“รีบมาดูเขาหน่อย” ฉินยาเรียกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนหนึ่ง
เจ้าหน้าที่มองเธอ พยักหน้า ฉีกแขนเสื้อที่ขาดของซูจ้านออกพูดเบาๆว่า “ต้องเย็บแผล ไปโรงพยาบาลก่อน”
มีคนร้องบอกว่าในบ้านยังมีคนเจ็บ คุณหมอเดินเข้าไปในบ้าน ดูเหมือนว่าคนเจ็บในบ้านจะเจ็บหนักกว่า คุณหมอบอกว่า รีบแบกคนลงไป
ชายหนุ่มก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่กุญแจมือเอาตัวไปแล้ว
เมื่อถึงโรงพยาบาลหญิงสาวถูกพาตัวไปที่ห้องฉุกเฉิน ซูจ้านไปทำแผลที่แผนกอายุรกรรม บนแขนถูกฟันแผลหนึ่ง คุณหมอบอกว่าเย็บ
สิบเข็ม ตอนที่คุณหมอทำแผลฉินยาไม่ได้มอง ยืนอยู่ข้างๆมองไปทางอื่น
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ซูจ้านก็ทำแผลเสร็จ ฉินยาประคองเขาถามว่า “เจ็บมั้ย”
ซูจ้านพูดว่า “ไม่เจ็บ ฉีดยาชาแล้ว”
ตรงที่เย็บมีการวางยาชาเฉพาะที่เอาไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นความเจ็บจากการถูกเย็บเนื้อ จะสบายได้ขนาดนี้เหรอ
“ทางด้านลูกความคุณตำรวจแจ้งไปทางครอบครัวเธอแล้ว คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” ฉินยาพูดว่า
ซูจ้านมองเธอ “ผมไม่ห่วงเธอหรอก เธอก็เป็นแค่ลูกความผม ต่อให้เกิดเรื่องอะไร ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม แต่คุณ ทำให้ผมเป็น
ห่วง คนเขาถือมีดมาจะทำร้ายคุณ ทำไมคุณไม่รู้จักหลบหนี”
ตอนนั้นเธอตกใจ ตัวสั่นด้วนความตื่นตกใจจนลืมว่าจะต้องทำยังไง
“แบบนี้ ต่อไปผมจะวางใจคุณได้ยังไง” ซูจ้านอย่างกลุ้มใจ
ฉินยาเม้มปากไม่พูด
มีคุณหมอคนหนึ่งเดินมามองเห็นซูจ้านก็พูดว่า “คุณย่าคุณตื่นแล้วครับ”
โรงพยาบาลนี้คือโรงพยาบาลเดียวกับที่คุณารักษาตัวอยู่ คุณหมอคนนี้ก็เป็นคุณหมอที่รักษาคุณย่าของเขา ท่านย่าฟื้นแล้ว รอบๆตัว
ไม่มีใคร เขากำลังคิดจะติดต่อซูจ้านอยู่พอดี
“ผมจะไปที่ห้องเดี๋ยวนี้ครับ” ซูจ้านพูด
“เดี๋ยวก่อน ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณหน่อย” สีหน้าท่าทางของคุณหมอเคร่งเครียดเล็กน้อย ซูจ้านขมวดคิ้ว “ไม่ได้บอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง
เหรอครับ”
“ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่… …. คุณหมอชะงักไปเล็กน้อย “คุณต้องเตรียมทำใจเอาไว้”
“ตกลงว่ามีอะไรกันแน่” ซูจ้านร้อนใจเล็กน้อย
“คุณอย่างเพิ่งใจร้อน!” น้ำเสียงคุณหมอดุเล็กน้อย “คืออย่างนี้ เพราะคนไข่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมอง ตอนที่เพิ่งตื่น ผมไป
เยี่ยมเธอ เธออาจจะมีภาวะสูญเสียความทรงจำเป็นบางช่วง”
“อะไรนะ” ซูจ้านคิดว่าตัวเองหูฝาดไป “สูญเสียความทรงจำเหรอ”
เขาคิดว่านี่เป็นรื่องที่ยากจะเชื่อได้อย่างมาก เป็นสิ่งที่ปรากฎให้เห็นในละครเท่านั้น ทำไมถึงได้เป็นเรื่องจริงได้
“อันนี้ผมก็ไม่มั่นใจ เพราะเธอก็มีภาวะอัลไซเมอร์อยู่ อาจจะมีอาการนี้ แต่ก็ไม่สามารถตัดอาการความจำเสื่อมไปได้ พรุ่งนี้ต้องทำการ
ตรวจเพื่อให้มั่นใจ”
“ได้ครับ” ซูจ้านจับมือของฉินยา “ผม
“ไปดูก่อนเถอะ” ฉินยาเข้าใจว่าตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูก
ฉินยาไปที่ห้องผู้ป่วยของท่านย่าพร้อมกับซูจาน ผลักประตูเปิด ท่านย่ายังนั่งพิงที่หัวเตียง บนศีรษะมีผ้าพันแผลพันอยู่ ได้ยินเสียงความ
เคลื่อนไหวสายตาก็มองมา สายตาที่เหม่อลอยในตอนแรกก็เปล่งประกายเล็กน้อย
“คุณเข้าไปเถอะ ฉันอยู่ข้างนอก” ฉินยาปล่อยมือซูจ้าน ตอนที่เธอหมุนตัวไป ท่านย่าเรียกเธอ “คุณเป็นใคร”
ฉินยาไม่ได้หันกลับไป เดินต่อไป
“นี่ฉันพูดกับเธออยู่นะไม่ได้ยินเหรอ” ท่านย่าตะคอกเสียงดุ “ฉันจะบอกให้นะว่าซูจ้านของฉันเนี่ยแต่งงานแล้ว คุณจะมารุ่มร่ามกับเขาไม่
ได้”
ซูจ้านเดินเข้ามา “คุณย่า……
“เรียกย่าอะไรล่ะ” ท่านย่าตัดบทเขาด้วยเสียงเข้ม “เสี่ยวยาแม้แต่ลูกก็ไม่เหลือแล้วเพราะแก ตนนี้ไม่รู้เป็นยังไง แกยังจะไปทำรุ่มร่ามกับ
ผู้หญิงคนอื่นอีก แกไม่รู้สึกผิดต่อเธอเหรอ”
ฉินยายืนอึ้งอยู่ที่หน้าประตูชั่วขณะ หรือว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริงๆ ลืมไปแล้วว่าเธอเป็นใคร
“คุณย่า” ซูจ้านเดินไปข้างเตียง มองดูท่านย่า “เพราะว่าผมกับเสี่ยวยาไม่มีลูก คุณย่าก็เลยให้ผมหย่า ย่าลืมไปแล้วเหรอ”
ท่านย่ามองซูจ้าน ดวงตาที่ขุ่นมั่วเปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมา ทันใดนั้นก็พูดด้วยเสียงเข้มว่า “พูดเหลวไหลอะไร ฉันจะให้แกหย่าได้ยังไง!”
ซูจ้านหันกลับไปมองฉินยา ทั้งสองสบตากัน ในใจก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมาหรือว่าท่านย่าจะเกิดอาการแบบที่คุณหมอบอกจริงๆ สูญเสีย
ความทรงจำเป็นบางช่วงไป
ท่านย่าจู่ๆก็ดึงมือซูจ้านไป พูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาที่ดีไม่หยุดว่า “ซูจ้าน พวกเราเป็นคนจะไร้ซึ่งมโนธรรมไม่ได้ เสี่ยวยาไม่มีลูกก็
เพราะแก บาดเจ็บก็เพราะแก แกต้องรับผิดชอบ แกต้องชดใช้ จะมาทำรุมร่ามกับผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าพวกนี้ไม่ได้”
ซูจ้านตอบว่าได้ “ผมไม่มีทางทอดทิ้งเสี่ยวยา”
“งั้นแกก็ไล่ผู้หญิงคนนี้ไปซะตอนนี้เลย รอเสี่ยวยากลับมาเห็นเข้าก็จะโกรธ” ท่านย่าดุเขา
ซูจ้านบอกว่าได้ เขาเดินไปทางฉินยา ดึงเธอไปที่ระเบียง
“ท่านย่าจำคุณไม่ได้แล้วเหรอ” ซูจ้านบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร คิดว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว
ฉินยาพูดว่า “คุณหมอไม่ได้บอกว่าอาจจะความจำเสื่อมหรอกเหรอ”
ซูจ้านพูดว่าใช่ ตรวจดูก็รู้แล้ว วันต่อมาท่านย่าก็ไปทำการตรวจ ภาพที่ถ่ายออกมา เป็นการสูญเสียความทรงจำนเนื่องมาจากความดัน
โลหิตกดทับเส้นประสาทในสมอง มีความเป็นไปได้มากที่จะฟื้นฟูความทรงจำ และก็เป็นไปได้มากที่จะจำได้เพียงเรื่องราวก่อนหน้า จำเรื่องราว
ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ได้อีก
เดินออกมาจากห้องตรวจ ชูจ้านพูดกับฉินยาว่า “ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่ข่าวร้ายซะทีเดียวนะ”
ฉินยารู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ท้ายที่สุดเมื่อพิจารณาแล้ว “ถ้าเกิดเธอจำได้ขึ้นมาละ”
ซูจ้านชะงักพูดไม่ออก
ฉินยานั่งบนม้านั่งยาวตรงระเบียงทางเดิน “พี่หลินยกร้านที่เมืองCให้ฉันแล้ว ต่อไปนั่นก็คือกิจการของฉัน ฉันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้”
ซูจ้านโพล่งออกมาว่า “ผมตามคุณไปที่เมืองCได้”
ฉินยาเงยหน้า “แล้วงานคุณล่ะ”
ซูจ้านเดินมาคุกเขาลงตรงหน้าเธอ จับมือเธอขึ้นมา “ถ้าคุณเต็มใจ ผมสามารถทิ้งได้ทุกอย่าง พาท่านย่ากับคุณไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองC”
ข้อเสนอของซูจ้านกะทันหันเกินไป เธอยังไม่ทันได้คิด
“ผมไม่ปิดบังคุณ หลังจากที่คุณไปจากเมืองB ผมก็เคยแอบตามไปดู วันนั้นคุณแต่งตัวสวยมาก พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับช่าวหยุน หลัง
จากผมเห็นแล้วก็เจ็บปวดมาก ผมปลอบใจตัวเองมาตลอดว่า ขอแค่คุณมีความสุขก็พอ แต่ว่า… … ในที่สุดผมก็ปล่อยคุณไปไม่ได้” สายตาเขาลึก
ซึ้ง “คุณเองก็ปล่อยผมไปไม่ได้ใช่มั้ย”
“คุณคิดเรื่องที่จะบอกท่านย่าว่าฉันคืฉินยายังไงก่อนจะดีกว่า ฉันให้เวลาคุณสองวัน ถ้าคุณแก้ปัญหาได้… ….ฉันก็ตกลง ฉันสูญเสียด้วย
น้ำมือคุณสองครั้ง
ซูจ้านเอามือปิดปากเธอ “อย่าพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้เพราะผมเป็นคนทำ ก็ควรจะเป็นผมที่ต้องชดใช้ให้คุณ”
เวลาสองวันผ่านไป ซูจ้านทำการปฏิรูปความคิดให้ท่านย่า บอกเธอว่าคนที่จงมือเขาหน้าประตูห้องผู้ป่วยก็คือฉินยาท่านย่าไม่เชื่อ
ซูจ้านจึงเอาเรื่องราวที่ผ่านมาของฉินยามาเล่าให้เธอฟัง
ความทรงจำของท่านย่าหยุดอยู่ในช่วงที่ฉินยาได้รับบาดเจ็บแล้วจากไปนั้น ซูานพูดอย่างสมเหตุสมผลมีหลักฐานน่าเชื่อถือ แม้ว่าในใจ
เธอจะเธอจะมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ก็เชื่อในที่สุด
คดีที่เขาทำอยู่นั้นถูกโอนไปให้ทนายคนอื่นในบริษัท ตอนนี้ก็แค่ดำเนินการตามขั้นตอน อีกฝ่ายนอกใจและทุบตีทำร้ายทำให้ลูกความ
แท้งลูก การแต่งงานนี้ต้องหย่าร้างแน่นอนอยู่แล้ว และฝ่ายชายต้องหย่าโดยไม่มีการแบ่งสินสมรส พร้อมรับผิดตามกฎหมาย
ซูจ้านพาท่านย่าไปไว้ที่บ้านให้คนรับใช้ดูแลก่อน เขาและฉินยาไปเมืองC เพื่อซื้อบ้านพัก
ฉินยากลัวว่าเขาแค่วู่วามไปชั่ววูบ ทิ้งทุกอย่างที่เมืองB ไปที่เมืองC “คุณคิดดีแล้วจริงๆเหรอ”
เธอไม่อยากให้เขาเสียใจ
ซูจ้านพูดอย่างมั่นใจว่า “ขอเพียงได้อยู่กับคุณ จะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
ก่อนจะไปเขาไปพบกับจงจิ่งห้าว เขาบอกว่าเขาตัดสินใจไปเมืองC ไม่ได้มาขอคามคิดเห็นจากเขา แค่จะมาบอกเขาเท่านั้น
จงจิ่งห้าวเห็นด้วย เขามีความเห็นแก่ตัว แม้ว่านิสัยช่าวหยุนจะร่าเริงสดใส แต่ว่าอายุไม่น้อยแล้ว JKกรุ๊ปที่เขาบริหารจัดการอยู่ทั้งหมด
เป็นของหลินซินเหยียน ช่าวหยุนไม่สามารถดูแลไปตลอดได้ ภายหลังก็ต้องมีคนมาบริหารจัดการแทน
ในมือเขาตอนนี้ไม่มีใคร ซูจ้านไปแล้วก็ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเรื่องนี้พอดี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโรงงานทอผ้า เฉิงยู่เวินไปไม่ได้ชั่วคราวอีก
อย่างเขาก็อายุมากแล้ว ต่อไปโรงงานก็ต้องมีคนบริหารกิจการต่อ
ถ้าซูจ้านอยู่ที่นั่น อย่างนั้นปัญหาพวกนี้ก็สามารถแก้ไขจัดการได้อย่างง่ายดาย
เขายังมีอีกหนึ่งความคิด แต่เขาต้องการปรึกษากับหลินซินเหยียนก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจได้