่ะ” พูดจบเขาก็หันหลัง เดินไปสองก้าวก็หยุดฝีเท้าอีกครั้ง แล้วหันกลับไปมองเสิ่นเผยซวน เตือนเขาว่า “ทำดีกับเธอด้วย ถ้านายทำอะไรชั่วๆกับเธอละก็ ระวังตัวเอาไว้ล่ะ ไม่ว่านายจะมียศใหญ่แค่ไหน ฉันก็ซัดไม่ไว้หน้าหรอกนะ!”
พูดจบก็ก้าวเดินจากไปทันที
เสิ่นเผยซวนตะโกนตอบว่า “ฉันไม่ให้โอกาสนายได้ซัดฉันหรอกนะ”
หวางเหวิ่นชะงักสักพัก ไม่ได้หันกลับไปมอง และไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่เขาก้าวเดินไปอีกครั้ง แผ่นหลังที่มีโดดเดี่ยวหายไปช้าๆภายใต้ยามราตรี
ซางหยูถอนหายใจ และพูดว่า “ไม่รู้ว่าต่อไปฉันจะเสียใจทีหลังไหม ที่ปฏิเสธคนที่เป็นห่วงฉันขนาดนี้”
เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้วเป็นปม หันไปมองเธอและถามว่า “เสียใจแล้วเหรอ?”
ซางหยูทำสีหน้าจริงจัง “นิดหน่อยน่ะ”
เสิ่นเผยซวนเม้มปากบาง รู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่เชื่อเขาเลยเหรอ?
ซางหยูแอบมองเขาภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา เห็นว่าสีหน้าเขาจริงจังมาก
เธอก็ถอนหายใจพูดว่า “ทำไมนายไม่มีอารมณ์สุนทรีย์บ้างเลย ฉันเริ่มเสียใจที่รักนายแล้วล่ะ” พูดจบก็ปล่อยมือเขาออก และกลับหลังหันเดินเข้าบ้านไป
เสิ่นเผยซวนวิ่งตามเข้าไป คว้าข้อมือเธอไว้หมับ และดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “เธอพูดแล้วจะเสียใจได้ยังไง? เป็นคนจะพูดจากลับคำไม่ได้นะ”
ซางหยูถูกเขากอดแน่นมาก แน่นจนเธอแทบหายใจไม่ออก เท้าเธอเหมือนลอยขึ้นมาเลย เธอเงยหน้าขึ้น ตั้งใจขยับปากเข้าไปใกล้คางเขา “ฉันเสียใจ แล้วนายจะทำอะไรฉัน?”