กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

ใต้แสงจันทร์เดียวกัน ถานชีเงยหน้ามองพระจันทร์ข้างขึ้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงบทสวดมนต์ดังขึ้นข้างหู เสียงสวดมนต์อันแสนนุ่มนวลดังก้องวนเวียนอยู่ในหัวเขา พระจันทร์ซึ่งเดิมทีถูกเมฆบดบังบาง ๆ ก็ฉายแสงสว่างไสว เขาถือลูกประคำในมือท่องบทสวดมนต์ตามอย่างเงียบเชียบ
“ลูกพี่?” ตำรวจหนุ่มเดินออกมาจากสถานที่ถูกปิดล้อมด้วยสายเทปสีเหลือง เขาเห็นถานชียืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ริมถนน จึงเอ่ยเรียกด้วยความแปลกใจ ตำรวจสูงวัยที่เดินตามหลังมาดึงตำรวจหนุ่มไว้และบอกว่า “เสี่ยวถัง อย่าไปรบกวนเขา”
ตำรวจหนุ่มคนนั้นมีชื่อว่าถังจินผิง เพิ่งเข้ามาอยู่ในทีมได้ครึ่งปี และเป็นน้องเล็กสุดของทีม เขาเป็นพวกบ้าพลังซึ่งทำเอาฉางหมิงซานที่อายุมากสุดในทีมปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย
“อาฉาง ลูกพี่กำลังสวดมนต์อีกแล้วเหรอครับ” ถังจินผิงจ้องมองถานชีด้วยความฉงน ตั้งแต่เขายังไม่เข้ามาอยู่ในหน่วยอาชญากรรมก็เคยได้ยินว่าถานชีมักบังเอิญเจอพวกหลวงจีนอยู่บ่อย ๆ มาตั้งแต่เล็กจนโต ประโยคที่ได้ยินบ่อยสุดก็คือคำว่า ‘ประสกมีวาสนากับอาตมา’ เกือบถูกชวนไปบวชอยู่หลายครั้งหลายครา ทำให้คนสกุลถานป้องกันไม่หวาดไม่ไหว กลัวว่าถานชีจะไปเจอพวกหลวงจีนเป็นที่สุด ถ้าไม่มีความจำเป็นห้ามถานชีเข้าใกล้วัดเด็ดขาด แต่ก็ไม่เสียแรงที่คนสกุลถานพยายามขัดขวางอย่างเข้มงวด เพราะท้ายที่สุดแล้วถานชีก็ยังไม่เคยออกบวชจริง ๆ
“อย่าไปยุ่งเรื่องของผู้กองนักเลย ทำหน้าที่ตัวเองไปก็พอ” ฉางหมิงซานโบกมือปัด ๆ ไล่ถังจินผิงไปด้วยท่าทางเชิงตำหนิ แล้วยืนรออยู่ห่างจากถานชีหลายก้าว
ถานชีรอจนเสียงบทสวดนั่นเงียบหายไปแล้วจึงลืมตาขึ้น นานพักใหญ่แล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์ ในความทรงจำของเขา เขาได้ยินเสียงสวดมนต์ดังขึ้นมาในหัวแทบทุกวัน ตอนที่เขายังเป็นเด็กเขามักคิดเสมอว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนหลังถึงพบว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน จนกระทั่งตอนอายุสิบเจ็ดเขาป่วยหนัก มีอาการสะลึมสะลือไม่ได้สติทั้งวัน ไม่ว่าหลับหรือตื่นล้วนได้ยินเสียงคนนับหมื่นสวดมนต์ดังก้องสะท้อนไปทั่วฟ้าจนเขาไปโรงเรียนไม่ได้ เขาไม่ได้ยินคนพูดคุยกันอย่างปกติ เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ได้แต่นอนขดตัวเอามือปิดหูบนเตียง ในหัวมีเพียงเสียงสวดมนต์ดังก้องทิ่มแทงจนแก้วหูแทบแตก จวบจนคุณปู่ส่งเขาไปอยู่ที่วัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขานานครึ่งปี อาการเหล่านี้ถึงค่อยทุเลาลง ในวัดไร้นามแห่งนั้นมีหลวงจีนหุ่นท้วมเพียงรูปเดียว ใบหน้ายิ้มรื่นทั้งวันดูเหมือนพระสังกัจจายน์ไม่มีผิด และก็เป็นหลวงจีนเพียงรูปเดียวที่ไม่ถามเขาว่าสนใจจะบวชหรือไม่
หลังจากนั้นเขาก็แทบไม่ได้ยินเสียงบทสวดมนต์ภาษาสันสกฤตอีก มีเพียงในยามกลางคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟ้าโดยปราศจากเมฆทึบมาบดบัง หรือบางครั้งที่ไปในอยู่ในสถานที่ที่มีไอหยิน[1]มากเกินไปถึงได้ยินเสียงแว่วอยู่ไกลลิบ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของเขาแล้ว
ถานชีมองพระจันทร์บนฟ้า วันนี้เป็นวันพระจันทร์ข้างขึ้น จากนั้นก็หันไปมองตึกที่เพิ่งถูกปิดตายเมื่อครู่อีกครั้ง จะบอกว่าเป็นเพราะอาคารหลังนี้มีไอหยินเยอะมากก็ไม่น่าจะใช่ เขาเคยไปในสถานที่ที่มีไอหยินเข้มข้นมาก่อน อาคารหลังนี้ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อกับทางเข้าออกของสถานีรถโดยสาร มีผู้คนพลุกพล่าน ต่อให้มีไอหยินหนักมากก็ต้องกระจัดกระจายไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่อาคารหลังนี้กลับทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ชอบกล เหมือนมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ภายใน
“ดูเหมือนว่าก่อนจะสร้างเป็นห้างสรรพสินค้า ที่นี่ถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้วใช่ไหม” ถานชีหันไปถามฉางหมิงซาน ซึ่งเป็นตำรวจที่อยู่ย่านนี้มานานสุด เขาเลื่อนขั้นขึ้นมาจากการเป็นตำรวจหน่วยลาดตระเวน
“ใช่ ตึกนี่เพิ่งสร้างเมื่อห้าปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้เป็นที่ดินถูกปล่อยว่างมายี่สิบกว่าปี”
ฉางหมิงซานอาศัยอยู่ในเขตนี้มาตั้งแต่เด็ก เห็นทุกการเปลี่ยนแปลงของที่นี่จากความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ความตกต่ำ แล้วกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ที่นี่มีตึกอะไรสร้างใหม่หรือมีร้านไหนมาเปิดใหม่บ้างเขาล้วนรู้ดี
“ทำเลดีขนาดนี้ทำไมถึงถูกทิ้งร้างมานาน เป็นเพราะที่ดินมีข้อพิพาทหรือเปล่าครับ” ถานชียกมือสั่งให้คนในทีมแยกย้ายกันกลับ จากนั้นก็กลับสถานีตำรวจพร้อมกับฉางหมิงซาน
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น…” ฉางหมิงซานลูบผมสีดอกเลาเป็นหย่อม ๆ พลางกระซิบว่า “ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่นี่เปลี่ยนเจ้าของไปสามสี่ราย จะสร้างตึกก็สร้างไม่เสร็จ ถ้าไม่เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุคนงานเสียชีวิตก็พื้นถล่ม หลังจากเจ้าของคนปัจจุบันครอบครองที่ดินผืนนี้มาเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาก็เชิญไต้ซือหลายรูปมาดูที่ ตอนหลังก็ไปเชิญหลวงจีนมาสวดมนต์เป็นหมู่คณะ นานสามปีถึงสร้างห้างนี้สำเร็จ”
ถานชีขมวดคิ้ว “แล้วอารู้หรือเปล่าว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่ดินผืนนี้ใช้ทำอะไร”
ฉางหมิงซานเล่าถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น “มันเป็นห้องแถวเตี้ย ๆ มีร้านค้าไม่กี่ร้าน และก็มีศาลเจ้าด้วย ตอนนั้นได้ข่าวว่าจะมีการจัดสรรที่ดินใหม่ด้วยนะ แต่ต่อมาก็เกิดไฟไหม้ไปหนหนึ่ง ห้องแถวถูกไฟเผาวอด มีผู้เสียชีวิตไปเจ็ดแปดราย แถมยังมีข่าวลือว่าบริษัทก่อสร้างเป็นผู้วางเพลิงด้วย”
“เคยมีการสืบสวนคดีหรือเปล่าครับ” ถานชีถาม
ฉางหมิงซานพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนั้นฉันเพิ่งจบจากโรงเรียนตำรวจ มันเป็นคดีใหญ่พอสมควร แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร และไม่ได้มีการจัดสรรที่ดินใหม่ เลยถูกปล่อยว่างไว้แบบนั้น”
ฉางหมิงซานพูดจบก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ เขากับถานชีเลี้ยวเข้าซอยมาพอดี กวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าไม่มีคน จึงค่อยพูดว่า “แต่ที่ดินแถวนี้มีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากไฟไหม้คราวนั้นด้วย”
ฉางหมิงซานหวนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กและเล่าต่อว่า “ตอนเด็กฉันอาศัยอยู่ที่นี่ ก่อนจะกลายเป็นห้องแถว ตรงนั้นเป็นวัดพุทธที่ใหญ่มาก ได้ยินว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปีสามารถขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานได้เลย แต่ขาดการบูรณะซ่อมแซมมานาน มีหลวงจีนเแก่ ๆ คอยปัดกวาดอยู่แค่รูปเดียว ตอนหลังชาวบ้านแถวนั้นไม่เห็นหลวงจีนเฒ่ามาร่วมครึ่งเดือนจึงเข้าไปดูในวัด ถึงพบว่าหลวงจีนเฒ่ามรณภาพมาหลายวันแล้ว ในวัดถูกขุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ สมัยนั้นมีเรื่องเล่าลือกันว่ามีสมบัติล้ำค่าฝังอยู่ใต้ดิน หลวงจีนเฒ่าเป็นไต้ซือเฝ้าสมบัติ ผ่านไปหลายวันไม่รู้ว่าที่ดินผืนนั้นตกไปอยู่ในกำมือใคร ถึงได้มีคนงานเข้ามารื้อถอนวัดแล้วสร้างเป็นบ้านห้องแถวทรงเตี้ย มีทั้งแบบให้เช่าและขาย บ้างก็เปิดเป็นร้านขายของ และยังมีศาลเจ้าสร้างคร่อมอยู่บนหลุมใหญ่นั่น ขนาดอัญเชิญพระธรรมาจารย์ซานชิง[2]มา แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้คราวนั้น ทุกอย่างถูกเผาวอด แต่นักพรตเต๋าหลายคนที่อยู่ในนั้นต่างหนีรอดออกมาได้”
ถานชีคิดทบทวนสักพัก แล้วพูดขณะเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ “ผมจำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อน ที่ห้างนั่นก็เคยมีพนักงานทำความสะอาดเสียชีวิตไปรายหนึ่งด้วยนี่”
ฉางหมิงซานพยักหน้า ก่อนหันมามองเขาแล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นถูกตัดสินว่าเป็นอุบัติเหตุ นายรู้สึกว่า… มีปัญหางั้นเหรอ”
ถานชีนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็สั่นหัวแล้วบอกว่า “ไว้ค่อยว่ากัน ถ้ามีปัญหาจริงก็ไม่ได้อยู่ในความดูแลของเรา”
ฉางหมิงซานคิด ๆ ดูก็เป็นอย่างนั้นจริง เขาเดินเข้าห้องทำงานกับถานชีไปเงียบ ๆ ถังจินผิงวิ่งไล่ตามมาข้างหลัง “ลูกพี่ ผมเพิ่งพาตัวผู้ต้องสงสัยกลับมา จะสอบปากคำก่อนไหมครับ”
ถานชียังไม่ทันตอบ ถังจินผิงก็รีบพูดต่อ “บนตัวผู้ต้องสงสัยมีคราบเลือด มีหลายคนเห็นเขาวิ่งออกไปทางบันไดหนีไฟ อาวุธของกลางยังอยู่ในสถานที่เกิดเหตุอยู่เลย แถมมีพยานด้วย คิดว่าน่าจะเป็นคดีฆาตกรรมโดยมีสาเหตุมาจากเรื่องชู้สาวครับ”
ฉางหมิงซานกลอกตาขาว ก่อนง้างมือเขกหัวถังจินผิง “สอบปากคำก่อนค่อยว่ากัน!”
ถังจินผิงหดคอวูบ เอามือลูบศีรษะพลางวิ่งไปเตรียมสอบปากคำ ฉางหมิงซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พลางบ่นราวกับบ่นลูกชาย “สะเพร่าจริง ๆ เมื่อไรจะหัดทำตัวสุขุมหนักแน่นอย่างคนอื่นเขาบ้าง”
“เขายังเด็กอยู่น่าอา ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก” ถานชียิ้มพลางตบบ่าฉางหมิงซาน จากนั้นก็ชงชาให้ฉางหมิงซานหนึ่งแก้ว ก่อนจะยกแก้วของตนเดินไปทางห้องสอบสวน
“…นายอายุมากกว่าเขาแค่สามปีเองนะ…” ฉางหมิงซานมองถานชีที่ทำตัวสุขุมรอบคอบอยู่เสมออย่างจนใจ ตั้งแต่ถานชีถูกส่วนกลางส่งมารับตำแหน่งผู้กองที่สถานีของพวกเขา ก็ดูเหมือนจะเป็นคนเช่นนี้มาตลอด เวลาผ่านไปสองปี ต่อให้เป็นคนที่ไม่พอใจเขาก็ยังต้องยอมรับนับถือในตัวเขาจนได้ ขนาดผู้มากประสบการณ์อย่างฉางหมิงซานที่อยู่มาป่านนี้แล้วก็ยังยอมให้กับถานชี
ฉางหมิงซานดื่มชาร้อนเข้าไปอึกหนึ่งก่อนพรูลมหายใจออกมา เขานึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของถานชี อดไม่ได้ที่จะหย่อนกายนั่งลงอีกครั้ง แล้วเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับที่ดินผืนนั้น ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ที่ดินผืนนั้นถูกใช้เป็นที่ทดสอบความกล้าของเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น แต่พวกผู้ปกครองส่วนใหญ่ต่างออกคำสั่งห้ามพวกเด็ก ๆ เข้าไปเด็ดขาด แต่ตกกลางคืนพวกเขาก็ยังแอบลอบเข้าไปแข่งขันกันว่าใครจะมีความกล้ามากกว่ากัน จนกระทั่งเกิดเหตุเด็กหายตัวไปหนึ่งคน เด็กคนอื่น ๆ จึงยุติเลิกเล่นเกมทดสอบความกล้าแบบนี้
ฉางหมิงซานคิดถึงคู่หูในวัยเด็กที่อาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน และก็เพราะคดีเด็กหายตัวไปคราวนั้น เขาถึงได้ตัดสินใจมาเป็นตำรวจ
ฉางหมิงซานหยิบแฟ้มออกมา มองดูใบหน้าดวงน้อยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจแน่นตื้อเหมือนอย่างเคย ตอนนั้นเขาทำอะไรไม่ได้ ถึงจะเป็นตำรวจลาดตระเวนแล้วก็ยังตรวจสอบไม่เจอ พอเลื่อนตำแหน่งมาเป็นตำรวจอาชญากรรมก็ไม่มีเวลาไปตามสืบ อีกไม่กี่ปีเขาก็จะเกษียณแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องคลี่คลายคดีที่ติดค้างในใจนี้ให้สำเร็จก่อนเกษียณให้จงได้
ฉางหมิงซานสั่งพิมพ์ไฟล์ชุดนั้นออกมา ในเมื่อถานชีคิดว่าถ้าตึกนั้นมีปัญหา ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเพื่อนเขา หรือพูดอีกอย่างก็คืออาจเกี่ยวข้องกับเรื่องราวแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในที่ดินผืนนั้นทั้งหมดก็เป็นได้
หลังจากฉางหมิงซานติดตามถานชีมาจนถึงตอนนี้ ก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ดูลักษณะแล้วไม่น่ามาอยู่ในทีมของพวกเขา แต่ควรไปอยู่กับทีมสิบที่เล่าลือกันในกรมตำรวจมากกว่า เขาก็เคยลองถามหยั่งเชิงมาแล้วสองสามครั้ง แต่ถานชีก็แค่ยิ้ม ๆ ไม่ตอบอะไร พอนานวันเข้าเขาก็ค้นพบว่าถานชีไม่ได้หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่สนใจที่จะเข้าใกล้มันต่างหาก หลังจากที่เขาเข้าใจในการกระทำของถานชี ก็ไม่เคยเอ่ยถึงมันอีก
แต่ฉางหมิงซานคิดว่าถ้าเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องกันจริง ๆ และอยู่ในเขตความดูแลของพวกเขา ถานชีไม่มีทางนิ่งดูดายไม่สนใจอยู่แล้ว บางทีเขาอาจหาเด็กคนนั้นเจอก่อนเกษียณก็เป็นได้
ฉางหมิงซานถอนหายใจ แล้วเอาเอกสารที่พิมพ์ออกมาชุดนั้นเก็บใส่แฟ้มอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็ใส่เข้าลิ้นชัก พลางคิดว่าไว้ให้จบคดีนี้ค่อยเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ทีหลังก็แล้วกัน
เขาเก็บแฟ้มเสร็จเรียบร้อยก็ลุกขึ้นเดินไปทางห้องสอบสวน อย่างน้อยต้องสะสางคดีนี้ให้ได้เสียก่อน

กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ

กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ

กลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพ
Score 8.2
Status: Ongoing
อ่านกลิ่นกฤษณาสื่อรักข้ามภพเรื่องย่อ กลิ่นหอมอ่อนของกฤษณา ยวนเย้ามาจากอดีต… เมื่อนายตำรวจหนุ่ม “ถานชี” ปรากฏตัวในห้องสอบสวนคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นก็ทำให้ “ซูฉางเล่อ” ตระหนักได้ทันใด ว่านี่แหละคือเหตุผลที่เขายังคงอยู่บนโลกมนุษย์

Comment

Options

not work with dark mode
Reset