วินาทีนี้หลินซินเหยียนกลับรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานที่อยู่ภายในใจของซ่งหย่าซิน
แต่ว่าก็ไม่ได้วู่วามพูดออกไปว่าเสิ่นเผยซวนไม่ได้เป็นอะไร
ตอนที่เผชิญหน้ากับซ่งหย่าซินอยู่นั้น ในใจรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“ฉันช่วยอะไรคุณได้บ้างไหมคะ”หลินซินเหยียนเอ่ยปากถาม
ซ่งหย่าซินค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา “คุณไม่จำเป็นต้องช่วยอะไรฉันหรอกค่ะ เรื่องพวกนี้ ก็ต้องอาศัยความสามารถของฉันเอง ก็แค่ ถ้าคุณมีข่าวคราวของเผยซวน ช่วยบอกฉันทันทีเลย รับปากฉันได้มั้ยคะ”
มือทั้งสองของหลินซินเหยียนบีบกันแน่น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วค่ะ”
มือของเธอวางอยู่ใต้กระโปรงของจงเหยียนซี ดังนั้นซ่งหย่าซินเลยไม่ได้สังเกตว่าเธอโกหกอยู่จนทำให้มือเธอเองนั้นบีบกันแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ซ่งหย่าซินเม้มริมฝีปากเอาไว้ ลองถามดูว่า “คุณก็รู้สึกว่าฉันไม่เหมาะสมกับเผยซวนใช่ไหมคะ”
“ถ้าคุณจริงใจจริงๆ แล้วทำไมต้องไปสนใจความคิดของคนอื่นด้วยล่ะ”หลินซินเหยียนไม่ชอบที่เธอมักจะสอบถามความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอด “เพื่อนที่สนิทกัน ก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรู้สึกได้ พวกคุณคิดว่าเหมาะสมกัน อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจก็พอแล้ว คนอื่นจะคิดเห็นยังไงก็ไม่สำคัญสักนิด”
เมื่อซ่งหย่าซินได้ยินคำพูดของหลินซินเหยียนแล้ว ไม่สบายใจกับความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น เธอเองก็ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายจนทำให้คนอื่นเบื่อหน่าย แต่ว่าซูจ้านแสดงอาการไม่ชอบเธออย่างเห็นได้ชัดเจน เธอกลัวว่าซูจ้านจะพูดเรื่องเสียๆหายๆของเธอต่อหน้าหลินซินเหยียนและจงจิ่งห้าว
“ฉันไม่มีความหมายอื่นใด ฉันก็แค่กลัวว่าคนอื่นจะพูดว่าฉัน….”
“ทำตามใจตัวเองเรียกร้อง ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องละอายใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจวิธีคิดหรือการคิดของคนอื่น”หลินซิน เหยียนพูดตัดบทคำพูดที่เธอต้องการจะอธิบายออกมา เพราะว่าไม่มีอะไรที่ต้องอธิบายออกมา
แต่ว่าในครั้งนี้หลินซินเหยียนกลับมองเธอออกว่าเธอไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์เลย
เหมือนว่าจะมีแผนการเยอะมากด้วย
เวลานี้ซ่งหย่าซินรู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับการมาในครั้งนี้ หลินซินเหยียนคนนี้ดูแล้วอายุไม่มาก แต่คำพูดคำจาที่พูดออกมานั้น กลับไม่รักษาน้ำใจกันเลย เพราะว่ามีวิธีคิดและความคิดเป็นของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
คิดมาแล้วก็ใช่อีก ผู้หญิงคนที่ทำให้จงจิ่งห้าวถูกใจ ต้องมีข้อดีอย่างแน่นอน อาศัยสถานะของจงจิ่งห้าวแล้ว ผู้หญิงประเภทไหนที่เขาไม่เคยพบไม่เคยเจอกัน
สุดท้ายเธอประสบความสำเร็จได้รับตำแหน่ง จนกลายเป็นคุณนายจง พอคิดไปคิดมาก็รู้แจ้งทันที ต้องมีอะไรที่เกินคาดเหนือคนอื่นอย่างแน่นอน
“พลอยทำให้คุณไม่สบายใจไปด้วยเลยใช่มั้ยคะ” คนเขามองออกทะลุปรุโปร่งทั้งหมดแล้ว ก็ไม่อยากจะเก็บซ่อนไว้อีก
หลินซินเหยียนยิ้มให้ “ไม่เป็นไรค่ะ”
ความจริงแล้วเธอเองก็มีสิ่งที่ตนเองไม่ถูกอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าโกหกซ่งหย่าซินอยู่เหรอ
“คืนนี้กลับไปฉันต้องมานั่งฟังแม่ของฉันค่อยบ่นอีก ขออยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านคุณได้มั้ยคะ ความจริงแล้วฉันรู้ว่าเสิ่นเผยซวนสนิทกับพวกคุณ ฉันก็อยากจะเข้ามาทำความรู้จักของพวกคุณ คุณไม่รังเกียจใช่มั้ยคะ” ซ่งหย่าซินรู้ว่าสิ่งที่ตนเองพูดออกมา เกรงว่าจะทำให้คนอื่นมองสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออก สู้พูดตรงๆออกไปเลย
เธอพูดตรงๆขนาดนี้แล้ว หลินซินเหยียนจะปฏิเสธก็คงไม่ดี
“งั้นก็อยู่ต่อเถอะค่ะ” เธอหันหน้าไปมองทางคุณแม่หยู “เตรียมอาหารเย็นเพิ่มอีกหน่อยนะคะ”
คุณแม่หยู “ได้ค่ะ”
“รบกวนคุณด้วยนะคะ”ซ่งหย่าซินพูดกับคุณแม่หยู
ป้าหยูยิ้มและตอบกลับมา “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลย” ทว่าในใจกลับคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วฉลาดเฉลียวขนาดนี้ แต่ทำไมถึงไม่รู้จักกาลเทศะเลยสักนิดเลยนะ
หลินซินเหยียนกำลังตั้งท้องอยู่ จงเหยียนซีก็ตัวติดกับเธอ การที่เธอมาอยู่ที่นี่ หลินซินเหยียนยังต้องมารับมือกับเธออีก แถมยังเป็นฝ่ายออกปากเองว่าต้องการจะกินข้าวอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่ากำลังรบกวนเวลาพักผ่อนของคนอื่นเขา
ในใจรู้สึกรังเกียจอย่างทนไม่ไหว
มัวแต่สนใจตัวเอง แต่กลับไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นนี่เป็นพฤติกรรมของคนที่เห็นแก่ตัว
“ซูจ้านมัวแต่ไปหาอยู่ที่ไหน” คำพูดประโยคนี้ของซ่งหย่าซินไม่ใช่การหยั่งเชิงถาม ก็แค่รู้สึกว่าการที่ตนเองนั่งอยู่ที่นี่มันช่างน่าเบื่อชะมัด เลยต้องหาเรื่องมาพูดต่อ ไม่งั้นนั่งอยู่เฉยๆก็รู้สึกกระดากอายมาก
หลินซินเหยียนถึงกลับอึ้งอยู่ในใจ เพราะว่าไม่สามารถตอบกลับเธอได้ในชั่วขณะนั้น พูดมากไปก็กลัวจะหลุดเผยพิรุธออกมาจนหมด “เขา…”
แอ๊ด ตอนนี้เองประตูเปิดออก จงจิ่งห้าวเดินสาวเท้าก้าวเข้ามาด้านใน ซ่งหย่าซินหันกลับไปมองเห็นว่าเป็นเขา จากนั้นก็ลุกพรวดจากโซฟา พร้อมทั้งพูดทักทายทันที “ประธานจง”
จงจิ่งห้าวพยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการตอบรับแล้ว จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปยืนด้านข้างของหลินซินเหยียน และถามทันที “นี่อุ้มอยู่ตลอดเวลาอีกแล้วเหรอเนี่ย”
หลินซินเหยียนพยักหน้า “ตอนนี้เธอไม่ยอมอยู่กับคนอื่น คุณก็รู้นี่”
จงจิ่งห้าวยื่นมือออกไปอุ้มลูกสาวทันที ตอนที่หลินซินเหยียนพูดคุยอยู่กับซ่งหย่าซินอยู่นั้นเธอก็นอนอยู่ในอ้อมอกของหลินซินเหยียน พอมาโดนจงจิ่งห้าวแตะเข้านิดเดียวก็ตื่นขึ้นมาทันที
“แด๊ดดี้เอง แด๊ดดี้อุ้มหนูเอง” จงจิ่งห้าวคอยพูดปลอบลูกสาวเอาไว้ จงเหยียนซีลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นจงจิ่งห้าว ไม่ได้ต่อต้าน ยอมให้เขาอุ้มอย่างเชื่อฟัง
จงจิ่งห้าวอุ้มเธอเอาไว้ พร้อมทั้งลูบหลังของเธออย่างแผ่วเบา “เราขึ้นไปนอนข้างบนกันนะ”
จงเหยียนซีไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าการที่ไม่พูดว่าไม่เอา ถือว่ายินยอมแล้ว
หลินซินเหยียนนวดแขนตัวเองที่เริ่มชาเล็กน้อยเพราะว่าเป็นหมอนให้ลูกสาวนอน ซ่งหย่าซินเดินเข้ามาหา “ต้องการให้ฉันช่วยไหมคะ”
จงจิ่งห้าวที่กำลังเดินขึ้นบันไดพอได้ยินเสียงก็หันกลับมาชำเลืองมองเธอ แววตามืดหม่นไม่ชัดเจน แวบเดียวก็เก็บสายตานั้นไปทันที และไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
หลินซินเหยียนพูดว่าไม่ต้อง “คุณไม่ต้องเกรงใจเลย”
คำว่าเกรงใจทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
เจอกันแค่ครั้งเดียวเอง นี่ถือว่าเป็นครั้งที่สองที่ได้เจอกัน จะให้คนอื่นมานวดแขนให้ตัวเองได้อย่างไร
ซ่งหย่าซินกลับไปนั่งลงตรงตำแหน่งเดิม จากนั้นก็ชำเลืองมองไปทางชั้นสอง “ประธานจงรักลูกสาวมากเลยสินะคะ”
หลินซินเหยียนก็หันกลับไปมองชั้นบน จงจิ่งห้าวอุ้มจงเหยียนซีเข้าไปในห้องนอนแล้ว ตรงบันไดไม่มีคนอยู่แล้ว
เธอดึงสายตากลับมา “เด็กผู้หญิงชอบอ้อนเหมือนกันหมด”
“คนเขาพูดกันว่าลูกสาวเป็นคนรักของพ่อในชาติที่แล้ว ฉันว่าพอมาถึงตัวท่านประธานจงถือว่าเป็นเรื่องจริงมาก”ซ่งหย่าซินยิ้มพลางพูดออกมา
หลินซินเหยียนหลุบตาต่ำพูดออกมา “พูดหยอกล้อกันเล่นนะค่ะ คนเราจะมีชาติที่แล้วกับชาตินี้ได้ยังไงกัน”