ไม่นานก็มีคนรับสายมีเสียงดังจากปลายสายว่า “หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้……”
หลินซินเหยียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมองไปยังฉินยา “อย่างกังวลใจมากเกินไป อาจจะแค่โทรศัพท์มือถือแบตหมดแล้ว”
ฉินยาพยักหน้า ยื่นมือไปอุ้มเด็กน้อยในอกเธอ “ให้ฉันอุ้ม”
ตอนนี้ลูกน้อยพอจะชันคอได้แล้ว อุ้มเข้าเอวให้ศีรษะตั้งตรง ดวงตากลมโตหมุนกลอกกลิ้งไปมา
ฉินยาลูบศีรษะของเขา “ผมของหนุ่มน้อยคนนี้ดำจริงๆ ทั้งยังเยอะด้วย”
หลินซินเหยียนเองก็รู้สึกว่าผมของลูกชายสวยมาก เหยียนเฉินกับเหยียนซีตอนเด็กๆไม่ได้มีผมสวยแบบนี้ พวกเขาโตแล้วจึงค่อยๆ
เปลี่ยนเป็นดีขึ้น
ตี๊ดๆ–
ทรศัพท์มือถือของหลินซินเหยียนดังขึ้นมา เธอล้วงโทรศัพท์ออกมาบนหน้าจอแสดงหมายเลขของจงจิ่งห้าว เธอรับสาย
ไม่นานเสียงของจงจิ่งห้าวที่อยู่ทางนั้นก็พูดว่า “คุณออกมา”
หลินซินเหยียนยังไม่ทันตั้งตัวในตอนแรก “หืม”
“ผมอยู่ที่ประตู”
นับตั้งแต่กวนจิ้งไม่อยู่ที่บริษัทเขาก็ยุ่งมาก ออกไปแต่เช้าตรู่กลับเข้ามาตอนดึกๆจนเป็นเรื่องปกติของเขา จู่ๆก็กลับมาตอนบ่ายเธอจึง
แปลกใจมาก “ทำไมถึงกลับมาตอนนี้”
“คุณออกมา”
หลินซินเหยียน”
“เธอมีธุระก็ออกไปเถอะ ฉันจะช่วยเธอดูลูกน้อยให้” ฉินยายิ้มพลางพูดกับเธอ
หลินซินเหยียนพูดกับโทรศัพท์ว่า “ฉันรู้แล้ว” พูดจบก็วางสาย พูดกับฉินยาว่า “ถ้าเธอจะออกไป ก็เอาเขาไปให้แม่ฉันนะ”
“รู้แล้วหน่า เธอจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ” ฉินยาพูด
หลินซินเหยียนไปชั้นบนหยิบเสื้อคลุมหนึ่งตัวแล้วออกจากบ้าน รถยนต์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง เธอเดินมา ดึงประตูเปิดขึ้นไปนั่ง “มา
ที่บ้านแล้ว ไม่เข้าไปเหรอคะ”
จงงห้าวหันหน้ามา สายตามองพินิจพิจารณาอย่างละเอียด
หลินซินเหยียนถูกมองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง “คุณมองอะไร”
“ผมกำลังดูว่าคุณไม่พอใจหรือเปล่า” ไม่อย่างนั้นก็คงไมโทรศัพท์หาเขาแล้วพูดคำพูดแบบนั้น เขายื่นมือมาดึงมือของหลินซินเหยียน
“เป็นเพราะช่วงนี้ผมยุ่งมาก ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณเลยโกรธใช่มั้ย”
หลินซินเหยียนตีมือของเขา พูดอย่างจริงจังว่า “อย่ากวน ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
“อิ่ม คุณว่ามา ผมฟังอยู่” ในชั่วพริบตานั้นสายตาของเขาก็ไม่ได้มองที่หลินซินเหยียน นี่ทำให้หลินซินเหยียนรู้สึกว่าเขาไม่ตั้งใจที่จะฟัง
จึงพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมาว่า “ฉันจริงจังนะคะ”
จงจิ่งห้าวพูดว่า “ผมก็จริงจัง”
หลินซินเหยียนคิดใคร่ครวญแล้วพูดว่า “วันนี้คุณจะยังกลับไปที่บริษัทมั้ย”
จงจิ่งห้าวพูดว่า “ไม่กลับไปแล้ว”
“งั้นคืนนี้พวกเรานัดพ่อไปทานข้าวกัน ทานข้างนอกนะ”
“หืม มีเรื่องอะไร” จงจิ่งห้าวมองสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมของเธอ เธอต้องมีเรื่องอะไรแน่ ไม่อย่างนั้นจู่ๆคงไม่เสนอความคิดแบบนี้
“พ่อาจจะป่วยแล้ว เขาปิดบังคุณกับฉันมาตลอด” หลินซินเหยียนพูด
สีหน้าของจงจิ่งห้าวสงบนิ่งลง สายตามืดหม่นลง “คุณรู้ได้ยังไง”
ถ้าเป็นแค่โรคเล็กน้อย หลินซินเหยียนคงไม่โทรไปหาเขาโดยเฉพาะ ตอนนี้ยังเคร่งเครียดขนาดนี้
“ป้าหยูทำความสะอาดห้องเขา ไม่ทันระวังทำยาของเขากระจัดกระจาย. ยานั้นฉันตรวจสอบแล้ว เป็นยารักษาโรคมะเร็ง” หลินซินเหยี
ยนพูดเบาๆ
สีหน้าท่าทางจงจิ่งห้าวไม่ได้มีปฏิกิริยาตื่นตกใจอะไรเลย แต่ภายในใจกลับไม่สงบเยือกเย็น เขาปล่อยมือหลินซินเหยียน นั่งอยู่บนเบาะ
นานมากโดยไม่พูดอะไร
หลินซินเหยียนเอามือเขามาวางในฝ่ามือ กุมไว้แน่นพูดปลอบใจว่า “คุณอย่ากังวลเกินไป อาจจะไม่ได้ร้ายแรง ตอนนี้พวกเราต้องบอกกับ
คุณพ่อว่าเรารู้เรื่องของเขาแล้ว”
จงจิ่งห้าวดูเหมือนยากที่จะรับได้ ผ่านไปนานพักใหญ่เขาหันมามองหลินซินเหยียน “คุณดูชัดเจนดีแล้วเหรอ”
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในคำพูดของเธอ แต่ในใจลึกๆไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ได้ดูให้ชัดเจน ฉันก็คงไม่มาบอกคุณหรอก ความจริงแล้วฉันไม่ดีเอง ก่อนหน้านี้พบว่าเขามีบางอย่างผิดปกติ เขาบอกแค่ว่าเป็นหวัด
นิดหน่อย ก็เลยไม่ค่อยอุ้มลูกน้อย ฉันคิดว่าเขากลัวว่าตนเองจะแพร่เชื้อหวัดให้ลูกน้อย ก็เลยไม่ได้สงสัย .ฉันไม่ดีเอง”
“ไม่เกี่ยวกับคุณ” จงจิ่งห้าวล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาโทรไปหาจงฉีเฟิง
“พ่ออยู่ที่ไหนครับ” พอโทรติดจงจิ่งห้าวก็พูดทันทีว่า “ผมอยากเจอหน้าพ่อ ตอนนี้”
ปกติแล้วเขาโทรติดต่อกับพ่อน้อยมาก ท่าทีแบบนี้ ในใจจงฉีเฟิงก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาอาจจะจับสังเกตอะไรได้แล้ว หลังจากถอนหาย
ใจเบาๆก็พูดว่า “เจอกันข้างนอกแล้วกัน”
“ได้ครับ” จงจิ่งห้าวพูดชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็วางสาย เขาเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ตรงกลางคอนโซลรถ สตาร์ทรถ ไม่นาน
รถยนต์ก็ขับออกไป
หลินซินเหยียนรู้ว่าตอนนี้เวลานี้เขาต้องการเวลาเพื่อสงบจิตใจให้เย็นลง เธอจึงไม่ได้พูดอะไรปลอบใจเขา รอจนพบกับจงฉีเฟิงค่อยว่ากัน
ภายในรถเงียบสนิทแม้แต่เสียงลมหายใจก็ได้ยินชัดเจนขนาดนั้น
รถยนต์มาจอดที่ด้านหน้าร้านชาแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนลงจากรถ เดินเข้าประตูก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของชา มีคนเดินมาต้อนรับ จงจิ่งห้าวพูดว่า “ต้องการห้องส่วนตัวที่เงียบๆห้องหนึ่ง ชาทิกวนอิมหนึ่งกา”
“เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานต้อนรับพาพวกเขาไปที่ห้องหนึ่งด้านในสุดที่ชั้นบน “ที่นี่เงียบที่สุดค่ะ”
ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหราในแบบโบราณ จงจิ่งห้าวพยักหน้า แสดงถึงความพอใจ
เขากับหลินซินเหยียนนั่งลง ไม่นานพนักงานก็ยกชุดชงชาเข้ามา วางไว้บนโต๊ะชงชา อุปกรณ์ที่อยู่ตรงกลาง
หลินซินเหยียนให้พนักงานวางลง “ที่นี่ไม่ต้องบริการแล้วค่ะ”
พนักงานบริการถอยออกไป เวลาที่หลินซินเหยียนทำงานออกแบบ เพื่อให้จิตใจสงบมีสมาธิจึงเคยไปเรียนศิลปะการชงชามาสองสามวัน
แม้ว่าฝีมือจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ยังคงจำขั้นตอนการชงชได้อย่างดี ลวกถ้วย ชมชา ใส่ชา ใส่น้ำ ชงชา ก็ทำได้คล่องแคล่ว
ผ่านไปครู่หนึ่งภายในห้องก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของชา อารมณ์ของจงจิ่งห้าวก็นิ่งสงบลง
แก๊ก–
ประตูเปิด จงฉีเฟิงเดินเข้ามา
หลินซินเหยียนวางกาน้ำชาในมือลง ยืนขึ้นมา “คุณพ่อมาแล้วเหรอคะ”
จงฉีเฟิงโบกมือแสดงความหมายให้เธอนั่งลง เดินมานั่งที่ด้านหน้าโต๊ะชา มองชาบนโต๊ะแล้วพูดว่า “เธอชงเหรอ”
หลินซินเหยียนตอบว่าใช่
“เคยเรียนชงชาเหรอ”
“เคยไปเรียนมานิดหน่อยค่ะ พอเข้าใจบ้างค่ะ” หลินซินเหยียนรินน้ำชาให้เขา
จงฉีเฟิงยกชาขึ้นมาจิบ พูดว่า “พวกเธอรู้แล้วเหรอ”
หลินซินเหยียนมองจงจิ่งห้าวแล้วตอบว่า “ค่ะ”
“ทำไมต้องปิดบัง” จงจิ่งห้าวตอนนี้ใจเย็นมาก กดเสียงเบามาก
จงฉีเฟิงถอนหายใจ “ตอนแรกฉันก็คิดจะบอกพวกเธอ”
ปิดบังได้เพียงชั่วคราว ปิดบังไปตลอดชีวิตไม่ได้