จงจิ่งห้าวถาม “โกรธเหรอ”
หลินซินเหยียนส่ายหน้า “เปล่า”
แต่ว่าแค่อึดอัดในใจ
จวงจื่อจิ่นมาส่งอาหารเช้า จงจิ่งห้าวเลิกผ้าห่มของเธอออก แล้วอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำทำการล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็วางเธอลงเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะ หลินซินเหยียนกล่าว “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากทาน ปล่อยฉันลงไปที่เตียง”
จงจิ่งห้าวจึงอุ้มเธอไปวางลงที่เตียง เธอดึงผ้าห่มมาห่มแล้วหันหลังให้เขา “คุณทานไปก่อนเลย ฉันรู้สึกง่วง เดี๋ยวฉันค่อยทานทีหลัง”
จวงจื่อจิ่นจัดวางอาหารเสร็จเรียบร้อย แล้วเดินมา “หนูกลางวันนอน กลางคืนนอน ตอนนี้ยังจะนอนหลับได้อีกเหรอ ทานอาหารก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
เธอไม่รู้ว่าหลินซินเหยียนงอนจงจิ่งห้าว
เดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมหลินซินเหยียน “ตอนนี้หนูไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ ต้องคิดถึงลูกในท้องด้วย ลุกขึ้นมาเร็ว มาทานข้าวก่อน”
หลินซินเหยียนเงียบ
จงจิ่งห้าวยืนนิ่งไม่ขยับ จ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่เฉยชา
จวงจื่อจิ่นจ้องกลับไปกลับมาระหว่างทั้งคู่ ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าพวกเขาสองคนทะเลาะกัน
เธอไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก แต่ก่อนอื่นคือเข้าข้างหลินซินเหยียนไว้ก่อน “พวกเธอทะเลาะกันเหรอ ร่างกายเหยียนเหยียนตอนนี้คุณเข้าใจดีที่สุด คุณยังจะทะเลาะกับเธออีก”
จงจิ่งห้าวไม่ได้อธิบายใด ๆ เอาแต่จ้องมองหลินซินเหยียนอยู่อย่างนี้
จวงจื่อจิ่นจึงมั่นใจได้ว่าพวกเขาทะเลาะกันจริง ๆ หลินซินเหยียนกำลังท้องกำลังใส้อยู่ และก็เป็นลูกที่เธอเลี้ยงเติบโตมา เป็นธรรมดาที่จะต้องเข้าข้างเธอ “จนป่านนี้แล้ว คุณไปทะเลาะกับเหยียนเหยียนได้ยังไง เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อคลอดลูกให้กับคุณนะ คุณยังจะทำให้เธอโกรธอีก”
จวงจื่อจิ่นยิ่งพูดยิ่งรุนแรง “คุณนี่ทำเกินไปแล้ว……”
“ไม่ใช่ค่ะ พวกเราไม่ได้ทะเลาะกัน” หลินซินเหยียนทนฟังจวงจื่อจิ่นต่อว่าจงจิ่งห้าวต่อไปไม่ได้อีก เธอจึงเลิกผ้าห่มออก “หนูจะไปทานข้าว”
จวงจื่อจิ่นงุนงง “พวกเธอไม่ได้ทะเลาะกัน แล้วทำไมหนูถึงโกรธ”
ถึงขั้นไม่ยอมทานข้าว
“หนูโกรธตรงไหน” หลินซินเหยียนไม่ยอมรับ
“ดูสิ อย่างกับคนอื่นติดหนี้เธอแปดล้านอย่างนั้นแหละ ยังบอกไม่โกรธอีก” จวงจื่อจิ่นเดินออกไป “รีบมาทานข้าวเร็ว”
จงจิ่งห้าวจึงอุ้มเธอขึ้นมาวางไว้ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ หลินซินเหยียนหยิบช้อนขึ้น ขณะกำลังจะทานซุปนั้น เห็นจงจิ่งห้าวไม่ได้นั่งลง เธอเงยหน้าขึ้น “คุณไม่ทานเหรอ”
จงจิ่งห้าวไม่พูด รู้สึกแต่เพียงว่าถูกผู้หญิงคนนี้ยั่วโมโหจนปวดสมอง
เธอไม่ค่อยเอาแต่ใจ แต่เอาแต่ใจเมื่อไรขึ้นมา ช่างยากจะกำราบจริง ๆ ยังต้องตามง้องอนเอาใจอีก
หลินซินเหยียนรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก เอื้อมมือไปดึงเขา “ฉันผิดไปแล้ว รีบมาทานข้าว เดี๋ยวคุณยังต้องไปบริษัทอีก
จงจิ่งห้าวนั่งลง “ไม่ช้าก็เร็วผมต้องถูกคุณยั่วโมโหจนตาย”
หลินซินเหยียน “……”
เธอตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วป้อนไปที่ปากของเขา “ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปฉันจะปรับปรุง อย่าโกรธเลยนะ”
จงจิ่งห้าวทั้งรู้สึกโกรธทั้งรู้สึกขำ ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนเป็นคนที่ชอบทรมานคนตั้งแต่เมื่อไหร่
จวงจื่อจิ่นเห็นแล้วยิ้ม จากนั้นก็ปิดประตู
จงจิ่งห้าวปัดมือของเธอออก “อย่ามา วิธีนี้ใช้กับผมไม่ได้”
หลินซินเหยียนไม่ยอม และก็ยัดเข้าไปในริมฝีปากของเขาสองคำ โจ๊กบนช้อนเลอะติดที่ริมฝีปากของเขา “ไม่หายโกรธไม่เป็นไร แต่ต้องทานข้าว คุณจะท้องว่างไปทำงานไม่ได้”
จงจิ่งห้าว “……”
เขาโกรธจนบีบเข้าที่ใบหน้ารูปไข่ของเธอ “คุณจงใจใช่ไหม”
“เจ็บ……”
หลินซินเหยียนเบือนหน้าหนีไม่ให้เธอจับ
จงจิ่งห้าวจึงทานโจ๊กที่เธอยื่นมา ความโมโหเมื่อสักครู่ได้มลายหายไป
ทานข้าวเสร็จ จงจิ่งห้าวอุ้มเธอกลับไปที่เตียงแล้วก็จากไป
จวงจื่อจิ่นกลับมาเก็บกวาดจานชาม แล้วถามเธอ “พวกเธอได้ทะเลาะกันหรือเปล่า”
หลินซินเหยียนกล่าว “เปล่า”
“จริงเหรอ” เห็นได้ชัดว่าจวงจื่อจิ่นไม่เชื่อ
หลินซินเหยียนจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับเธอฟัง เมื่อได้ยินว่าหลินซินเหยียนอยากจะออกไป จวงจื่อจิ่นก็รีบต่อว่าเธอ “เรื่องนี้หนูทำไม่ถูก ถ้าเป็นเวลาปกติหนูอยากจะออกไปไหนก็ไม่มีใครว่า แต่ว่าสภาพของหนูในตอนนี้นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงเอาแต่ใจอย่างนี้ ถึงว่าทำไมจงจิ่งห้าวโกรธ ถ้าหากเป็นแม่ แม่ก็โกรธ”
หลินซินเหยียน “……”
เธอบ่นอย่างคับข้องใจ “แม่เป็นแม่ของหนู หรือเป็นแม่ของเขา ทำไมถึงเข้าข้างเขา”
“แม่อยู่ข้างเหตุผล” จวงจื่อจิ่นเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “คิดทบทวนดูดี ๆ”
หลินซินเหยียน“……”
เธอเอนนอนลงอย่างน้อยใจ เพิ่งจะทานข้าวเสร็จก็เอนนอน จึงรู้สึกอึดอัดที่ท้อง เธอจึงได้ลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง
ขณะนี้จงจิ่งห้าวได้เดินเข้ามา หลินซินเหยียนมองเขา “คุณไปบริษัทแล้วไม่ใช่เหรอ”
จงจิ่งห้าวบอกว่าไม่ได้ไป
“อย่างนั้นคุณไปไหนมา”
จงจิ่งห้าว “ผมไปหาคุณหมอมา”
หลินซินเหยียนกะพริบตาถี่ แล้วถามด้วยความตระหนก “เกิดอะไรขึ้นกับฉันเหรอ”
“ผมบอกว่าผมจะพาคุณออกไป” จงจิ่งห้าวเดินเข้ามา
หลินซินเหยียนสติหลุดไปชั่วครู่ เมื่อได้สติคืนมาใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะ”
จงจิ่งห้าวทำเสียงฮึดฮัด “ตอนนี้คุณชักสีหน้าใส่ผมเป็นแล้ว ผมจะกล้าไม่ตามใจคุณอีกเหรอ”
หลินซินเหยียนยื่นมือทั้งสองข้างที่ขาวเนียนไปโอบกอดเอวของเขาไว้ แล้วออเซาะ “ฉันก็ขอโทษแล้วนิ ทำไมยังจับไม่ปล่อยอีก นี่ไม่ใช่การกระทำของลูกผู้ชายเลยนะ”
จงจิ่งห้าว “……”
ถ้าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย แล้วเขาคือผู้หญิงเหรอ
หลินซินเหยียนยิ้ม “ขอบคุณนะ”
จงจิ่งห้าวไม่อยากได้คำขอบคุณจากเธอสักหน่อย “ใกล้ๆเที่ยงแล้วพวกเราค่อยไปกันนะ”
หลินซินเหยียนรีบพยักหน้าทันที “ได้”
ขอแค่ให้เธอไปก็เพียงพอ
เธอโทรศัพท์หาเหวินเสี่ยวจี้ บอกให้เขาไม่ต้องมารับแล้ว
วันนี้ซูจ้านก็ได้ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล แต่ว่าคุณหมอได้บอกว่าให้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน เมื่อออกจากโรงพยาบาล ซูจ้านตื้อฉินยาให้ไปจดทะเบียนสมรสด้วยกัน
ฉินยาบอกว่ารอเขาหายดีก่อนแล้วค่อยไปจด ซูจ้านไม่ยอม จะต้องไปตอนนี้ให้ได้ ฉินยาจึงตกลงเพราะเห็นแก่อาการบาดเจ็บของเขา
ประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดำเนินการเสร็จสรรพเรียบร้อย เมื่อออกมาจากที่ว่าการอำเภอพวกเขาก็นั่งรถกลับบ้านกัน ได้บอกกับท่านย่าล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ท่านย่าได้ให้เฉินเสว่เก็บกวาดทำความสะอาดบ้านอย่างเรียบร้อย ในห้องนอนก็เปิดหน้าต่างไว้ระบายอากาศ และเปลี่ยนชุดผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมทั้งหมด