เสิ่นเผยซวนเบือนสายตาของเขาออกไป พลางเอ่ยออกไป “คุณอยู่ในห้องอย่าออกไป บนโต๊ะผมซื้ออาหารเช้ามาแล้วคุณเข้าไปกิน เสื้อผ้าผมจะตากให้เอง”
ซางหยูดึงชายเสื้อของเขาพลางถามออกไป “ทำไมคุณถึงไม่มองฉัน? คุณโกรธแล้วเหรอ?”
แต่ทำไมถึงโกรธ? คนคนนี้ทำไมถึงได้แปลกอย่างนี้?
เสิ่นเผยซวนเอ่ยพูดออกมา “รีบไปกินข้าว ผมไม่ได้โกรธ”
ซางหยูยู่ปากเอ่ยออกมา “อย่างนั้นแล้วทำไมคุณถึงให้ฉันห่อตัวอยู่กับผ้าห่ม?”
“คุณไม่ได้สวมอะไรอยู่เลย…ยืนอยู่ที่ระเบียงมันไม่ดี” เสิ่นเผยซวนกระแอมออกมาเบาๆ ปกปิดความอายที่เมื่อกี้ตรงเกินไป
“ใครว่าฉันไม่ได้สวมอะไร ไม่ใช่ว่าสวมเสื้อของคุณอยู่หรือไง? ยิ่งไปกว่านั้นขอบหน้าต่างก็สูงเสียขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนมองมาทางหน้าต่าง ก็จะเห็นแค่เพียงตรงท่อนบนของฉันเท่านั้นเอง…”
“อย่างนั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน” เสิ่นเผยซวนเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไปกินข้าวอย่าไปตากผ้าแล้ว”
พูดจบก็ก้าวเท้าเดินไปยังระเบียงเพื่อไปตากเสื้อผ้า
ซางหยูมองเขา “คุณกลัวฉันถูกคนอื่นเห็นเข้าใช่มั้ย?”
เสิ่นเผยซวนไม่พูดอะไรแต่ได้หยิบไม้แขวนเสื้อขึ้นมาตากผ้า
ซางหยูห่อผ้าห่มอยู่บนร่างแล้วลุกขึ้นมา เดินไปยังขอบหน้าต่าง พิงเข้ากับขอบผนังมองเสิ่นเผยซวนไปด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ฉันถามคุณแล้วคำตอบคุณล่ะ? ทำไมไม่ตอบฉัน? กลัวว่าร่างกายของฉันจะถูกคนอื่นเห็นเข้าใช่มั้ย?”
เสิ่นเผยซวนหันหน้าเข้ามา “คุณเป็นภรรยาของผม”
สามารถคิดโยงไปถึงความหมายแฝงของมันได้ก็คือมีแค่เขาเห็นได้เท่านั้น
เธอสวมเสื้อเชิ้ตเพียงตัวเดียวจะไปปกปิดได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นด้านในก็เปลือยเปล่าอยู่ทั้งนั้นเลย
ซางหยูเอ่ยออกมา “ฉันรู้”
เธอเดินเข้ามากุมลำคอของเขาเอาไว้ รอยยิ้มงดงามดั่งดอกไม้ “ฉันชอบท่าทางใจแคบอย่างนี้ของคุณ”
เสิ่นเผยซวน “…”
เขา เขาไม่ได้ใจแคบ แต่เป็น…
เหมือนจะใช่
“ทำไมไม่พูด? แสดงว่าใจแคบนั่นแหละใช่มั้ย?” ซางหยูยิ้มสดใสออกมายิ่งกว่าเดิม มุมขอบตาโค้งประดับไปด้วยแสงสว่าง ส่องประกายจนเหมือนกับดวงดาว
ขาทั้งสองข้างใช้แรงกระโดดขึ้นไป อาศัยกำลังแขนใช้ขาทั้งสองข้างโอบรัดไปบนเอวของเขา เสิ่นเผยซวนกลัวว่าเธอจะร่วงลงไป จึงดึงเอวของเธอเอาไว้ ซางหยูงอริมฝีปากเอาไว้ “แต่ฉันชอบ ก็แค่ชอบให้คุณแคร์ฉัน ชอบท่าทางใจแคบนั้น”
เสิ่นเผยซวน “…”
โอเค เขาใจแคบเองก็ได้
“คุณยุ่งหรือเปล่าวันนี้? ฉันมาเยี่ยมคุณ คุณว่างอยู่เป็นเพื่อนฉันหรือเปล่า?” ซางหยูโอบรัดลำคอของเขาแน่น ท่าทางของทั้งสองคนดูคลุมเครือสุดๆไปเลย
เสิ่นเผยซวนเชิดคางพลางจูบไปที่ริมฝีปากเธอไปเล็กน้อย “ยุ่งมาก”
ความหมายโดยนัยก็คือไม่ว่าง ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนเขาคงไม่มีทางจะเลิกงานมาอย่างนั้นหรอก เขาเข้ามาช่วยทางสถานีตำรวจของทางนี้ทำคดีใหญ่ ตอนนี้ก็ได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญพอดี ไม่อาจเกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายได้ วันนี้เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ
ซางหยูเข้าใจ ในใจรู้สึกหดหู่ไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจอยู่เหมือนกัน
“ฉันรู้ ฉันไม่รบกวนคุณ งั้นฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้าน” ซางหยูเอ่ยออกไปอย่างเข้าใจ
เสิ่นเผยซวนรู้สึกละอายใจ เธอมาเยี่ยมตน แต่ตนไม่มีเวลาออกไปเดินเล่นในเมืองที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้เป็นเพื่อนเธอเลย และยังไม่มีเวลาอยู่กับเธอด้วย “ซางหยู ขอโทษนะ”
“นี่เป็นงานของคุณ ฉันเข้าใจ” ซางหยูโน้มลงไปข้างๆหูของเขา “คุณรู้หรือเปล่า? ฉันเลื่อมใสในอาชีพของคุณมากแค่ไหน”
เสิ่นเผยซวนอุ้มเธอเข้าห้องไป พลางเอ่ยถามออกไปว่า “เพียงแค่เลื่อมใสในอาชีพของผม ไม่เลื่อมใสในตัวผมเหรอ?”
ซางหยูส่ายหน้าออกมา “ฉันไม่เลื่อมใสคุณ”
เสิ่นเผยซวนพาเธอวางลงไปบนเตียง พลางเอ่ยออกไป “ซื่อสัตย์หน่อย ผมไปตากผ้าก่อน”
ซางหยูคว้าคอปกเสื้อของเขาเอาไว้ เข้าประชิดไป “ฉันไม่เลื่อมใสคุณ ฉันเพียงแค่ชอบคุณ”
พูดจบเธอก็คลายมือออกแล้วเดินเข้าไปยังโต๊ะ เปิดอาหารเช้าที่เสิ่นเผยซวนซื้อกลับมา ในใจของเสิ่นเผยซวนรู้สึกพอใจมาก เห็นสายตาของเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น เอ่ยพูดออกไป “หลังจากเรื่องทางนี้เสร็จลงแล้ว ผมสามารถหยุดพักได้หลายวัน ถึงตอนนั้นแล้วจะอยู่กับคุณให้เต็มที่”
ซางหยูนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะกับโจ๊ก พลางเอ่ยออกมาว่า “ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ” งานอย่างเขา ยุ่งเสียจนเป็นเรื่องปกติ รอจนกว่างานทางนี้ของเขาสิ้นสุดลงเธอก็ต้องฝึกงานแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะมีเวลาว่างหรือเปล่า
พูดตอนนี้มันเร็วไป
เสิ่นเผยซวนตากผ้าเสร็จยังไม่ทันได้กินข้าว ได้รับสายก็ได้เดินออกไปอย่างรีบร้อน ในใจของซางหยูถึงแม้ว่าจะรู้สึกหดหู่ไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ไปเพิ่มความกดดันเพิ่มปัญหารบกวนให้กับเขาด้วยเหมือนกัน จึงอยู่ที่บ้านคนเดียวไป
ตอนกลางวันเสิ่นเผยซวนกลับมาอีกรอบนึงซื้อเสื้อผ้ากับของกินมาให้เธอ พูดได้ไม่กี่ประโยคก็ได้เดินออกไป
ซางหยูเข้าใจ มีเสื้อผ้าแล้วก็สามารถออกไปได้แล้ว แต่ก็ได้พบว่าตนไม่มีเงิน ซื้ออะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
หันร่างกลับบ้านไป เก็บกวาดรังนอนเล็กๆที่เสิ่นเผยซวนอาศัยอยู่ไปให้สะอาด เธอขลุกตัวดูทีวีอยู่ในห้อง
เมืองB
หลังจากที่ฉินยาจากไปแล้ว ซูจ้านไม่เคยจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเองเลย หลายครั้งที่อยากจะติดต่อไปแต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นเอาไว้
ที่บ้านเขาหาแม่บ้านอายุประมาณห้าสิบปีมาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นแม่บ้านพูดน้อย ไม่ชอบพูด แต่ขยันทำงาน ซูจ้านพอใจกับสิ่งนี้มาก
ตั้งแต่ที่ฉินยาเดินจากไป ซูจ้านก็ใช้เวลาไปกับงานหมด ทุกวันล้วนยุ่งจนกลับมาดึกดื่น
เขาลืมเอกสารชุดหนึ่งไว้ที่บ้าน ตอนบ่ายกลับบ้านไปเอา ท่านย่าดึงเขาเอาไว้ “ซูจ้านอ่า แกคุยกับย่าหน่อย”
ซูจ้านเอ่ยพูดออกมา “ผมยังต้องทำงาน”
“ช่วงหลายวันมานี้แกก็ออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาเย็นทุกวันเลย จะทำลายสุขภาพให้แย่ลงนะ” ท่านย่านั้นเป็นห่วงซูจ้าน
ซูจ้านไม่พูดอะไร
“แกกลับมาเองคนเดียว และก็ยังกลับมาหลายวันแล้ว แล้วฉินยาล่ะ?” ท่านย่าถามออกไปอย่างระวัง
สีหน้าที่แสดงออกมาของซูจ้านเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “สมหวังตามที่ท่านย่าปรารถนา พวกเราหย่ากันแล้ว ท่านย่าดีใจหรือเปล่า?”
“ฉันแค่อยากให้แกมีลูกสักคน ไม่ได้อยากให้แกหย่า ฉันรู้ว่าแกชอบฉินยา ฉัน…”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ผมยุ่งมาก ขอตัวก่อน ท่านย่ามีธุระอะไร ก็เรียกป้าจี๋มาแล้วกัน”
พูดจบเขาก็หยิบเอกสารเดินออกไป
“ซูจ้าน…” ท่านย่าเคลื่อนรถเข็น มองประตูที่ปิดลง ในใจว่างเปล่า บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีคนจะคุยด้วยเลยแม้แต่คนเดียว ขาแข้งเธอไม่ดีจึงออกไปไม่ได้เหมือนกัน