[SC] บทที่ 1 ฉันไม่ใช่คนขี้แพ้
ที่ภูเขาซงนาน ยอดมงกุฎของเหล่าภูผา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมายเลข 1 แห่งแดนสวรรค์
มีคนกล่าวว่าผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนหลบซ่อนอยู่ในภูเขาแห่งนี้
บริเวณเชิงเขาห่างจากจุดชมวิวไม่ไกลนัก ชายที่มีหนวดเครากำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของหลุมศพไร้นามแห่งหนึ่ง
ถ้าเกิดมีใครสักคนที่มีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยมาเห็นเข้า เชื่อเลยว่าเขาคนนั้นจะต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอนที่ได้เห็นฮวงจุ้ยของสุสานแห่งนี้
คนบ้าแบบไหนกันที่เลือกที่แบบนี้เป็นสุสานกันนะ?
“ปู่ หลานมาเยี่ยมแล้ว” ชายคนนั้นพูดก่อนจะโค้งคำนับด้วยความเคารพไปที่หลุมศพไร้นามแห่งนั้น
ชื่อของเขาคือซิงเฉิง ตอนนี้อายุได้ 26 ปี สูง 180 เซนติเมตร มีลักษณะท่าทางและหน้าตาที่ดูหล่อเหลา
หลังจากทำความเคารพเสร็จ ชายหนุ่มก็เท ‘ซวีเฟิง 375’ (เหล้าจีน) ลงไปที่เบื้องหน้าหลุมศพของปู่ ที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะว่าตาแก่ของเขาชอบดื่มเหล้าเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนแกต้องดื่นอย่างน้อย 1 ขวดทุกวัน
เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่ซิงเฉิงต้องออกไปจากดินแดนโบราณของราชวงศ์ที่ 13 แห่งนี้ ตอนนี้เขาก็มีโอกาสได้กลับมาอีกจนได้
เมื่อ 2 ปีก่อน ซิงเฉิงพึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นปู่ของเขาก็ได้จากไปด้วยวัย 81 ปี ซึ่งระหว่างนั้นเขาก็ไม่ได้ไปเยี่ยมปู่เลยแม้แต่น้อย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นปู่ของซิงเฉิงเคยบอกไว้ว่าถ้ายังไม่ครบ 2 ห้ามกลับมา
นี่จึงทำให้ซิงเฉิงจำใจต้องทำตามคำสั่งปู่ เขาตัดสินใจเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ ได้พบเห็นเหตุการณ์มากมาย เสี่ยงตายก็หลายครั้ง และในที่สุด วันนี้ก็มาถึง
“ปู่ พรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ ไว้ตรุษจีนจะกลับมาเยี่ยมใหม่ รักษาตัวด้วยนะครับ” ซิงเฉิงพูดขณะที่กำลังทำความสะอาดหลุมศพ
อันที่จริงเขายังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะถามปู่ของเขา แต่ตอนนี้ปู่ก็ตายไปแล้ว เพราะงั้นคำถามที่ว่าก็คงจะไม่มีวันได้รับคำตอบ…
แต่ก่อน ซิงเฉิงจำความได้ว่าเขาไม่ใช่คนเมืองซีอาน ปู่เป็นคนพาเขามาอยู่ที่นี่ตอน 4 ขวบ ส่วนเรื่องที่ว่าเขามาจากไหน พ่อและแม่เป็นใครนั้น เรื่องพวกนี้ชายหนุ่มไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
ตอนเด็ก ๆ ซิงเฉิงเคยถามเรื่องพวกนี้ แต่ปู่ของเขาก็บอกปัด และพูดเพียงแค่ว่าพอถึงเวลาแล้วก็จะรู้เอง
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ซิงเฉิงก็ตัดสินใจบอกลาหลุมศพของปู่ก่อนจะเดินจากไป
ถึงแม้ว่าเขาพึ่งจะมาที่เมืองแห่งนี้ไม่นาน แต่ตัวซิงเฉิงก็คิดว่าพรุ่งนี้เขาคงต้องออกเดินทางต่อแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น… เขาต้องไปหาใครบางคนเสียก่อน
หลังจากซิงเฉิงคล้อยหลังไปไม่นาน ชายลึกลับสองคนที่แอบมองอยู่ในป่าก็ค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อนอย่างช้า ๆ
“หัวหน้า ไม่ไปพบเขาจะดีเหรอครับ?” ชายร่างสูงที่สายตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร พูดกับชายวัยกลางคนข้างกายด้วยความเคารพ
ชายวัยกลางคนที่สวมรองเท้าลินินก้มตัวลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยและเส้นผมที่เริ่มแซมขาวนิด ๆ และแม้ว่าจะเขาจะยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม หากแต่บรรยากาศรอบตัวของชายวันกลางคนผู้นั้นกลับทำให้คนรอบข้างรู้สึกข้างหวาดกลัว เขาเหลือบตามองไปในทิศทางทางที่ซิงเฉิงจากไป ก่อนจะหันกลับไปมองที่หลุมศพข้าง ๆ
“ปล่อยให้เขาไปเถอะ ฉันละอยากจะรู้จริง ๆ ว่าชายคนนั้นสร้างสัตว์ประหลาดแบบไหนออกมา” ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะ
ใช้เวลาราว ๆ 20 นาทีตั้งแต่เดินลงจากตีนเขามาถึงถนน แต่ก่อนที่ซิงเฉิงจะได้ออกไปจากเขา ชายหนุ่มก็โดนคนแปลกหน้า 3 คนขวางเอาไว้
“ไอ้หนุ่ม มอบสิ่งนั้นมาให้พวกข้าซะ ! แล้วเราจะปล่อยแกไป” ชายที่คาดว่าน่าจะเห็นหัวโจกของกลุ่มพูดพร้อมกับโยนมีดในมือไปมา
“จากเสฉวนถึงซินเจียง จากซินเจียงถึงชิงไห่ จากชิงไห่ถึงซีอาน นี่พวกแกไม่เหนื่อยเลยรึไง?” ซิงเฉิงหัวเราะออกมา เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอ หากแต่ไม่ว่าเขาจะไปไหน เจ้าพวกนี้มันก็ตามมาตลอด
“อย่ามาเล่นลิ้น แกรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
ซิงเฉิงถอนหายใจ “ก็บอกไปตั้งกี่รอบแล้ว ว่าฉันไม่ได้เอาอะไรมาจากตระกูลซ่ง ทำไมไม่เชื่อกัน? นี่พวกแกเคยเชื่อใจคนอื่นมั่งไหมเนี่ย? “
“ดูท่าคงคุยไม่รู้เรื่องสินะ!” ชายที่เป็นหัวโจกคนนั้นพูดอย่างเกรี้ยวกราด
ซิงเฉิงรู้สึกเบื่อที่จะพูดต่อแล้ว เขาเลยคิดที่จะตัดบท “งั้นก็เข้ามาเลย ถ้ามั่นใจมากนักละก็”
ว่าแล้วทั้งสามก็พุ่งเข้าหาซิงเฉิงในทันที
“คิดว่าฉันคนนี้อ่อนแอมากสินะ?” มุมปากของซิงเฉิงยกขึ้นเล็กน้อย ถ้าไม่เพราะปู่ของเขาเคยเตือนไว้ ป่านี้ซิงเฉิงคงจะจัดการพวกคนที่ตามราวีเขาไปนานแล้ว
แล้วตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนได้รับการปลดปล่อย เพราะฉะนั้นตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยั้งมืออีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าคนเราโดนดูถูกมากเข้า คนอื่น ๆ ก็จะพาลคิดเอาได้ว่าคนคนนั้นเป็นพวกคนขี้แพ้
เมื่อหนึ่งใน 3 คนนั้นเข้ามาถึงเบื้องหน้าของชายหนุ่ม ซิงเฉิงก็เตะเข้าไปที่ข้อมือของฝ่ายตรงข้ามอย่างแม่นยำ ก่อนจะแย่งมีดในมือของชายคนนั้นมา และแทงเข้าไปที่ต้นขาของคู่ต่อสู้ในทันที
อีกสองคนที่เหลือเข้ามาถึงตัวของซิงเฉิงแล้ว เขาตัดสินใจหลบการโจมตีต่อเนื่องอย่างใจเย็น พร้อม ๆ ไปกับการหาจังหวะสวนกลับ
“ผัวะ!” ซิงเฉิงต่อยสวนกลับไปที่อกซ้ายของอีกฝ่าย หมัดนั่นแรงเสียจนทำให้กระดูกซี่โครงของชายคนนั้นหักไป 2 ซี่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปลี่ยนเป้าหมายด้วยการกระโดดแทงเข่าใส่ชายอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่คนทางขวาล้มลงไป ก็ราวกับว่าซิงเฉินมีตาหลัง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างด้านหลัง ตัวเขาตัดสินใจหมุนหลบ ก่อนจะหันกลับไปคว้าข้อมือของชายอีกคนที่กำลังจะใช้มีดเข้ามาทำร้าย
ซิงเฉิงแย่งมีดออกมา ก่อนจะใช้มันแทงสวนกลับเข้าไปที่ไหล่ซ้าย และปิดท้ายการโจมตีด้วยการส่งหมัดเข้าไปที่แก้มขวาจนอีกฝ่ายสลบไปในทันที ซึ่งตัวซิงเฉิงเอง เขาไม่ได้ตัดสินใจหยุดเพียงแค่นี้ ชายหนุ่มดึงมีดออกมาแล้วแทงเข้าไปที่ไหล่อีกข้างหนึ่งด้วยเช่นกัน
การปะทะจบลงอย่างง่ายดาย ผลก็คือซิงเฉิงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ส่วนคู่ต่อสู้ทั้ง 3 ของเขา ก็ได้แต่นอนหมดสภาพอยู่กับพื้น
เห็นแบบนี้แล้วจะยังมีคนคิดว่าเขาเป็นคนขี้แพ้อยู่ไหม ?
“นี่ เอาโทรศัพท์มาให้ยืมหน่อย” ซิงเฉิงพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ทั้ง 3 คนที่บาดเจ็บหนัก จ้องมองไปทางซิงเฉิงด้วยความไม่เข้าใจ พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าซิงเฉิงจะทำอะไรแบบนี้
‘ไหนใครบอกว่าไอ้หมอนี้มันเป็นพวกขี้แพ้ไง!?’
“ไม่หรอ? งั้นฉันเข้าไปหยิบเองก็ได้” ว่าแล้วซิงเฉิงก็เข้าหยิบโทรศัพท์ของทั้ง 3 คนในทันที
เมื่อเห็นโทรศัพท์ทั้ง 3 เครื่อง ชายหนุ่มก็อดบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ “ให้ตายเถอะฉันยังใช้โนเกียอยู่เลย พวกแกเล่นใช้ไอโฟน 6 เลยเหรอ รวยใช้ได้เลยนี่น่า”
จากนั้นซิงเฉิงก็โยนโทรศัพท์ของทั้งสามเครื่องลงพื้น ก่อนที่จะกระทืบพวกมันจนแหลกละเอียด แล้วพูดคนทั้ง 3 ว่า “โว้ว ๆ เผลอหลุดมือซะได้ ฉันนี้มันไม่ไหวเลยจริง ๆ “
ทั้ง 3 ได้แต่รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นซากของโทรศัพท์ทั้ง 3 เครื่อง ตอนนี้พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากการเสียเลือดมาก แถมพื้นที่ภูเขาแบบนี้ คงไม่มีใครบังเอิญผ่านมาง่าย ๆ พอมาเสียโทรศัพท์ไปแบบนี้อีก แล้วงี้ใครจะช่วยพวกเขาได้กัน?
ซิงเฉิงเดินจากไป ทิ้งทั้ง 3 เอาไว้ โดยที่พวกเขาทั้ง 3 นั้นก็ได้แต่พูดด่าว่าสรรเสริญบรรพชนทั้ง 18 รุ่นของซิงเฉิง
หลังออกมาจากภูเขาซงนานแล้ว ซิงเฉิงก็จัดการโกนหนวด โกนเครา ก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า รู้ตัวอีกที ตอนนี้ก็คล้อยบ่ายเสียแล้ว
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เลือกที่จะเดินไปตามท้องถนนเล็ก ๆ ในเมืองทางตอนใต้ ที่เขามาที่ก็เพราะว่า แถวนี้คือบ้านที่ที่พ่อแม่บุญธรรมของเขาอาศัยอยู่ ตัวเขานั้นอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยประถม
พ่อแม่บุญธรรมของเขาปฏิบัติกับซิงเฉิงไม่ต่างไปจากพ่อและแม่แท้ ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะปู่บอกไว้ละก็ ชายหนุ่มก็คงคิดว่าทั้งสองเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ของเขาไปแล้ว
“เฉิงเอ้อกลับมาแล้วหรอ หายไปไหนมาตั้ง 2 ปี ไปอยู่ไหนมาหื๊ม ? พวกเราคิดว่าเธอตายไปแล้วซะอีก” ทันทีที่ซิงเฉิงมาถึง หญิงวัยกลางคนก็พูดพร้อมกับเข้ามาสวมกอดเขาด้วยความคิดถึงในทันที
ซิงเฉิงเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก เพราะเขารู้ดีว่าคนตรงหน้าปฏิบัติต่อเขาราวกับลูก เพราะฉะนั้นซิงเฉิงก็เลยปล่อยให้เธอทำตามใจสักพัก
ผ่านไปนานกว่าหญิงวัยกลางคนจะสงบลง เธอได้จะชักชวนให้ซิงเฉิงมานั่งกินข้าวด้วยกัน เพราะตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าซิงเฉิงจะกลับมา หญิงวัยกลางคนก็ได้เตรียมอาหารมื้อใหญ่ให้กับเขาแล้ว
“คุณป้ายังเหมือนเดิมเลยนะครับ สบายดีไหม? แล้วคุณลุงละครับ อยู่ไหน?” ซิงเฉิงถามอย่างสุภาพ
เขารู้ดีว่าช่วงเวลา 2 ปีที่หายไปนั้น สภาพของครอบครัวนี้ไม่ดีอย่างมาก คุณลุงของเขาถูกใส่ร้ายแล้วโดนสั่งจำคุก ส่วนบริษัทก็โดนเทคโอเวอร์ กว่าจะรู้ตัว ซิงเฉิงก็เกือบที่จะสูญเสียครอบครัวนี้ไปแล้ว
“เฉิงเอ้อ ชีวิตของลุงหลินน่ะเต็มไปด้วยปัญหามากมาย …” เมื่อพูดถึงตรงนี้ คุณป้าหวางลี่ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ซิงเฉิงรู้สึกผิดเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ก็ทั้งสองคนก็ดูแลเขามาเป็นเวลานาน ในฐานะครอบครัวแล้ว เขาก็เป็นเหมือนกับลูกชายคนเดียวในบ้านหลังนี้…
“คุณป้าคิดซะว่ามันเป็นเรื่องของดวงก็ได้นะครับ คุณปู่เคยพูดเอาไว้ว่า ชีวิตในวัยกลางคนของลุงหวัง เขาจะต้องจัดการด้วยตัวเอง แต่ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังไงความหวังก็ย่อมมีเสมอ” ซิงเฉิงปลอบป้าหวาง
“ลุงหวังยังสบายดี เขารู้เรื่องนี้แล้ว …” หวางลี่ส่ายหัวไปมาจนน้ำตาของเธอกระเด็นไปทั่ว
ซิงเฉิงพูดต่อ “อีกอย่างผมไม่ได้กลับมาเฉย ๆ ตอนนี้ผมหาทางช่วยคุณลุงได้แล้ว”
“เฉิงเอ้อ ครั้งนี้เธอช่วยไม่ได้หรอก ถ้าเธอมาเกี่ยวข้อง เธอจะทำร้ายตัวเองเอานะ ขอแค่เธอและซินซินยังสบายดี ป้าก็ดีใจแล้วล่ะ” หวางลี่ไม่ได้ถือคำพูดของซิงเฉิงเป็นจริงจัง เธอมองว่าซิงเฉิงเป็นแค่เด็กธรรมดา แถมปัญหาที่ลุงหลินมีก็ใช่จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วแบบนี้ซิงเฉิงจะช่วยได้ยังไง
“โอเคครับคุณป้า แล้วซินซิน ตอนนี้เธอไปเรียนที่ไหนหรอครับ?” ซิงเฉิงแสดงความกังวลออกมา ซินซินเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของลุงหลินและป้าหวาง เธออายุอ่อนกว่าเขาแค่ไม่กี่ปี สำหรับซิงเฉิงแล้ว เขารักเธอเหมือนกับน้องสาว
“เธอเรียนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้” ป้าหวังไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
ซิงเฉิงพูดอย่างมีความสุข “เซี่ยงไฮ้….งั้นก็ดีเลย ผมจะไปวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องหลังจากนี้เองครับ “
“แต่เธอเพิ่งจะกลับมาเองนะ?” ป้าหวางตกใจมากเมื่อได้ยิน
…..
ระหว่างมื้อค่ำซิงเฉิงอยู่กินข้าวพร้อมกับป้าหวาง รสมือของคุณป้ายังคงเหมือนเมื่อก่อน เมื่อเขากินขนมปังพริก ดวงตาของซิงเฉิงก็แดงก่ำ เขามีเพียงแค่ปู่ และไม่มีพ่อแม่ ใครต่อใครต่างก็ล้อว่าชายหนุ่มเป็นเด็กกำพร้า สำหรับที่นี่เขากลับรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลับมีครอบครัวอีกครั้ง
ปู่ของเขาเคยพูดไว้ว่า เรื่องความรู้สึกพวกนี้ไม่ควรพูดออกไป แค่เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว สำหรับซิงเฉิงแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไม่พูดออกไป และเขาก็ตั้งมั่นเอาไว้ว่าถ้าใครเข้ามายุ่งกับ ‘ครอบครัว’ ของเขาแล้วละก็ เขาจะจัดการมันเอง!
หลังมื้อค่ำ ซิงเฉิงก็เดินออกจากบ้าน เพื่อมุ่งหน้าไปยังลานบาร์บิคิวทางเหนือของถนนหยางต๋า
ที่นั่นมีร้านอาหารชื่อว่า ‘บาร์บิคิวไผ่ฉู่หนาน’ นี่ร้านแห่งนี้นั้นขึ้นชื่อในแถบนี้เป็นอย่างมาก ในอดีตตอนที่เขากลับมาที่นี่ทุกครั้ง ตัวซิงเฉิงเองก็มักมาแวะกินที่ร้านนี้กับเพื่อนฝูงอยู่บ่อย ๆ
ซิงเฉิงมาถึงที่ร้านก่อน จากนั้นเขาก็โทรเรียกเพื่อนสนิททั้ง 4 คนของให้ตามมา พวกเขาทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของซิงเฉิง แต่ก็มีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่ว่างพอจะมาตามนัดได้ ซึ่งตัวเขาเองก็เข้าใจ และไม่ได้บ่นอะไร
นั่นก็เป็นเพราะชายหนุ่มรู้ดีว่า ชีวิตของคนเรานั้นไม่มีอะไรที่จะเหมือนเดิม
“เพื่อนรักซิงเฉิงให้ตายเถอะ! เราคิดกันตั้งนานว่านายหายหัวไปไหนมา 2 ปี ไม่คิดจะติดตงติดต่อมาบ้างเลยนะ?” เพื่อนทั้ง 2 ของเขามาถึงเวลาเดียวกัน โดยต้นเสียงของคนที่พูดก็คือ เหม็งโจว ชายที่หนุ่มรูปหล่อ
“ตอนที่โทรมาก็นึกว่าอำกันเล่น ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายกลับมาจริง ๆ” ฮาวเหล่ย เพื่อนคนที่สองของเขาสบถออกมา ชายผอมและสูงมาก นั่นก็เพราะเขาเป็นทหารมาก่อน แต่ว่าตอนนี้ปลดประจำการแล้ว
” มา ๆ นั่งก่อน ๆ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเพื่อน” ซิงเฉิงยิ้ม พร้อมกับเข้าไปสวมกอดเพื่อนรักทั้ง 2 ของเขา
เมื่อทั้ง 3 นั่งลง ฮาวเหล่ยก็ตะโกนออกมาว่า “น้อง ๆ 3 ลัง 9 ดีกรีนะ ส่วนเมนูก็เอา เนื้อ 20 หยวน ไต 20 หยวน เค้กงาดำ 3 ชิ้น ไข่ปิ้ง 1 จาน บลาๆ…”
“คืนนี้ไม่เมาไม่กลับว้อยยยย!” เหม็งโจวพูดขึ้นมาอย่างมีความสุข
ในโลกของนักดื่มนั้น ต้องเป็นคนสำคัญมาดื่มด้วยเท่านั้น คุณถึงจะสามารถเพลิดเพลินไปกับมันได้ ถ้าไม่งั้นก็ถือว่าเป็นการเสียเวลาไปเปล่า ๆ
ดังนั้นซิงเฉิงจึงร่าเริงสุดขีด “ไอ้กร๊วก! มา ๆ ไม่เมาไม่กลับเว๊ย!”
ทั้ง 3 ชนแก้วกัน ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มขึ้น
“2 ปีนี้เป็นยังไงบ้าง?” ซิงเฉิงถาม
“พึ่งปลดประจำการมา เลยยังไม่ได้หางานทำ เพื่อนเหม็งก็หมั่นแล้ว เห็นว่าจัดงานปีหน้า อย่าลืมไปงานแต่งมันด้วยนะ!” ฮาวเหล่ยหัวเราะ
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ?” ซิงเฉิงถามต่อ
เหม็งโจวถอนหายใจก่อนจะพูดต่อว่า “เพื่อนซวี่ กับเพื่อนหวู่หยอง พวกเขาไม่ค่อยติดต่อกันมาสักพักแล้ว นายก็น่าจะลองโทรไปแล้วไม่ใช่หรอ ? พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว ฉันว่านายคงรู้ว่านั่นหมายถึงอะไร…”
ซิงเฉิงถอนหายใจ “เห้ออออ งั้นก็ช่างมันเถอะ ดื่ม!”
“เอาเลย ๆๆ ดื่ม ๆ!”
นี่พึ่งจะต้นเดือนตุลาคม เพราะงั้นอากาศในตอนนี้ก็เลยยังร้อนอยู่ ร้านบาร์บีคิวที่เต็มไปด้วยความคึกคัก มีทั้งคนมากินข้าว มาดื่มเหล้า หัวเราะ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มันเป็นสถานที่ ๆ คุ้นเคย และความรู้สึกที่คุ้นชิน
ซิงเฉิงรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเขาในตอนนี้มันวิเศษมาก
“เพื่อนซิง แล้ว 2 ปีนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ? เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“เอาไว้ว่ากันที่หลัง แต่ช่วงนี้ก็สบายดี”
“ไอ้เวรเอ๊ย แล้วเรื่องหลังจากนี้จะเอายังไงล่ะ?”
“พอดื่มกับพวกเองเสร็จ ฉันว่าจะขึ้นรถไฟตอนตี 1 ไปเซี่ยงไฮ้ต่อเลย ว่าจะไปหาอะไรทำที่นั่นแหละ…” ซิงเฉิงอธิบาย ชายหนุ่มไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังเรื่องพวกนี้
“เซี่ยงไฮ้? ซู๋ซินก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้นี่นะ”
“เพื่อนเหม็งอย่า!” เมื่อได้ยินฮาวเหล่ยก็รีบอุดปากเพื่อนเขาทันที เหม็งโจวเอง เขาก็เหมือนจะพึ่งรู้ตัวเลยชะงักไป
ซิงเฉิงส่ายหัว “ช่างเถอะ ไม่เป็นไร เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว”
“ดื่ม ๆ หยุดพล่ามอะไรไร้สาระได้แล้วน่า!” ก่อนที่จะดื่มเบียร์ไป 3 ลัง
พอจวนจะถึงเวลาที่ซิงเฉิงต้องไปขึ้นรถไฟแล้ว เพื่อนทั้งสองคนก็พากันบอกลา พวกเขาแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองอีกครั้ง ส่วนซิงเฉิงก็ขึ้นแท็กซี่ไปยังสถานี โดยไม่มีสัมภาระอะไรติดตัว
สายตาของซิงเฉิงมองออกไปที่ทิวทัศน์ภายนอกรถไฟไป เขามองไปที่กำแพงซึ่งมีร่องรอยด่างดำที่บอกเล่าถึงกาลเวลาที่ผ่านไป เขามองเห็นชื่อของถนนที่เปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนตัวเมืองก็ราวกับเป็นชายชราที่คอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยอย่างเงียบงัน
เมื่อรถไฟออกจากชานชาลา ซิงเฉิงรู้ดีว่านี่เป็นการเดินทางครั้งใหม่ของเขา…