[SC] บทที่ 5 จะร้องไปทำไม?
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่แปลก คนท้องถิ่นต่างดูถูกคนที่มาจากนอกเมืองตามเขตต่าง ๆ คนในเขตจิ้งอันและเขตหวงผู่ ชอบดูถูกคนจากเขตผู่ตงและเขตซือฮู่ย ส่วนคนในเขตผู่ตงและเขตซือฮู่ยเอง พวกเขาก็ดูถูกเขตเฉิงอิ๋งและเขตหยางผู๋ และเขตเฉิงอิ๋งและเขตหยางผู๋ คนพวกนี้ก็ไปดูถูกพวกคนที่ต่ำกว่า เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม คนที่มีความสามารถในเมืองนี้ ส่วนมากก็เป็นคนนอกทั้งนั้น
หาน เกาผิงก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น ชายคนนี้เคยเป็นเด็กเหลือขอจากเมืองเทียนฉุย มณฑลกานซู ก่อนที่ในตอนนี้เขาจะกลายมาเป็นมาเฟียในเซี่ยงไฮ้
อย่างไรก็ตาม ถ้าหาน เกาผิงยังไม่สามารถทำให้เรื่องนี้ยุติลงได้ก่อนที่เขาจะเกษียณละก็ ท้ายที่สุดแล้วศัตรูที่มากเกินไปก็จะกลายเป็นภัยซ่อนเร้นอยู่ดี
และดูเหมือนว่าเรื่องในครั้งนี้นั้น แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่อาจที่จะจัดการได้…
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี แต่สิ่งที่นายจำเป็นต้องทำก็คือปกป้องปิงปิง นอกนั้นอย่าสงสัยอะไรมาก” หาน เกาผิงถอนหายใจ ชายวัยกลางคนไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้ซิงเฉิงรู้ยังไง ยังไงเสีย เขาก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนนี้ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี
ซิงเฉิงรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ดูท่าว่าจะไม่ง่ายแล้ว
“ลุงหานไม่ต้องห่วงเรื่องของปิงปิงหรอกครับ ผมจะทำให้เต็มที่ บางเรื่องผมอาจจะช่วยไม่ได้เต็มที่ แต่ถ้าคุณต้องการละก็ บอกผมได้นะ” ซิงเฉิงพยักหน้า ถ้าเกิดว่าหาน เกาผิงไม่อยากที่จะพูด เขาก็ไม่ควรที่จะถามต่อ
“ซิงเฉิง …” หาน เกาผิงตบบ่าของซิงเฉิง ชายวัยกลางคนรู้สึกประทับใจกับหนุ่มน้อยตรงหน้าเขามาก
หลังจากกลับถึงที่พัก ดูเหมือนว่าซิงเฉิงยังคงไม่สามารถนอนหลับได้ในนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มต้องมีสติและระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็ทำให้การนอนหลับเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
ชายหนุ่มหยิบหนังสือหนึ่งเล่มจากกองหนังสือปรัชญาและจิตวิทยาที่เขาซื้อในวันนี้ขึ้นมาอ่าน แท้จริงแล้วซิงเฉิงเรียนมาทางด้านปรัชญา เขาชอบที่จะสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ แต่ว่าวิชาพวกนี้มันหางานยากเกินไปหน่อย ซึ่งอันที่จริงซิงเฉิงเองก็ไม่ได้คิดที่จะพึ่งพางานสายนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพอยู่แล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ก็คือชีวิตที่โลดโผน ต่อให้เส้นทางมันจะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม เขาก็ไม่กลัว!
ซิงเฉิงอ่านหนังสือ “สัตว์สังคม” เขาอ่านเล่นนั้นอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็ตอนเกือบ ๆ ตี 2 ชายหนุ่มเริ่มง่วงแล้ว เขาจึงตัดสินใจไปนอน
เพราะว่าหานปิงบอกให้ซิงเฉิงไปหาเธอตอน 7 โมงเช้า ดังนั้นชายหนุ่มจึงตื่นออกไปวิ่งตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก่อนจะกลับมาฝึกวิชาหมัดมวยต่อ ยังไงเสีย วิชาพวกนี้ก็เป็นหลักประกันเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้ ส่วนแผนการอื่น …คงต้องพับไปก่อน
หลังจากจัดการมื้อเช้า ซิงเฉิงก็ขับรถไปยัง ฮัวหลุน 9 ไมล์แล้วรอหานปิงอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งเวลาเลยไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่อย่างงั้นหญิงสาวก็ยังไม่ออกมาตามที่ว่าเอาไว้
เป็นตอนนั้นเองที่ซิงเฉิงก็รู้ทันทีว่าตัวเองโดนหลอกเข้าให้แล้ว
เมื่อหานปิงปรากฏตัว มันก็เป็นเวลา 8 โมงครึ่งแล้ว หญิงสาวดูเหมือนจะไม่ได้จำด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนเธอพูดอะไรเอาไว้ ว่าแล้วหานปิงก็ตรงดิ่งไปที่รถเลย “คนรับใช้ ไปกันเถอะ!”
ซิงเฉิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเธอจำไม่ได้จริง ๆ ถ้าเข้าไปถามก็คงจะไม่ได้อะไร ต่อให้เธอจำได้ขึ้นมา เขาก็คงจะโดนหัวเราะซ้ำเติมกลับมาเสียมากกว่า
ระหว่าทางซิงเฉิงลังเลนิดหน่อยก่อนที่จะหาเรื่องคุย “ห่วงคุณพ่อไหมครับ ท่านดูจะ …”
“อย่ามาสอนฉันเจ้าคนรับใช้ คิดว่าฉันเป็นใครกันห๊ะ? เป็นแค่ลูกจ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไป!” หานปิงโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือตัวเมียที่โดนเหยียบหาง
ซิงเฉิงตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 คนจะดูรุนแรงมากกว่าที่คิด ถ้าคนที่พูดเป็นคนอื่นละก็ ป่านี้เขาหรือเธอคนนั้นคงจะโดนชายหนุ่มตบหน้าไปแล้ว
“โลกนี้ก็มีบางอย่างที่ควรจะรักษาเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียมันไปนะครับ” ซิงเฉิงเก็บอารมณ์แล้วก็พูดต่อไป
หานปิงพุ่งเข้าหาซิงเฉิงอย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับอยากที่จะฆ่าเขาทิ้งยังไงยังงั้น
โชคดีที่ตอนนี้เป็นไฟแดง ไม่อย่างนั้นรถคงจะชนไปแล้ว
ซิงเฉิงพยายามที่จะจับตัวหานปิงให้อยู่นิ่ง ๆ “เธอนี่ เอะอะก็จะตบอย่างเดียวเลยรึไง ? นี่ไม่เคยมีใครสอนมารยาทเลยเหรอฮะ”
หานปิงตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินคำพูดและมองเห็นใบหน้าของซิงเฉิง รอยยิ้มของชายหนุ่มในตอนนี้นั้นมันได้เลือนหายไปแล้ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
รถคันข้างหลังเริ่มบีบแตรไล่ ซิงเฉิงจึงตัดสินใจปล่อยตัวหานปิงแล้วพลักหญิงสาวให้นั่งที่เดิม
หานปิงตาแดงก่ำแต่ไม่ได้พูดอะไร ซิงเฉิงเองก็ไม่ได้นึกที่จะสนใจเธออีก
เมื่อหานปิงลงจากรถ ซิงเฉิงก็พูดอย่างไร้อารมณ์ “วันนี้ผมมีเรื่องต้องไปทำ เพราะฉะนั้นเลิกงานแล้วค่อยโทรหาผมละกัน!”
หานปิงไม่ได้ตอบอะไร เธอเดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในบริษัท …
ซิงเฉิงส่ายหัวอย่างหน่ายใจ ก่อนจะขับรถไปยังมหาวิทยาลัยฟู่ต๋าน…
มหาวิทยาลัยฟู่ต๋านเป็นที่รู้จักในหมู่ของชนชั้นกลาง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาแข่งขันกับมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงกันมาอย่างสูสี ซิงเฉิงเอง เขาก็จบการศึกษาสาขาปรัชญาที่นี่ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมามันจบลงไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบกับการเดินทาง 2 ปีที่ก่อนหน้านี้ ชีวิตตลอด 4 ปีนั้นนับได้ว่าเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเขามักจะใช้เวลาแทบทั้งหมดไปกับห้องสมุดและการทำงานพิเศษ สมัยหมายลัย ซิงเฉิงมีเพื่อนสนิท 3 คนที่อยู่หอพักเดียวกัน ส่วนอีก 2 คนเป็นเพื่อนในสาขาที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานมากแล้ว ซึ่งหลังจากสำเร็จการศึกษา ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง ยิ่งช่วง 2 ปีที่เขาหายไป นั่นก็ยิ่งทำให้ไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเพื่อน ๆ ของเขานั้นจะยังคงเป็นมิตรที่ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า
ซิงเฉิงไม่ได้ไปที่ฟู๋ต๋านเพื่อที่จะรำลึกความหลัง แต่เพื่อที่จะไปพบกับสาวงามเพียงหนึ่งเดียวของพ่อแม่บุญธรรมของเขา หลินซิน ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดเลยว่าเธอจะมาที่เซียงไฮ้ แล้วมาเรียนที่ฟู่ต๋านแบบเดียวกันกับเขา
อันที่จริงแล้วป้าหวางก็ให้เบอร์ของซินซินมาเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มไม่ได้วางแผนที่จะติดต่อหาเธอ เขารู้ดีว่าสาขาการจัดการอยู่ที่ไหน และต้องการแค่เวลานิดหน่อยในการตามหาซินซิน
เพราะเขาเองก็อยากที่จะทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
ด้วยความที่ชายหนุ่มเคยเรียนที่นี่มาก่อน เพราะฉะนั้นซิงเฉิงจึงใช้เวลาเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อหาตัวใครบางคนที่ตอนนี้กำลังเรียนวิชาเลือกของตัวเองอยู่ สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ คนที่เขาตามหาอยู่ตอนนี้ เธอดันกลายเป็นคนดังของมหาวิทยาลัยฟู๋ต๋านในฐานะสาวงามไปซะแล้ว
เมื่อซิงเฉิงมาถึงตึกฉีไต๋ของสาขาการจัดการ นั่นก็เป็นเวลาเที่ยวเข้าไปแล้ว เขารออยู่ที่ด้านล่างของตึกเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้หาเขาเจอได้ง่าย ๆ
ชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังว่าการรอคอยจะมีชีวิตชีวาอะไรขนาดนั้น ห่างจากเขาไม่ไกลนั้น มีชายรูปงามที่ถือช่อกุหลาบช่อเบ้อเร่อ กำลังคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนรอบๆ เขาอยู่ ชายคนนั้นดูท่าทางเป็นกังวล ส่วนเพื่อน ๆ ก็พยายามให้กำลังใจเขา
ซิงเฉิงมองอย่างสนอกสนใจพลางคิดว่าคนๆ นั้นคงจะมารอสารภาพรักกับใครสักคนเป็นแน่ ฉากแบบนี้เกิดขึ้นได้ในมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศจีนในทุกๆ วัน บ้างก็สำเร็จ บ้างก็ต้องจากไปพร้อมกับหัวใจที่แตกสลาย
ชีวิตนักศึกษา ความรักก็เป็นส่วนประกอบสำคัญ จะมีชายชาตรีคนไหนที่ไม่ชื่นชอบเหล่าสาวงามเทพธิดาเลยเชียวหรือ?
ซิงเฉิงอยากรู้เหลือเกินว่าเรื่องราวความรักในครั้งนี้ มันจะจบลงแบบไหน?
“ต้านเซิน ตอนที่เธอออกมาก็รีบยื่นช่อดอกไม้ให้เธอเลยนะ แล้วก็บอกว่าฉันรักเธอด้วยล่ะ” ชายคนหนึ่งข้าง ๆ เขาว่ามา
“ไม่ต้องมาสอนน่า ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง!”
“ต้านเซิน นายทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ถ้าเธอมีใจให้ล่ะก็ ยังไงเธอไม่มีทางที่จะปฏิเสธนายหรอก!”
“ถ้าทำไม่ได้ก็ถอดใจไปซะดีกว่านะ!”
“อย่ามาทำให้ท้อสิวะไอ้หอกนี่!”
พวกเขาพูดคุยแล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
นักศึกษาที่เดินผ่านไปมาก็รอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่นานนักก็มีคนจำนวนมากมาล้อมอยู่เต็มไปหมด ซิงเฉิงที่กำลังยืนอยู่ตรงสนามหญ้านั้นไม่สามารถที่จะยืนดูเรื่องที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหาซินซินเจออยู่ดี
เสียงระดังเลิกชั้นเรียนดังขึ้นในที่สุด สำหรับพวกนักเรียนไม่ว่าชั้นไหน ๆ ก็ตาม เสียงที่พวกเขาได้ยิน มันก็เปรียบเหมือนกับเสียงสวรรค์
หลังจากนั้นไม่นาน พวกนักเรียนก็ทยอยกันออกมา แต่พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็เลือกที่จะหยุดดูแทนที่จะไปโรงอาหารตามที่ตั้งใจไว้
ซิงเฉิงจ้องตรงไปที่ทางออกของตึก
ไม่กี่นาทีต่อมา หญิงสาวผู้ดื้อดึงที่คอยตามหลังเขาในสมัยเด็ก ๆ ก็ปรากฏอขึ้นในสายตาของชายหนุ่ม ตอนนี้เธอกลายเป็นสาวสวยไปแล้ว ผมยาวคลุมบ่าทั้ง 2 ข้าง เธอสวมชุดเรียบง่าย ส่วนใบหน้าก็ยิ้มแย้มเสียจนเผยให้เห็นลักยิ้ม ในมือนั้นเป็นกระเป๋าธรรมดาที่ราคาไม่แพงอะไรนัก ส่วนมืออีกข้างก็มีหนังสืออีกสองถึงสามเล่ม เธอเดินไปพร้อมกับพูดคุยและหัวเราะอยู่กับเพื่อนอีกสองสามคนอย่างสนุกสนาน
แต่ก่อนที่ซิงเฉิงจะเข้าไปทักหญิงสาว ชายที่ถือช่อดอกไม้ก็ตรงเข้าไปหาหลินซิน ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งใจมารอหลินซินสาวงามประจำมหาวิทยาลัยคนนี้นี่เอง
“หลินซิน ผมรักคุณนะ” ต้านเซินพูดในตอนที่เขาเดินไปหาเธอ
หลินซินก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เธอเดินออกมา หญิงสาวเข้าใจในทันทีว่าใครที่นำเธอมาที่นี่ เธอปิดปากด้วยความตกใจ
“หลินซิน พวกเราต่างรู้จักกันมานานกว่า 2 ปีแล้วนะ ฉันรู้ตั้งแต่แรกพบแล้วว่าเธอคือคนในฝันที่ฉันไม่มีวันเจออีกเป็นครั้งที่ 2 เธอรู้ดีว่าตลอด 2 ปีนี้ฉันทำเพื่อเธอมาโดยตลอด …” ต้านเซินเริ่มที่จะบรรยายความรู้สึกของเขาออกมา
ซิงเฉิงอึ้งไป ชายหนุ่มไม่คิดว่าเป้าหมายของชายคนนั้นจะเป็นหลินซิน เขาเกือบที่จะหลุดออกไปแล้วว่า ‘บ้ารึเปล่าห๊ะไอ้หนูนี่’ แต่อันที่จริงแล้วซิงเฉินเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแบบนี้ การมีความรักไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เลวร้าย และหลินซินเองก็ตกลงล่ะก็ ถึงตอนนั้นเขาจะช่วยน้องสาวลองใจไอ้หนุ่มนี้เอง
“หลินซิน มาเป็นแฟนผมเถอะ” คำสารภาพทั้งหมดลงท้ายด้วยประโยคนี้
พวกเพื่อนของต้านเซินเริ่มตะโกนปลุกระดม “เอาเลย! เอาเลย!”
เมื่อมีคนเปิดก็มีคนตาม ต่างคนต่างตะโกนตามคนส่วนใหญ่
แล้วหลินซินล่ะ?
หญิงสาวรู้สึกประทับใจมาก แต่เธอก็ไม่ใช่คนใจง่าย ตราบใดที่ทำดีกับเธอ หลินซินก็จะนับว่าคนคนนั้นเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เธออยากที่จะรักษาระยะห่างเอาไว้เพราะไม่อยากที่จะเสียใจทีหลัง
เธอรู้ดีว่าต้านเซินชอบเธอ และรู้ว่าเขาทำดีกับเธอเอาไว้มากเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่ได้หลงรักเขาแต่อย่างใด
เหมือนหลินซินจะตัดสินใจได้แล้ว เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปว่า “ต้านเซิน ฉันขอโทษจริง ๆ นะ!”
ทันทีที่ได้ยินต้านเซินก็อึ้งไป แต่ว่าเขายังประคองสติเอาไว้ได้ “หลินซิน ฉันชอบเธอ จริง ๆ นะ!”
ซิงเฉิงโล่งใจที่หลินซินปฏิเสธไป แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้คิดอย่างนั้น
แต่เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นยังคงตื้อน้องสาวของเขาอยู่ นั่นทำให้ซิงเฉิงรู้สึกไม่พอใจนิด ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินฝ่าฝูงชนเข้าไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มหนักออกมาว่า “ไม่ได้ยินที่เธอปฏิเสธหรือไง?”
ทุกคนต่างมองมาทางซิงเฉิง
พวกเพื่อนของต้านเซินต่างถามออกมา “นี่คิดว่าตัวเองเป็นอะไรกันห๊ะ?”
“ฉันไม่ใช่ ‘อะไร’ ฉันชื่อซิงเฉิง” ซิงเฉิงพูดออกไปตรงๆ
พวกคนรอบ ๆ ที่ได้ยินต่างหัวเราะออกมา
บางคนก็เยาะเย้ยออกมาประมาณว่าบ้า ไม่ก็จำอวดด้วย
แต่เมื่อหลินซินเห็นชายที่เธอไม่คุ้นเคยคนนี้ หญิงสาวก็รู้สึกงุนงงไปหมด แต่เมื่อเธอมองดี ๆ ในที่สุดหลินซินก็มั่นใจว่าต้องเป็นเขาคนนั้นอย่างแน่นอน
น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมานองใบหน้า กว่าสองปีที่หายไปในที่สุดคนที่เธออยากจะเจอก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ฮืออ” ทันใดนั้นหลินซินก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก เธอร้องไห้ออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
ทุกคนเข้าใจทันทีว่ามันหมายความว่ายังไง
ซิงเฉิงเมินสายตาที่มองมาแล้วเดินเข้าไปหาหลินซิน ก่อนที่เขาจะเข้าไปกอดเธอแล้วก็พูดพึมพำออกมาว่า “จะร้องไห้ทำไมล่ะเด็กโง่ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”
หนังสือในมือร่วงลงพื้น หญิงสาวสวมกอดซิงเฉิงแน่นราวกับกลัวว่านี่จะเป็นความฝัน ดูเหมือนว่าน้ำตาของเธอจะไม่หยุดได้เสียแล้วในตอนนี้