ทั้งที่ฉินยามีอาการกังวลใจอยู่ชัดๆ แต่เธอกลับพูดว่า “ฉันไม่ได้กังวลสักหน่อย”
ซูจ้านถอนหายใจ สภาพจิตใจของเธอตอนนี้แย่มาก ถ้าครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ เธอจะต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแน่นอน
พวกเขาเดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงานของหมอ ซูจ้านยกมือขึ้นเคาะประตู พวกเขาเปิดประตูออก หลังจากได้ยินเสียงจากข้างในบอกว่าเข้ามาได้ พวกเขาก็เดินเข้าไป พอคุณหมอเห็นพวกเขากำลังเดินเข้ามาก็พูดขึ้นว่า “เชิญนั่งก่อนครับ”
ซูจ้านพยุงฉินยาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้
ฉินยากัดริมฝีปากแน่น บอกตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าคิดมาก อย่ากังวลใจ แต่กลับควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย
เรื่องราวจะพัฒนาไปในทิศทางไหนจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับตอนนี้แล้ว
“คุณหมอครับ ผลของครั้งนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ซูจ้านถาม
คุณหมอไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับมองไปที่ฉินยา แล้วพูดว่า “ผมขอคุยกับสามีของคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมครับ”
ฉินยาไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่กลับพูดว่า “ถ้าหากคุณหมอมีอะไรจะพูดก็พูดต่อหน้าฉันได้เลยค่ะ”
คุณหมอลังเลและมองไปที่ซูจ้าน
ซูจ้านจับมือฉินยาไว้ “คุณหมอคงกำลังพูดถึงผลตรวจของผม คุณรอผมอยู่ข้างนอกก่อน…”
“ไม่ว่าใครจะมีปัญหา ฉันก็ควรจะรู้ไม่ใช่เหรอคะ” ฉินยาถามกลับ
ซูจ้านพูดไม่ออก หลังจากนั้นสักพักถึงได้พูดออกมา “คุณหมอครับ พูดมาเถอะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรเราสองสามีภรรยาจะรับรู้มันไปด้วยกัน”
คุณหมอพยักหน้า “ก็ได้ครับ”
เขายื่นผลตรวจการทำกิฟท์ในครั้งนี้ให้ทั้งสองคน
ซูจ้านเอ่ยถาม “ครั้งนี้ไม่สำเร็จเหรอครับ?”
ถ้าหากประสบความสำเร็จคุณหมอก็น่าจะบอกพวกเขาทันที แทนที่จะยื่นเอกสารที่พวกเขาดูไม่เข้าใจเลยแบบนี้มาให้พวกเขา
คุณหมอตอบ “ใช่ครับ มันไม่สำเร็จ”
ฉินยาทรุดตัวลงในทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ซูจ้านโอบไหล่ของเธอไว้ แล้วพูดปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไร ถึงไม่มีลูกแต่คุณยังมีผมอยู่นะ”
ฉินยาเงยหน้าขึ้นมองไปทางคุณหมอ “ปัญหาอยู่ที่ฉันใช่ไหมคะ?”
ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เธอออกไปก่อนแน่ๆ
คุณหมอพยักหน้า “การทำกิฟท์ที่ไม่สำเร็จทั้งสองครั้งนี้เกิดจากคุณภาพของไข่และท่อรังไข่ของคุณครับ” คุณหมอหยุดพูดไปแล้วพูดต่อ “ถ้าคุณจะทำเป็นครั้งที่สาม มีโอกาสเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะล้มเหลว ไข่และท่อรังไข่ของคุณไม่เหมาะที่จะทำเด็กหลอดแก้ว อัตราความสำเร็จต่ำเกินไป คุณควรยอมแพ้ ทรมานต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วยังต้องแบกรับแรงกดดันทางจิตใจอีก”
คำตอบนี้เหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก ฉินยารู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าของเธอเลือนรางมาก สติของเธอก็ถูกดึงไป ภาพตรงหน้าของเธอดับมืดลง ก่อนจะหมดสติไป
“ฉินยา” ซูจ้านอุ้มเธอไว้ คุณหมอรีบพูดขึ้นมา “พาเธอไปที่เตียงก่อนครับ ผมจะตรวจให้เธอ”
ซูจ้านอุ้มฉินยาวางลงบนเตียงของโรงพยาบาล คุณหมอรีบเดินไปตรวจเธอ หลังจากนั้นสักพัก คุณหมอก็พูดกับซูจ้าน “ไม่เป็นไรแล้วครับ เธอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนเป็นลมหมดสติไป คุณที่เป็นสามีควรจะพูดปลอบโยนเธอ”
ซูจ้านมองลงไปที่ฉินยา แล้วพูด “ฉันรู้ครับ”
คุณหมอพูด “ที่จริงแล้วรับเด็กมาเลี้ยงดูก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ซูจ้านก้มหน้าลงไม่พูดอะไร ตอนนี้เขาไม่อยากพูดอะไร เขารู้เรื่องทุกอย่างดี ในเวลานี้เขากังวลแค่ว่าฉินยาจะไม่สามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปได้
นี่เหมือนเป็นโทษประหารชีวิตสำหรับเธอเลยก็ว่าได้ ไม่มีวิธีแก้ไขให้เธอเลย
ถึงแม้จะทำการอุ้มท้องแทนเธอก็ไม่สามารถมีลูกเองได้แล้ว
ฉินยาตื่นขึ้นมาเธอก็อยู่ที่บ้านแล้ว ซูจ้านนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง พอเห็นเธอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็รีบถามเธอ “เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
ฉินหยาส่ายหน้า มองไปที่เพดานด้วยแววตาว่างเปล่า แล้วพูดออกมา “ซูจ้าน”
“อืม”
“หรือว่าเราจะจบกันแค่นี้ดี…”
“คุณพูดเรื่องบ้าอะไร!” ซูจ้านตกใจตกใจมาก และไม่สามารถยอมรับที่เธอพูดแบบนี้
ฉินยาหลับตาลง แล้วพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ในอนาคตคุณจะเจ็บปวดมาก ที่ต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคุณย่ากับฉัน”
“ผมไม่เป็นไร” ซูจ้านมองลงมาที่เธอ “ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดเท่ากับที่คุณทิ้งผมไปอีกแล้ว เราอุตส่าห์ผ่านอุปสรรคทุกอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นห้ามพูดแบบนี้อีกแล้วได้ไหม?”
เสียงของฉินยาอ่อนแรงมาก “คุณปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพังสักพักได้ไหมคะ? ”
เธอต้องการที่จะอยู่เงียบๆ
ซูจ้านตอบตกลง “ผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นมีอะไรตะโกนเรียกผมได้”
เสียงของฉินยาเบาแรงเหมือนเสียงบินของยุงหรือแมลงวัน เธอก็ตอบอย่างรับอย่างอ่อนแรง
ซูจ้านรู้ว่าเธอต้องในเวลานี้เธอต้องการสงบสติอารมณ์ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง
พอประตูปิดลงน้ำตาของฉินยาก็ไหลลงมาทันที
ข่าวนี้ช่างโหดร้ายกับเธอมากจริงๆ
มีคนมากมายในโลกนี้ ทั้งทั้งที่สามารถมีลูกได้แต่กลับไม่อยากมีลูก
ส่วนเธอที่ต้องการมีลูก แต่กลับยากลำบากกว่าการบรรลุธรรม ไม่สิ เป็นพระเจ้าที่ตัดสินประหารเธอโดยตรง
เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น
ซูจ้านนั่งยองๆ ที่ประตู แม้ว่าเสียงร้องไห้ของฉินยา จะเบามาก แต่เขาก็ยังได้ยินชัดเจน ในห้องเงียบมากจนเขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของเขาเอง จะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดใจของฉินยาได้ยังไงกัน
เขาค่อยๆ เลื่อนลงมานั่งที่พื้น ก้มหน้าลง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เสียงร้องไห้ในห้องก็ดังเป็นระยะจนในที่สุดก็เงียบไป ซูจ้านรีบใช้มือยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืน
เขาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป เขาแกล้งทำท่าทางไม่คิดมาก แล้วถามเธอว่า “เดี๋ยวผมไปหาอะไรมาให้คุณกินดีกว่า”
ฉินยาที่ร้องไห้หมดแรง พลิกตัวกลับมามองหน้าเขา
ซูจ้านเดินเข้ามาแล้วนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเธอ “เราตกลงกันไว้แล้วว่าเราจะไม่สนใจเรื่องนี้ ทำไมถึงร้องไห้อีกล่ะครับ”
เขาเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาจากหางตาของเธอทิ้ง
ฉินยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ขนตายาวของเธอเปื้อนน้ำตา จนผูกปมเข้าด้วยกัน เธอเอ่ยปากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันก็ไม่อยากจะร้องไห้”
แต่มันควบคุมตัวเองไม่ได้
หัวใจของเธอเจ็บมากเหลือเกิน