เถียนฉีเฟิงพยายามยื้อเวลาอย่างเต็มที่
เจียงโม่หานยืนอยู่นานมาก จนสุดท้ายก็ตอบออกมา
ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีใจที่สุดสำหรับเขาแล้ว เขาไม่ควรจะทำให้เธอเจ็บปวดเพราะความรู้สึกของเขาอีกต่อไป
แต่ว่าเวลาหนึ่งเดือนดูเหมือนจะยากเย็นแสนเข็ญเอามากๆ หนึ่งปีผ่านไป แต่เดือนนี้กลับเหมือนหนึ่งปี
เขาใช้เวลาสวนใหญ่อยู่ในบริษัทจนดึกดื่น
บางครั้งก็อยู่ในบริษัทติดต่อกันหลายวัน ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เขาควบคุมดูแลเองทั้งหมด
เดิมทีเพราะข่าวของเจียงโม่หาน ทำให้หุ้นบริษัทตกดิ่ง จนพนักงานของบริษัทเริ่มรู้สึกคลอนแคลน เขาอยู่ในบริษัทจัดการกับปัญหาต่างๆ แบบนี้ พนักงานทุกคนก็กลับมามีความรู้สึกมั่นใจอีกครั้ง
ทุกคนคิดว่าเจียงโม่หานกำลังพยายามกู้วิกฤติความสูญเสีย
แต่ความจริงก็คือ เจียงโม่หานไม่สามารถนอนหลับคนเดียวได้
วันหนึ่งช่วงใกล้สิ้นเดือน เจียงโม่หานกลับมาที่บ้านพัก เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวันแล้ว เขาอยากอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดมาใส
บางทีการรู้ว่าจงเหยียนชียังมีชีวิตอยู่ เขาถึงยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับห้องหอที่พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาในทุกวันคืน
เขาอาบน้ำเสร็จ ตอนที่กำลังหาเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้า เขาก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในลิ้นชักของตู้เสื้อผ้า ด้วยความอยากรู้ เขาจึงเอื้อมมือออกไปหยิบมันออกมาดู
พอคลี่กระดาษออก เขาถึงได้เห็นชัดเจนว่ามันคืออะไร-มันคือใบผลตรวจอัลตร้าซาวด์
วันเวลาบนนั้นคือหนึ่งปีที่แล้ว ตรงกับวันที่เขาขอหย่ากับเธอ
รูม่านตาของเขากลายเป็นสีดำสนิท ก่อนจะอ่านทุกคำบนกระดาษอย่างละเอียด
ชื่อเจ้าของผลตรวจคือจงเหยียนซี ผลตรวจอัลตร้าซาวด์ การตั้งครรภ์ในมดลูก อยู่ในระยะการตั้งครรภ์ในช่วงต้น อายุครรภ์เจ็ดสัปดาห์
เจียงโม่หานตัวแข็งที่อ แม้แต่หายใจก็เบาลง
มือของเขาสั่นเล็กน้อย ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง
เธอ ท้องอย่างนั้นเหรอ?
เขาตกตะลึงกับข่าวนี้มาก และเคร่งเครียดไปพร้อมกัน หลังจากที่เขาทำร้ายเธอ เธอจะยังให้ลูกคนนี้เกิดหรือเปล่า?
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา
ร่างสูงโค้งตัวลง ใช้มือพยุงขอบเตียง แล้วโค้งตัวลงช้าๆ
ถึงจะทำแบบนี้ มันก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่หัวใจลงได้
ในขณะที่เขาเจ็บปวด เขาก็โทษเธอด้วย ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกเขา?
ถ้าเขารู้ เขาอาจจะไม่…
ติ๊ด ตึ๊ด-
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง มันกะพริบและสั่นขึ้นมา
แต่ดูเหมือนว่าเจียงโม่หานจะไม่ได้ยินมัน ไม่ว่าจะสั่นแรงแค่ไหน เขาก็ยังคงนิ่งเฉย จมปลักอยู่กับความรู้สึกเสียใจและความเจ็บปวด จนไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เป็นเวลานาน
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า เขายังคงปรับไม่ได้ แต่กริ่งประตูกลับดังขึ้นมา
มันดังอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
คนที่โทรหาเจียงม่หานคือหนานเฉิงแต่เขาไม่รับสาย หนานเฉิงรีบไปที่บริษัท เลขาบอกว่าเขากลับมาที่บ้านพักแล้ว เขาจึงขับรถมาที่นี่
รถของเจียงโม่หานยังคงจอดอยู่ที่หน้าประตู แสดงให้เห็นว่าเขายังอยู่ในบ้านพัก
เขากดกริ่งหน้าประตูอยู่หลายครั้ง
ในใจเริ่มกังวล เพราะกลัวว่าการทำงานทั้งวันทั้งคืนของเจียงโม่หานในช่วงนี้จะทำให้เขาเป็นลมหมดสติอยู่ในบ้านโดยไม่มีใครรู้
เขากดอีกสองครั้ง แต่ก็ยังไม่มีคนตอบรับ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา และในขณะที่เขากำลังจะโทรหาบริษัทไขประตู ประตูก็เปิดออกจากด้านในกะทันหัน
เขาเงยหน้าขึ้น ที่เห็นตรงหน้าคือเจียงโม่หาน จึงรีบถาม “ประธานเจียง คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
เจียงโม่หานถูกเสียงกดกริ่งหน้าประตูติดต่อกัน ทำให้ได้สติจากความซึมเศร้า จากนั้นถึงได้ปรับอารมณ์ของตัวเองเล็กน้อย
“นายมาทำอะไรที่นี่?”
เสียงของเขาแหบและแห้งมาก
หนานเฉิงมองหน้าเขา “คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ ผมเห็นสีหน้าของคุณไม่ค่อยดี”
เจียงโม่หานไม่อยากพูดกับเขามากไปกว่านี้ “ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปซะ”
เขาอยากอยู่คนเดียวสักพัก ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น
หนานเฉิงทำการตรวจสอบเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์จนชัดเจนหมดแล้ว
หลังจากผ่านการคิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว จึงตัดสินใจที่จะบอกเขา
“เรื่องที่คุณขอให้ผมตรวจสอบ ผมตรวจสอบชัดเจนแล้วครับ”
เจียงโม่หานรีบมองกลับมาที่เขาทันที
หนานเฉิงปรับอารมณ์แล้วเริ่มพูด “คนที่เป็นคนขับรถในครั้งนั้นคือเสิ่นเผยซวนจริงๆ ครับ”
เรื่องนี้เจียงโม่หานรู้อยู่แล้ว
เจียงโม่หานรู้ว่าเสิ่นเผยซวนเป็นคนขับรถ แล้วยังรู้ด้วยว่าในรถมีจงเหยียนซีและแม่ของเขานั่งอยู่ข้างในรถด้วย
อุบัติเหตุทางรถยนต์ในครั้งนั้นน่าตกใจมาก รถตกลงไปจากสะพานดิ่งลงในน้ำ แต่กลับรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์
แต่ว่า กลับมีแค่เสิ่นเผยซวนกับจงเหยียนซีที่รอดชีวิต มีเพียงแค่แม่ของเขาซึ่งเป็นแม่บ้านเท่านั้นที่เสียชีวิต
หลังจากเกิดเรื่องจงจิ่งห้าวชดเชยเงินให้จำนวนหนึ่ง
ในตอนนั้นจงจิ่งห้าวต้องการจะชดเชยให้กับครอบครัวของผู้ตาย เพราะอย่างไรก็ตามแม่บ้านก็ประสบอุบัติเหตุขณะทำงานอยู่กับบ้านของเขา ดังนั้นเขาจึงให้ค่าชดเชยจำนวนไม่น้อยเพื่อปลอบโยนครอบครัวของผู้ตาย
ในตอนนั้นเจียงโม่หานยังเด็ก สิ่งที่เขารู้มีไม่มาก เขารู้แค่ว่าแม่ของเขาเสียชีวิตในรถของนายจ้าง นายจ้างทุ่มเงินจำนวนมากให้กับพวกเขาเพื่อลบล้างความผิด
ความคิดนี้ถูกฝังลึกเข้าไปในใจของเขา รวมถึงหลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตได้ไม่นาน เขาได้เห็นจงเหยียนซีอีกครั้ง เธอมีพ่อแม่คอยอยู่เคียงข้าง แล้วเดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยรอยยิ้มที่ไร้
เดียงสา แต่เขากลับสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไป
เมล็ดพันธุ์ของความอยากแก้แค้นได้ปลูกฝังลงในตอนนั้น และพอเวลาผ่านไป เมล็ดพันธุ์นั้นก็หยั่งรากลึกเข้าไปในใจของเขา
พอเขาโตขึ้นเรื่อยๆ ความแค้นที่อยู่ในใจของเขาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เขาวางแผนเข้าใกล้เธอ คบกับเธอ แต่งงานกับเธอ และค่อยๆ เริ่มการแก้แค้นทีละขั้น
หนานเฉิงเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดมาก จึงพูดว่า “คุณไปโรงพยาบาลตรวจดูไหมครับ ฉันดูท่าทางคุณเหมือนไม่สบายแล้ว”
ขาของเจียงโม่หานอ่อนจนยืนไม่คงที่เล็กน้อย เขานั่งลงบนโซฟา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันสบายดี บอกฉันให้หมดว่านายตรวจสอบได้อะไรมาบ้าง”
หนานเฉิงเม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “จากการตรวจสอบของผม ตอนนั้นรถสูญเสียการควบคุมแล้วตกลงไปในแม่น้ำ เพราะรถถูกคนตัดสายเบรกครับ”