เขาหยุดไปครู่หนึ่ง และเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าชะตาชีวิตของพวกเราถูกกำหนดให้ไม่มี พวกเราก็ยอมรับมันด้วยความยินดี ไม่ต้องไปฝืนเพื่อให้ได้มา”
ฉินยาไม่ได้ทำให้เสียบรรยากาศโดยการเอ่ยถึงท่านย่า
ทนายเฉินเคาะประตู เป็นทนายความที่รับรองผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่นี้
ถามซูจ้านว่า รับทำคดีความของผู้หญิงคนนั้นแล้วหรือยัง
ซูจ้านเอ่ย “ไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้รับปาก”
ดูสถานการณ์
ทนายเฉินเอ่ย “ฉันได้ยินมาว่าคดีความนี้รับแล้วมีทั้งดีและไม่ดีเช่นกัน นี่เป็นดาบสองคม มีคุณมีโทษ ถ้าหากว่าชนะ สำนักงานกฎหมายของพวกเราจะต้องมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าแพ้ อย่างนั้นก็แย่มาก ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่ครอบครัวคนธรรมดา”
ซูจ้านถามเขา “นายหมายความว่าอะไร”
ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างให้ความสนใจกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ ตอนนี้เขาไม่สนใจชื่อเสียง ถ้าหากว่าผู้ตายถูกบีบให้ตายจริงๆ อย่างนั้นเขาก็จะรับทำ
ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใครล้วนไม่สามารถดูถูกกฎหมายได้?
“ฉันคิดว่าไม่รับจะดีกว่า อย่างน้อยพวกเราก็สามารถรักษาสิ่งที่พวกเรามีในตอนนี้เอาไว้ได้ ถ้าหากว่าเกิดแพ้ขึ้นมา……”
“ทนายเฉินฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร ฉันจะลองพิจารณาดู” ซูจ้านตัดบทเขา เอ่ยว่า “นายก็รู้จักฉัน แม้ว่าฉันจะไม่ได้รับทำคดีความด้วยตัวเองนานแล้ว แต่ว่าฉันก็มีหลักการของฉัน”
ทนายเฉินเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งว่า “นายรับทำแล้วอาจจะต้องล่วงเกินคนอื่นนะ”
ซูจ้านเอ่ย “ฉันรู้”
ทนายเฉินถอนหายใจ “นายไปพิจารณาเอาเองแล้วกัน”
เอ่ยจบแล้วก็หมุนตัวเดินออกไป
รอจนทนายเฉินเดินออกไปแล้ว ฉินยาก็เดินเข้ามาถามเขา “คุณคิดอย่างไรคะ”
ซูจ้านไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่จูงฉินยาเดินออกไป ถามพนักงานต้อนรับว่า “ผู้หญิงคนเมื่อครู่ทิ้งช่องทางการติดต่อเอาไว้ไหม”
“ตอนที่เธอมาได้ลงทะเบียนไว้ค่ะ มีที่อยู่” พนักงานต้อนรับนำบันทึกที่ทำไว้ส่งให้เขาดู หลังจากดูแล้ว เขาก็วางลงบนโต๊ะ จูงฉินยาเดินออกไป
ฉินยาไม่เข้าใจเป็นอย่างมากว่าเขาจะทำอะไร จึงถามว่า “คุณคิดจะทำอะไรคะ”
“ผมอยากรับทำคดีความนี้” อ่านก่อนใครที่ novelza.com
ฉินยาถาม “ทำไมคะ เมื่อครู่ทนายเฉินคนนั้นไม่ได้อยากโน้มน้าวคุณ เพราะกลัวว่าคุณจะรับทำหรือคะ”
“ไม่ทำไม ก็แค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนหนึ่งสามารถตายไปพร้อมกันกับลูกได้ จะต้องถูกบีบบังคับจนไม่เหลือหนทางแล้วแน่นอน ผมอยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนี้ และอยากจะร้องขอความเป็นธรรมเพื่อผู้ตายด้วย”
ซูจ้านเดินไปพลาง พูดไปพลาง
ตอนนี้ฉินยาไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจก็ให้การสนับสนุนเขา
ทนายความที่จิตใจมีความชอบธรรมคนหนึ่งถึงจะเป็นทนายความที่ดี
พวกเขาขับรถไปยังบ้านของหญิงคนนั้น
บ้านของพวกเขาอยู่ที่นอกวงแหวนรอบที่ห้าของเมืองปักกิ่ง หนึ่งตึกมีสามชั้น ทั้งยังมีสนามขนาดเล็กแห่งหนึ่ง หน้าประตูมีเพิงทำพิธีศพที่ยังไม่ได้ฝังลงดิน หน้าโลงศพมีกล่องเก็บเถ้ากระดูกสองกล่อง ด้านบนปิดด้วยผ้าสีแดง
ตอนนี้ผู้หญิงที่ไปสำนักงานกฎหมายคนนั้นกำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าโลงศพ และยังมีอีกหลายคนที่น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีและค่อนข้างสนิทกับพวกเขา
ตอนที่พวกเขาจอดรถ เตรียมตัวจะเดินเข้าไป ก็มีรถหลายคันขับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขับไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ถึงได้หยุดลง พุ่งไปทางเพิงทำพิธีศพ
ในไม่ช้าข้างในก็มีคนลงมาต่อเนื่องสิบกว่าคน
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ หญิงคนนั้นก็ถูกกระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรงในทันที “พวกคุณมาทำอะไร”
ผู้นำคือผู้ชายที่สวมชุดสูท มองดูแล้วเหมือนสุภาพบุรุษที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ทุกท่วงท่าอิริยาบถล้วนดูดี แต่เอ่ยอย่างเกือบจะไม่เห็นใจผู้อื่นว่า “ลูกชายของผม แน่นอนว่าผมต้องพาไป”
ผู้ชายคนนี้ก็คือลูกเขยคนก่อนของผู้หญิงคนนี้ สามีเก่าของผู้ตาย
หญิงวัยกลางคนร้องไห้โฮ “ลูกชายคุณ?! หัวใจคุณถูกนางปีศาจนั่นยั่วยวนเอาไปแล้ว ยังจะมาสนใจลูกชาย ลูกชายของคุณตายไปแล้ว……..”
เธอยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็ถูกชายหนุ่มบีบคอเอาไว้ “ถ้าไม่ใช่ลูกสาวของคุณ ลูกชายของผมจะตายหรือ?!”
“คุณมันคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี” ตอนนี้เองที่น้องชายของผู้ตายพุ่งเข้ามา
คนที่ชายหนุ่มพามาด้วยล้วนเป็นบอดี้การ์ดที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ ฝีมือดีมาก น้องชายของผู้ตายยังไม่ทันจะแตะถูกชายหนุ่ม ก็ถูกเตะล้มกองอยู่ที่พื้นแล้ว ล้มลงหน้าโลงศพ ทำกะละมังไฟพลิกคว่ำ
หญิงสาวหน้าตางดงาม สูงเพรียวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่ม อาศัยสถานการณ์ที่วุ่นวายโกลาหลเดินขึ้นไปด้านหน้า อุ้มกล่องเก็บเถ้ากระดูกกล่องเล็กใบนั้นขึ้นมา เมื่อเห็นกล่องเก็บเถ้ากระดูกที่อยู่ด้านข้างก็แสร้งทำเป็นชนจนหล่นดังตึง กล่องเก็บเถ้ากระดูกร่วงลงกับพื้น กล่องแตกร้าวแล้ว คราวนี้กระตุ้นให้ญาติของผู้ตายมีโทสะขึ้นมา จึงพากันล้อมเข้ามา
หน้าเพิงทำพิธีศพวุ่นวายโกลาหลแล้ว หญิงสาวอุ้มกล่องเก็บเถ้ากระดูกเดินไปถึงข้างกายชายหนุ่มภายใต้การปกป้องของบอดี้การ์ด “ฉันไม่ได้ระวังค่ะ” อ่านก่อนใครที่ novelza.com
ชายหนุ่มไม่ได้มีโทสะเพราะกล่องเก็บเถ้ากระดูกของภรรยาเก่าหล่น แต่รับกล่องเก็บเถ้ากระดูกของลูกชายมาแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
พวกเขาถูกบอดี้การ์ดปกป้องจนขึ้นรถไป
และจากไปอย่างสง่าผ่าเผยด้วยความรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงสภาพที่สับสนไม่เป็นระเบียบ ญาติหลายคนล้วนได้รับบาดเจ็บ บอดี้การ์ดเหล่านั้นเก่งมาก พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
แต่ละคนถูกโจมตีจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น เสียงร้องไห้ดังระงม
ฉินยากับซูจ้านยืนมองอยู่ในที่ไม่ไกลนัก ซูจ้านใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายเหตุการณ์เมื่อครู่เอาไว้
“ผู้หญิงคนนั้นคือมือที่สามหรือคะ” ฉินยาเห็นอย่างชัดเจนว่าเธอจงใจปัดกล่องเก็บเถ้ากระดูกให้ร่วง จิตใจชั่วร้ายเกินไปแล้ว
ซูจ้านเอ่ย “น่าจะใช่นะ”
สามารถบีบบังคับจนคนตายได้ จะต้องมีฝีมือสูงแน่นอน
“ซูจ้าน คุณจะต้องช่วยครอบครัวนี้นะคะ พวกเขารังแกคนเกินไปแล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นกำลังกอดกล่องเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้แล้วร้องไห้อยู่ทางด้านนั้น
ซูจ้านถอนหายใจ “ผมอยากช่วยพวกเขา แต่ก็ต้องให้พวกเขาให้ความร่วมมือด้วย
มองดูแล้วผู้หญิงคนนั้นนอกจากร้องไห้ อะไรก็ทำไม่เป็น จะช่วยอย่างไร?
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับกันไหมคะ” ฉินยาถาม
ซูจ้านเอ่ย “อีกสักครู่หนึ่งแล้วกัน รอให้พวกเขาเยือกเย็นลงก่อนสักนิด พวกเราค่อยไปกัน ไปตอนนี้สถานการณ์อะไรก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้”
ฉินยาเอ่ย “ฉันฟังคุณค่ะ”
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ เสิ่นเผยซวนถือโอกาสพักผ่อนโดยการกลับจากต่างเมืองมาเยี่ยมซางหยู
ซางหยูไม่รู้ว่าเสิ่นเผยซวนจะกลับมา และไม่ได้โทรศัพท์หาตัวเอง พักผ่อนอยู่ที่บ้าน เสิ่นเผยซวนก็ไม่อยู่จึงไปเข้าร่วมกิจกรรมกลางแจ้งของมหาวิทยาลัย
เมื่อได้รับโทรศัพท์จากเสิ่นเผยซวน ซางหยูถึงได้รู้ว่าเขากลับมาแล้ว
“ทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะคะ?” ซางหยูที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนก้อนหินริมแม่น้ำ หลังจากที่กางเต้นท์อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งกับเพื่อนนักศึกษาเสร็จแล้ว เอ่ยบ่น
เพื่อนร่วมงานของเขาแนะนำว่า ให้กลับไปแบบกะทันหันเพื่อเซอร์ไพรส์ซางหยู หลังจากนั้นเขาก็นึกว่าเด็กผู้หญิงจะชื่นชอบ ใครจะไปรู้ว่าซางหยูไม่รู้ว่าเขาจะกลับมา จึงออกไปข้างนอกแล้ว
เสิ่นเผยซวนถามว่า “คุณอยู่ที่ไหน”
ซางหยูเอ่ย “หนานซานค่ะ ได้ยินมาว่าที่นี่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก ฉันกับเพื่อนๆเลยมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน…….”
“ผมจะไปหาคุณ” เอ่ยจบ เสิ่นเผยซวนก็วางสายโทรศัพท์ ขึ้นรถ เตรียมขับไปหาซางหยูที่หนานซาน