ตอนค่ำเด็กทั้งสองคนเลิกเรียนกลับมา จงเหยนซีปืนขึ้นไปที่หัวเตียงของจงฉีเฟิง ใช้กระดาษสีพับเป็นนกกระดาษ”คุณครูศิลปะเป็นคน
สอนพวกเราค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ?” จงฉีเฟิงยื่นมือออกมาลูบหัวของหลานสาว”หลานทำเป็นแล้วยัง?”
“ยังไม่ชำนาญ พับไม่สวยเท่าคุณครู”จงเหยียนซีพับอย่างตั้งใจ
“ปู้เชื่อว่าเสี่ยวลุ่ยจะพับสวย”
จงเหยียนซีเงยหน้าขึ้น”คุณปู่ หนูจะพับเยอะๆเลย”
“ทำไมเหรอ?” จงฉีเฟิงพูดถามขึ้น
เขาพิงที่หัวเตียง สีหน้าเริ่มเหลือง ดูซูบผอม
“อื้อ ในตำนานโบราณบอกว่าถ้าตั้งใจพับนกกระเยนกระดาษได้ถึงหนึ่งพันตัว จะนำพาความสุขและโชคดีมาให้กับคนรักได้ หนูจะพับมา
หนึ่งพันตัวมอบให้กับคุณปู่ ให้คุณปู่หายไวๆ”จงเหยียนซีพูดขึ้นอย่างจริงจัง
จงฉีเฟิงรู้สึกอบอุ่นในใจ เด็กน้อยคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งทำให้คนมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ”หลานได้ยินมาจากไหน? ไม่ตั้งใจเรียน เรียนเรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
“คุณครูศิลปะบอกพวกเราตอนที่กำลังสอน ที่คุณครูสอนไม่มีประโยชน์เหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นต่อไปหนูไม่ฟังคุณครูแล้ว แล้วก็จะไม่ตั้งใจ
ทำการบ้านด้วย”จงเหยียนซีฉลาดจริงๆ จงฉีเฟิงพูดด้วยความรักเอ็นดู”ปูผิดไปแล้ว มันมีประโยชน์ต่างหากล่ะ”
จงเหยียนซีเปิดตาสว่างใสแจ๋ว ขนตางอนกระพือ มองจงฉีเฟิงด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง”คุณปู่ หนูจะตั้งใจ ขอให้คุณปูหายไวๆนะคะ”
จงฉีเฟิงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แต่ที่ปล่อยวางไปไม่ลงก็คือเด็กทั้งสามคนนี้ ก่อนที่เฉิงยู่ซิ่วเกิดก็อยากเห็นพวกเขาเข้าเรียน
หลินซินเหยียนคลอดลูกมา แต่เธอยังไม่ได้เห็นเลย
“หนูเอาไปแขวนก่อนนะคะ”จงเหยียนซีเอานกกระเรียนกระดาษที่พับเสร็จแล้วไปแขวนที่ผ้าม่านตรงหน้าต่าง
หลินซินเหยียนอุ้มลูกน้อยเข้ามา เห็นลูกสาวกำลังเหยียบเก้าอี้ขึ้นไปแขวนนกกระเรียนกระดาษ ก็เข้าไปประคองเธอไว้”ลูกระวังหน่อยสิ”
“ไม่เป็นไร หนูโตแล้ว”จงเหยียนซีแขวนเสร็จก็ปีนลงมา”หม่ามี๊ อุ้มน้องชายมาดูคุณปู่เหรอคะ?”
หลินซินเหยียนพยักหน้า”ใช่น่ะสิ น้องชายคิดถึงคุณปู่”
“แหะๆ”เธอยื่นมือไปหยิกแก้มของน้องชาย”แก้มของเขานิ่มจริงๆ”
หลินซินเหยียนตีมือของเธอ”หยิกไม่ได้นะ เดี๋ยวน้ำลายจะไหล”
จงเหยียนซีเบะปาก บอกว่าหนูจะไปแล้ว
พูดจบก็เดินออกไปจากห้อง ตอนที่กำลังจะปิดประตูนั้น ตรงประตูก็เจอกับจงจิ่งห้าวเข้าพอดี จึงตะโกนขึ้นมาอย่างกระตือรือรัน”แด๊ดดี้”
จงวิ่งห้าวตอบรับ”ไปเล่นกับพี่ชายที่ห้องนั่งเล่นก่อนสิ”
“หนูไม่เล่นกับเขา เขาน่าเบื่อจะตาย”พูดจบก็ต่างคนต่างกลับไปที่ห้องของตัวเอง
จงเยียนเฉินเป็นเด็กแก่แดด ฉลาดเกินอายุมาตั้งแต่หนแต่ไรแล้ว ตอนนี้ในครอบครัวก็มีแต่จงเหยียนซีกับลูกน้อยที่ ไม่รู้สถานการณ์ของจงฉีเฟิง จงเหยียนเฉินรู้สึกเจ็บปวดอยู่ภายในใจ
เขาที่ไม่ค่อยชอบพูดอยู่แล้ว ก็ยิ่งนิ่งเงียบขึ้นไปอีก
จงเหยียนซีบอกว่าเขาแสร้งทำเป็นสงบนิ่งขรึม
จงจิ่งห้าวปิดประตูเดินมาตรงหน้าเตียง ลากเก้าอี้หนึ่งตัวมานั่งลงใกล้ๆหลินซินเหยียน
หลังจากที่จงฉีเฟิงป่วย ก็ไม่ชอบอุ้มลูกน้อยแล้ว แม้ว่าโรคนี้จะไม่ติดต่อ แต่เขาก็กลัวว่าจะติดต่อไปที่เขา กลัวว่าโรคของตัวเองจะแพร่ไปที่ตัวของเขา
เขายังเด็ก ภูมิต้านทานอ่อนแอ
“เธออุ้มเขามาได้ยังไง อย่าเข้าใกล้ฉันขนาดนี้”จงฉีเฟิงโบกมือ
หลินซินเหยียนพูดขึ้น”ฉันกับจิ่งห้าวมีเรื่องอยากจะพูดกับพ่อค่ะ”
“เรื่องอะไร?”
จงฉีเฟิงเงยหน้าขึ้นมองมายังจงจิ่งห้าว
“ฉันกับจิ่งห้าวปรึกษากัน ว่าจะยกลูกน้อยให้กับซูจ้านและฉินยาเป็นคนดูแลเลี้ยงดูค่ะ”หลินซินเหยียนพูดขึ้น
จงฉีเฟิงมองต่ำลง สายตาหันมองไปยังลูกน้อยอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดขึ้น”นี่เป็นลูกของพวกเธอ พวกเธอคุยปรึกษากันดีแล้ว ฉันก็ไม่มีข้อลโต้แย้ง”
เขายื่นมือออกไป ลูกน้อยคว้าปลายนิ้วของเขาเอาไว้ ฉีกยิ้มกว้าง แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
ถึงจงฉีเฟิงจะป่วย แต่ในหัวรู้ดี รู้ดีว่าพวกเขาคิดยังไง
“พ่อแม่ของเธอก็มีเธอเป็นลูกสาวคนเดียว เด็กคนนี้ใช้นามสกุลของพ่อเธอ แล้วสีบทอดธุรกิจตระกูลของพ่อแม่เธอด้วย ก็ถือว่าครบ
สมบูรณ์แล้ว ไม่ได้เห็นพวกเขาตอนเกิด ถ้าเกิดได้เจอกับพวกเขาตอนที่ยังไม่ได้มาเกิดบนโลก ฉันก็สามารถพูดคุยกับพวกเขาได้”
จงฉีเฟิงเสียงเบามาก เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอมากแล้ว
บรรยากาศก็หนักหน่วงขึ้นมา โดนเฉพาะหลังจากที่ได้ยินคำพูดสองประโยคหลังของจงฉีเฟิง พูดอีกสักพัก จงฉี่เฟิงก็เหนื่อยแล้ว หลินซิ
นเหยียนกับจงจิ่งห้าวออกมาจากห้อง ให้เขาพักผ่อน
ช่วงกลางคืนหลินซินเหยียนพลิกตัว พบว่าคนที่นอนข้างๆไม่อยู่แล้ว ลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ มองผ่านผ้าม่านโปร่งๆบางๆ เห็นเงาคนหนึ่งคนยืนอยู่ที่ระเบียง เธอลุกจากเตียงสวมรองเท้าแตะหยิบเสื้อหนึ่งตัวเดินออกไป เอาเสื้อตัวนอกไปคลุมไว้ที่ตัวของเขา”ทำไมถึงไม่นอน?”
ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน พอให้หลินซินเหยียนได้เห็นใบหน้าที่นิ่งลึกของเขาอย่างชัดเจน ในเวลานี้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย
จงจิ่งห้าวหยิบเสื้อคลุมที่คลุมอยู่ออกมา ห่มไปที่ร่างกายของเธอ คว้ามือของเธอมากุมเอาไว้”ผมนอนไม่หลับ อยู่เป็นเพื่อนผมสักพักสิ”
หลินซินเหยียนตอบซื้อกลับมาเบาๆ ทั้งสองคนไม่พูดอะไร ยืนเงียบๆอยู่แบบนี้ กลางดึกแสงจันทร์สาดส่องมาคลุมที่ร่างของพวกเขาทั้งสองคน
“อาลัยอาวรณ์ลูกน้อยใช่ไหม?”หลินซินเหยียนหันมองไปที่เขา”ถ้าคุณชอบ ฉันค่อยคลอดให้กับคุณอีกสักคน”
จงจิ่งห้าวกุมมือของเธอเอาไว้อย่างแรง พร้อมกับพูดขึ้น”สุขภาพร่างกายของคุณไม่ไหว พวกเราไม่เอาแล้ว มีเสี่ยวซีกับเสี่ยวลุ่ยอยู่ข้าง
กายของพวกเราก็พอแล้ว พวกเขาเป็นลูกคนแรกของพวกเรา ผมไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจแล้วล่ะ”
มีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่งมันก็ดีที่สุดแล้ว
“ฉันเข้าใจที่คุณทำแบบนี้ ก็เพื่อฉัน คุณเห็นด้วยที่จะให้ลูกน้อยนามสกุลจวง ในอนาคตเขาสืบทอดJK เพื่อเป็นทายาทต่อจากพ่อของฉัน
สืบทอดธุรกิจของเขา ไม่ถึงขั้นที่เคยถูกคนลืมว่าเคยมีคนแบบนี้อยู่บนโลก”เธอมองต่ำลง เอามือไปประกบที่หลังมือของเขา”ฉินยากับซูจ้าน
เลี้ยงดูลูกน้อย แค่มีคนที่รักเขามากกว่าเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนเท่านั้น มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง”
เข้าใจเหตุผลดี แต่แค่รู้สึกอาลัยอาวรณ์
“ไปนอนกันเถอะ”จงจิ่งห้าวกุมมือของเธอเข้าไปในห้อง
นอนลงบนเตียงก็ยากที่จะหลับลูกน้อยจงฉีเฟิง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นความเศร้าหมองที่ตราตรึงอยู่ในใจ
ค่ำคืนนี้ยังมีอีกหนึ่งคนที่นอนกลับไม่สนิท
ช่วงนี้ซางหยูมักจะมีอาการคลื่นไส้อยู่บ่อยๆ วันนี้ตอนค่ำเธอไม่ได้กินอะไร ก็ยังรู้สึกอยากจะอาเจียน แต่อาเจียนไม่ออก
อาการคลื่นไส้นี้มีมาตลอด ทำให้เธอไม่สามารถพักผ่อนได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็กะจะไปที่คลินิก โรงพยาบาลใหญ่ๆต้องต่อคิว แถมเธอถูกบริษัทแห่งหนึ่งรับไปเป็นเด็กฝึกงานแล้วด้วย จะสายไม่ได้
ไม่อย่างนั้นก็จะถูกหักการประเมินผลการปฏิบัติงาน แถมผลกระทบที่ตามมาก็ไม่ดีด้วย เธอเพิ่งจะถูกรับเข้าทำงานก็มาสายซะแล้ว จะทำให้คน
เขารู้สึกไม่ดีกับเราตั้งแต่แรกไม่ได้
คลินิกคนไม่เยอะ
อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novel00.com
ซางหยูบอกอาการของตัวเองให้กับหมอ”ช่วงหลายวันนี้เอาแต่รู้สึกคลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็อาเจียนไม่ออก ไม่มีความอยากอาหารด้วย
กินอะไรไม่ลงเลยค่ะ”
หมอพูดถาม”ก่อนหน้านี้มีอาการแบบนี้ไหม?”
ซางหยูส่ายหน้า”สุขภาพร่างกายของฉันดีมาตลอดค่ะ”
“ช่วงนี้มีอดหลับอดนอนไหม?”หมอถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีค่ะ”
“อาการคลื่นไส้ เมื่ออาหารของคุณนี้อาจมาจากสาเหตุของกะเพาะและลำไส้อักเสบ”หมอพูดขึ้น”เดี๋ยวผมจ่ายยาให้คุณก็แล้วกัน”
ซางหยูพูดขึ้น”ได้ค่ะ ถ้าอย่างคุณหมอจ่ายยาให้เลยแล้วกันค่ะ”
หมอจ่ายยาให้เธอสองสามกล่อง ซางหยูหยิบยาใส่เข้าไปในกระเป๋า ระหว่างทางที่เดินทางไปบริษัท เธอซื้อน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้ว แล้วก็ถือโอกาสกินยาไปด้วยเลย
เธอคำนวณเวลาแล้วว่าไปถึงบริษัทก่อนเวลา
เพิ่งมาฝึกงานก็ได้แค่ทำงานง่ายๆ พวกช่วยถ่ายเอกสาร ช่วยติดตารางงาน แต่แค่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อาการดีขึ้นจากการกินยา
คิดดูแล้วอาจจะเป็นเพราะเพิ่งกินเข้าไป ก็เลยยังไม่ออกฤท ตอนเที่ยงก็กินต่อตามคำสั่งของหมอ
ตอนเย็นเลิกงานเธอก็ยังไม่ดีขึ้น หวางทิงเสโทรศัพท์มาชวนเธอกินข้าว
เธอเหนื่อยกับงานมาทั้งวัน ไม่อยากไป หวางทิงเสว่พูดขึ้น”ถ้าเธอไม่มา เธอไม่ใช่เพื่อนของฉันแล้วนะ”
ซางหยูถอนหายใจออกมา รู้จักนิสัยใจคอของหวางทิงเสว่ดี ต้องไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะต้องไม่ยุ่งกับเธอไปอีกนานแน่นอน
“หมี่ของร้านนี้อร่อยมากเป็นพิเศษเลย”ทั้งสองคนเจอกันตรงประตูทางเข้ามหาลัย หวางทิงเสว่ควงแขนของเธอเดินไปอยู่ตรงหน้าร้านซุปวัวหวยหนานร้านหนึ่ง
“นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้มากิน” หวางทิงเสว่จูงเธอเดินเข้าไป พูดกับเถ้าแก่”เอาหมี่สองถ้วย แล้วก็ขนมปังทอดหนึ่งค่ะ”
“ได้ครับ กรุณารอสักครู่”
ผ่านไปสักพักเถ้าแก่ก็เอาหมี่สองถ้วยมาเสิร์ฟ มี่เส้นเล็กๆ แล้วก็ฟองเต้าหู้ที่หั่นเป็นเส้น เนื้อวัวหั่นเป็นแผ่นบางๆ โรยด้วยผักชีและ
หอมแดง แล้วราดด้วยน้ำซุปร้อนๆ นี่แหละอาการอันโอชะ
หวางทิงเสวได้กลิ่นแล้วก็น้ำลายไหล”หอมจัง”
เมื่อก่อนซางหยูก็ชอบกินเหมือนกัน หมี่เนื้อวัวบวกกับขนมปังปิ้งบางๆ อร่อยมากจริงๆ แต่ตอนนี้เธอเห็นแล้วกลับไม่มีความอยากเลยแม้แต่น้อย
หวางทิงเสว่คีบเนื้อขึ้นมาหนึ่งชิ้นยัดเข้าไปในปากพร้อมกับบะหมี่ ได้กินของที่ตัวเองชอบ ในใจรู้สึกเติมเต็มไม่น้อยเลย เธอรู้สึกว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด
“ซางหยูทำไมเธอเอาแต่มองไม่กินเลยล่ะ?” หวางทิงเสหยิบขนมปังขึ้นมากัดไปหนึ่งคำ พูดขึ้นทั้งที่ในปากยังมีอาหารอยู่
ซางหยูตอบ”ช่วงนี้ฉันรู้สึกไม่สบาย ไม่ค่อยอยาก”
หวางทิงเสว่กลืนอาหารลงไป ก่อนจะถามขึ้น”ไม่สบายยังไง?”
“คลื่นไส้อยากอาเจียน กินยาแล้ว ก็ไม่ได้ช่วย”จู่ๆเธอก็จับตรงหน้าอก เริ่มรู้สึกคลื่นไส้อีกแล้ว
หวางทิงเสว่ถลึงตาโต”ซางหยู นี่เธอคลื่นไส้ คงจะไม่ได้ท้องหรอกใช่ไหม?”