เสิ่นเผยซวนมองไปที่เขา ดูท่าแล้วเหมือนเขาจะไม่รู้จริงๆ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฉินยามาที่เมืองB
เขานึกถึงสีหน้าและน้ำเสียงตอนที่ฉินยาพูด มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะรู้แล้วว่าท่านย่าจะอุ้มหลานชายมากๆ
ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ มาเมืองBทั้งที แต่ซูจ้านกลับไม่รู้เลย
และยังบอกเขาไม่ให้บอกกับซูจ้านอีก
เสิ่นเผยซวนรู้สึกกังวลแทนซูจ้าน ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ฉินยาให้อภัย และให้โอกาสเขาได้เริ่มใหม่ ตอนนี้ก็ต้องมีปัญหาเรื่องลูกอีก ซึ่งปัญหาของท่านย่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด
คนอายุเยอะแล้ว ก็จะมีความคิดโบราณ แต่วัยรุ่นในปัจจุบันก็มีไม่น้อยเลยที่รับไม่ได้กับการแต่งงานที่ไม่สามารถมีลูกได้
การมีลูกเป็นส่วนสำคัญของการแต่งงาน
ถ้าคนทั้งสองคนมีลูกด้วยกัน จะทำให้พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันได้นานมากขึ้น
“เห้อ”
ในตอนที่เสิ่นเผยซวนไม่รู้ตัว เขาก็ถอนหายใจออกมา
ซูจ้านมองไปที่เขา “เป็นอะไรไป? มีปัญหากับซางหยูเหรอ? หรือว่ายังจัดการเรื่องของคุณซ่งไม่ได้?”
“ทำไมนายต้องคิดว่าเป็นเรื่องของฉันด้วย?” เสิ่นเผยซวนมองไปทางเขาด้วยสายตาที่สงสาร
“ไม่อย่างนั้น นายจะถอนหายใจทำไม?” ซูจ้านไม่รู้ว่าเสิ่นเผยซวนเป็นห่วงเขา
เสิ่นเผยซวนไม่ได้สนใจเขา เขาเคาะประตู
เพราะอย่างไรรอให้เขาได้พบกับฉินยาเขาก็จะเข้าใจเอง
ซางหยูอยู่ในห้องครัวกับป้าหยู และในบ้านก็มีแต่ญาติผู้ใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเด็กน้อย ตั้งแต่ที่จวงจื่อจิ่นกลับมา เธอก็ยังไม่ได้สนิทกับเด็กทั้งสองคนมากพอ ตอนนี้เธอกำลังกอดเด็กทั้งสองคนและพูดคุยกับพวกเขาอยู่
เธอจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู
เมื่อประตูเปิดออก
“เสิ่น…”
เธอกำลังจะพูดว่าพี่เสิ่นกลับมาแล้ว เธอก็เห็นซูจ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ พอดี เธอยืนนิ่งไปทันที จากนั้นเธอก็ได้สติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองทางเสิ่นเผยซวน
เธอบอกไปแล้วนี่ ว่าห้ามบอกกับซูจ้านว่าเธออยู่ที่นี่?
เสิ่นเผยซวนหยักไหล่ และทำท่าเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา “ฉันไม่ได้บอกเขา เป็นเขาเองที่จะมาทานข้าวที่บ้านพักให้ได้ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ความสัมพันธ์ของพวกเขา ฉินยาเข้าใจเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ของพวกเขาดียิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เสียอีก เธอใช้แรงกำไปที่ลูกบิดประตู “พี่คิดว่าฉันจะเชื่อไหม?”
“ถ้าเธอไม่เชื่อ ถามซูจ้านได้ ว่าเป็นเขาเองที่จะมาทานข้าวที่บ้านพักให้ได้จริงไหม?” เสิ่นเผยซวนผลักไปที่ซูจ้าน “นายพูดสิ อธิบายให้ฉันหน่อย”
ซูจ้านทำแค่จ้องมองไปที่เธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ในใจเข้าใจทันทีว่าทำไมเสิ่นเผยซวนถึงเรียกเขามาที่บ้านพัก
เขากำลังครุ่นคิดว่า ทำไมฉินยามาที่นี่ถึงไม่บอกกับเขา
“คุณไปที่โรงพยาบาลมาเหรอ?” เขาซ่อนความตื่นตระหนกของเขาไว้
ฉินยาไม่พูดอะไร
เสิ่นเผยซวนเลยเอียงตัวและเดินเข้าไปในบ้าน
ซูจ้านจับมือของฉินยาไว้ ก่อนจะดึงเธอออกมา จากนั้นก็ลากเธอไปจนถึงเก้าอี้ที่อยู่ในสนามหญ้า “บอกผมมาสิ คุณมาที่เมืองB ทำไมถึงไม่บอกผม?”
“ฉันอยากมาเยี่ยมเด็กน้อยทั้งสองคน ทำไม ไม่ได้เหรอ?” ฉินยานั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเงยหน้ามองเขา
“คุณคิดว่าผมเป็นคนโง่เหรอ? ถ้าคุณอยากจะมาเยี่ยมเด็กน้อยจริงๆ ทำไมต้องปิดบังผมด้วย?” ซูจ้านพยายามเก็บความโกรธไว้
เขาโกรธที่เธอมีเรื่องปิดบังกับเขา
ฉินยายังคงไม่ยอมรับ “ฉันไม่ได้ปิดบังคุณ ก็แค่ยังไม่ทันได้บอกกับคุณก็เท่านั้น”
เหอะเหอะ
ซูจ้านยิ้ม “พวกเราเพิ่งจะคุยกันไปเอง ถ้าคิดตามเวลาแล้ว ตอนนั้นคุณก็น่าจะอยู่ในเมืองBแล้วใช่ไหม?”
ฉินยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ฉันแค่อยากทำให้คุณรู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่ได้เหรอ?”
ซูจ้านหลับตาลง ก่อนจะเก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “คุณ…รู้อะไรมาใช่ไหม?”
เขาไม่เชื่อแน่นอนว่ามันคือเซอร์ไพรส์ ถ้าเธออยากจะให้เขาเซอร์ไพรส์ เธอก็น่าจะทำแบบนั้นนานแล้ว ยังจะต้องมาให้เสิ่นเผยซวนล่อเขามาที่นี่อีกไหม?
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่” ฉินยาหันหน้าไปอีกทาง เพื่อหลบสายตาของซูจ้าน
ซูจ้านจับมือของเธอมา และกุมมือของเธอไว้ “คุณได้ยินคำพูดของท่านย่าใช่ไหม?”
ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตัวไม่ปกติแบบนี้ ตอนนี้เมื่อเขาลองคิดดูดีๆ ตอนที่เธอโทรมาหาเขา เป็นช่วงเวลาที่เขาเพิ่งจะพูดคุยกับท่านย่าเสร็จและออกมา นี่คือเรื่องบังเอิญ?
เขาไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ
“คุณอยากจะมาเยี่ยมคุณย่า แล้วก็เลยได้ยินคำพูดที่ท่านพูดถูกไหม?” ซูจ้านจับมือไว้แน่น “เสี่ยวยา คุณต้องเชื่อผมนะ ผมไม่เอาลูกก็ได้ แค่ขอให้คุณ…”
“คุณทำได้ แต่คุณย่าของคุณทำได้ไหมล่ะ? คุณอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ย่าหลานเหรอ?” ในตอนนั้น ฉินยาก็ตะโกนออกมา วินาทีต่อมาเธอก็เหมือนลูกบอลที่บวมเต้ง “ซูจ้าน…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ซูจ้านลงมาจากเก้าอี้ ก่อนจะคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉินยา และก่อนเขาเธอไว้ “ผมไม่เอาลูกจริงๆ คุณต้องเชื่อผมนะ”
“ฉันเชื่อคุณ แต่ทางคุณย่าคุณจะจัดการยังไง” ฉินยาก้มลงมองเขา เธอมองทุกอย่างไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาของเธอเริ่มคลอเบ้า “ฉันไม่อยากทำให้คุณทำบาก…”
“อะไรที่เรียกว่าทำให้ผมลำบาก?” ซูจ้านถามอย่างไม่พอใจ “การไม่มีลูกมันเป็นความผิดของคุณเหรอ? ความผิดผม เป็นความผิดผม!”
ฉินยารู้สึกเหนื่อยมาก เธอไม่อยากจะเป็นแบบนี้ต่อไปแล้ว
“ซูจ้าน…”
“ไม่ต้องคิดที่จะมาพูดกับผม ด้วยคำพูดแบบนี้พวกเราเลิกกันเถอะ การที่เราได้เริ่มต้นกันใหม่มันไม่ง่ายเลยนะ คุณจะพูดออกมาได้อย่างง่ายดายได้ยังไง คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนแบบนั้น?”
“ผมจะพูดกับท่านย่าอย่างตรงไปตรงมา และผมจะพูดโน้มน้าวท่าน หลังจากที่ผมจัดการแล้ว ผมจะพาคุณไปเยี่ยมท่านนะ ไม่ต้องไปคิดอะไรมากมาย ได้ไหม?” ซูจ้านจับมือเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขากลัวจะเสียเธอไป “ผมรู้ว่าคุณกดดัน ดังนั้น ทั้งหมดนี้ผมจะจัดการเอง แค่คุณให้เวลากับผมหน่อย”
ฉินยาค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า เขายื่นมือออกมา และเช็ดน้ำตา ก่อนจะพูดว่า “ฉันรู้แล้ว ทุกคนอยู่ในบ้าน พวกเราอยู่ข้างนอกนานไปแล้ว มันไม่ดีนะ”
ซูจ้านพยักหน้า ทั้งสองคนพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะเข้าไปในบ้าน
อาหารวางอยู่บนโต๊ะแล้ว จงจิ่งห้าวไม่อยู่ จงฉีเฟิงก็เป็นหัวหน้าครอบครัว เขาเลยสั่งให้ป้าหยูหยิบเหล้ามาสองขวด วันนี้เป็นวันที่จวงจื่อจิ่นออกจากคุก ก็ถือว่าเขาเป็นตัวแทนของพวกเขา เพื่อแสดงความยินดีให้กับจวงจื่อจิ่น
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช้แม่จริงๆ ของหลินซินเหยียน แต่บุญที่เลี้ยงดูเธอมา มันมีมากกว่าบุญที่ให้กำเนิดเธอ
ถ้าไม่พูดถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คือครอบครัวเดียวกัน
“เดี๋ยวดึกๆ โทรไปหาจิ่งห้าวด้วย การที่คุณออกมาถือว่า เป็นเรื่องที่ดี ถ้าเหยียนเหยียนรู้ เธอต้องดีใจมากแน่ๆ” จงฉีเฟิงพูด
จวงจื่อจิ่นรู้สึกผิด เพราะสิ่งที่ตัวเองทำไปไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีอะไร และไร้ยางอาย เธอลูบผมของจงเหยียนซี และเธอก็รู้สึกหวงแหนช่วงเวลานี้มาก “ขอบคุณทุกคนที่ไม่รังเกียจและทิ้งฉันไป ต่อไปนี้ฉันจะใช้ชีวิตให้ดี”
“พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะรังเกียจและทิ้งได้ไง อย่าเกรงใจกันเลย” จงฉีเฟิงพูด
เฉินยู่เวินเห็นด้วย เขานั่งอยู่ข้างๆ จงเหยียนเฉิน เขายกแก้วเหล้าขึ้นก่อน “มา เรามาดื่มกันสักแก้ว เพื่อฉลองที่คุณจะเป็นอิสระตั้งแต่นี้ไป”
จวงจื่อจิ่นดื่มไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ยังยกแก้วเหล้าขึ้น “ขอบคุณมาก”
เฉินยู่เวินแนะนำตัวเอง “ผมคือลุงของจิ่งห้าว ยังไงพวกเราก็เหมือนญาติกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น อยู่ในบ้านเดียวกัน พวกเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน”
จวงจื่อจิ่นยิ้ม
“วันนี้ขาดแค่แด๊ดดี้กับหม่ามี๊” จงเหยียนเฉินมองไปที่คนบนโต๊ะก่อนจะพูดอย่างผิดหวัง
พวกเขาอยู่ดีๆ ก็ไปต่างประเทศ คุณย่าบอกกับเขาว่า แด๊ดดี้กับหม่ามี๊ไปเที่ยวต่างประเทศ เขากับน้องสาวเลยยอมไปโรงเรียน คุณแม่ท้องแก่ขนาดนั้น จะออกไปเที่ยวได้อย่างไรกัน? เขาไม่เชื่อหรอก ที่สำคัญเขาเองก็รู้สึกกังวลมากๆ
จวงจื่อจิ่นยื่นมือไปลูบหัวของเขา ปลอบโยนเด็กน้อยโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ซูจ้านที่ชอบพูดคุย วันนี้เขาอยู่บนโต๊ะอาหารกลับไม่ได้พูดอะไรเลย เสิ่นเผยซวนและซางหยูก็เงียบมากๆ
ตั้งแต่ตอนที่จวงจื่อจิ่นกลับมาก็ได้แนะนำไปแล้ว ตอนนี้ต่างก็รู้จักกันแล้ว
แต่ว่าจงจิ่งห้าวไม่อยู่ ก็เลยมีบทสนทนาพูดกับผู้ใหญ่น้อย
ตอนเย็นทุกคนทานข้าวกันอย่างปรองดอง หลังจากทานเสร็จ ซูจ้านก็ไปกล่าวลากับทางผู้ใหญ่ เขาบอกว่าท่านย่าอยู่โรงพยาบาล เขาจำเป็นต้องกลับไป
เพราะเป็นเรื่องกตัญญู ก็เลยไม่มีใครว่าอะไร และรีบให้เขากลับไป
ฉินยาช่วยเก็บกวาดจานชาม และไม่มีท่าทีจะพูดกับซูจ้านเลย เธอคิดว่าพวกเขาทั้งสองต้องสงบสติอารมณ์ สุดท้ายซูจ้านก็มาเรียกเธอ “ฉินยา ไปส่งผมหน่อยสิ ผมไม่ได้ขับรถมา”