บทที่ 14 เหมือนใบไม้ร่วงหล่นกลับสู่ราก
ตอนที่เขายังเด็ก ซิงเฉิงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดปู่ของเขาจึงมักจะพาตัวเขาไปพบกับคนแปลกหน้า คนเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในเขาซงนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนโบราณที่อาศัยอยู่ในชีวิตที่เงียบสงบและลึกลับ
คุณปู่ของเขาสามารถพูดคุยกับคนที่น่าสนใจที่เขาพบได้ทั้งวัน ซิงเฉิงจำได้ว่ามีลัทธิเต๋าเก่า ๆ ที่อาศัยอยู่ลึกลงไปในภูเขาซงนาน ทุกครั้งที่พวกเขาเดินทาง มันจะต้องใช้เวลาประมาณสองหรือสามชั่วโมง ปู่ของเขามักจะพูดคุยอย่างมีความสุขกับคนคนนั้น และพวกเขาจะต้องอยู่ที่นั่นสองถึงสามวัน
หลังจากที่ชายหนุ่มเติบโตขึ้นมา ซิงเฉิงค่อย ๆ ชินกับชีวิตแบบนี้ และเริ่มที่จะชอบมันเล็กน้อย ที่เป็นแบบนั้นมันก็เป็นว่าเพราะคนเหล่านี้น่าสนใจจริง ๆ การใช้ชีวิตกับปู่ ทำให้เขาได้เจอเข้ากับผู้คนหลากหลายแบบแตกต่างกันไป เช่นคนธรรมดา คนทำงาน นักธุรกิจ เจ้าหน้าที่ แม้กระทั่งพวกอันธพาล พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาจากชนชั้นทางสังคมที่หลากหลายซึ่งหลายแห่งก็น่ากลัวมาก
ซิงเฉิงชอบฟังเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา ตอนเด็ก ๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ยิ่งมีอายุมากเท่าไร ชายหนุ่มก็ยิ่งเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อด้วยเงินได้ เรื่องราวเหล่านั้นทำให้ซิงเฉิงเข้าใจความตั้งใจของปู่ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและรอบคอบกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
ตอนที่เขาได้พบกับหาน เกาผิง ซิงเฉิงมองออกทันทีว่าชายคนนี้ไม่ใช่พวกนักท่องเที่ยวธรรมดาที่เจอได้ทั่ว ๆ ไปไม่ หากแต่เป็นคนที่ทำกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าในตอนนั้นหาน เกาผิงต้องที่จะแยกตัวออกจากโลกภายนอกเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขา
ในช่วงเวลานั้นซิงเฉิงได้เดินทางไปหลายที่กับหาน เกาผิง ชายหนุุ่มได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทางคนนี้ พวกเขาพูดกันถึงหลายสิ่งหลายอย่าง มีหลากหลายหัวข้อที่ให้ถกเถียงกันมากมาย ในความเห็นของซิงเฉิง หาน เกาผิงเป็นคนที่น่าเกรงขามและไร้ความปรานี ชายผู้นี้สามารถงอเข่าของเขาในเวลานี้ และพร้อมที่จะเงยหัวขึ้นในภายหลัง
หาน เกาผิงประสบกับความยากลำบากมากมาย เขาได้รับการดูหมิ่น การทรยศและการหลอกลวงจากผู้อื่น หากแต่เขาก็สามารถยอมรับมันได้อย่างใจเย็นและจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นในที่สุดหาน เกาผิงจึงได้รับชื่อเสียงและความสำเร็จอย่างที่เขาต้องการ
แต่ซิงเฉิงไม่เคยคิดเลยว่าหาน เกาผิงจะมีจุดจบแบบนี้…
จังหวะที่ประตูของห้องหนังสือถูกเปิดออก มันก็ทำให้ซิงเฉิงหลุดจากภวังค์
คนที่เข้ามาคือหานปิง หญิงสาวสวมชุดสีขาวธรรมดา ใบหน้าซีดและเต็มไปด้วยความอ่อนล้า แต่การแสดงออกของเธอยังคงเต็มไปด้วยมั่นคง ตั้งแต่วินาทีที่เธอได้รับโทรศัพท์ มันกลับไม่มีแม้แต่น้ำตาหยดเดียว
“คุณหนู!” เฉินเป๋ยหมิงก้มหัวแล้วพูดด้วยความเคารพ นายท่านหานได้จากไปแล้ว ดังนั้นภาระทั้งหมดของตระกูลก็จะตกอยู่กับผู้หญิงคนนี้ เขาไม่มั่นใจในตัวของเธอเลยแม้แต่น้อย
“นายอยู่นี่เอง” หานปิงมองซิงเฉิงแล้วพูดอย่างสุขุม หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นมา เธออยากจะเห็นหน้าคนที่เธอพึ่งจะรู้จักได้ไม่กี่วันมากที่สุด บางที่อาจจะเพราะว่าในตอนที่อยู่ข้าง ๆ เธอก็จะรู้สึกสบายใจ
ซิงเฉิงไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าเขาพูดเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มอยากที่จะปลอบเธอ หากแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป ซิงเฉิงทำได้แค่พยักหน้าตอบรับการทักทายเท่านั้น
เฉินเป๋ยหมิงพูดอย่างนุ่มนวล “ซิงเฉิง ตั้งแต่ที่นายท่านหานได้จากไป มีเรื่องมากมายที่เราจะต้องสะสาง ผมอยากให้คุณอยู่กับคุณหนูจนถึงอายุ 27 อย่าได้ห่างจากกายของเธอ ผมเกรงว่าหลังจากที่นายท่านได้จากไป คุณหนูจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดจากคนเหล่านั้นหรือคนของเรา”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมสัญญาณกับลุงหานไว้แล้วว่าจะปกป้องหานปิงไม่ เพราะงั้นผมจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่นอน!” ซิงเฉิงพูดพร้อมกับหรี่ตาลง แม้ว่าเฉินเป๋ยหมิงไม่บอก แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร
เฉินเป๋ยหมิงไม่สงสัยเลยว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายของเขา เขาพยักหน้าแล้วพูดต่อ “นายหญิง ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากที่เฉินเป๋ยหมิงจากไป ในห้องก็เหลือแค่ซิงเฉิงและหานปิงเท่านั้น พวกเขาทั้งสองคนต่างไม่มีอะไรจะพูด ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวเป็นคนโทรหาเขาหลายสิบครั้งก่อนหน้านี้แท้ ๆ
“ซิงเฉิงพ่อฉันไม่อยู่แล้วสินะ” หานปิงพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
หลังจากพูดจบ ความอดทนของหานปิงต่อหน้าคนนอกก็หายไปทันที เธอร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ซิงเฉิงเดินเข้ามาหาเธอ แล้วสวมกอดผู้หญิงตรงหน้าเขาเอาไว้แน่น “ร้องออกมาเถอะ มันจะทำให้เธอดีขึ้น!”
หานปิงเกลียดหาน เกาผิงมาก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังคงเป็นพ่อของเธอ หานปิงรู้ดีว่าพ่อของเธอเผชิญหน้าความยากลำบากมามาก ถึงเขาจะไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่หานปิงก็ไม่ได้โง่ เธอบอกได้อย่างง่ายดายว่าในฐานะเด็กยากจนที่มาจากชนบททางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว พ่อของเธอต้องจ่ายเท่าไหร่เพื่อที่จะกลายเป็นคนที่มีอำนาจในเซี่ยงไฮ้แบบในตอนนี้
หานปิงเพียงแค่เกลียดทัศนคติของหาน เกาผิงที่มีต่อครอบครัวของตัวเองและความเย็นของเขาที่มีต่อแม่ของเธอเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หานปิงก็รู้ว่าพ่อของเธอ รักเธอมากที่สุดมากกว่าใคร ๆ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นั้น.. คนที่รักเธอก็ได้จากไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเส้นทางที่เขาเลือกจะจบชีวิต มันก็โหดร้ายเกินไป
แม่เธอจากไปแล้ว และในตอนนี้พ่อเองก็เช่นกัน พวกเขาทิ้งเธอไป ทิ้งให้เธอต้องเดินในเส้นทางที่ยาวนานเพียงลำพัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หานปิงก็หยุดร้องไห้ แขนเสื้อของซิงเฉิงเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“ขอโทษนะ ทำเสื้อนายเปียกเลย” หานปิงรู้สึกอายนิดหน่อยตอนที่เธอปล่อยเสื้อของซิงเฉิง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าผู้ชายแบบนี้ แต่การร้องไห้ในครั้งนี้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาก
“ไม่เป็นไรหรอก” ซิงเฉิงส่ายหัว
ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาแล้วพูดคุยกัน บางครั้งที่ซิงเฉิงมองไปทางเก้าอี้นั้นภาพของหาน เกาผิงก็พลันซ้อนทันขึ้นมา บางครั้งความตายก็ไม่น่ากลัว การมีชีวิตสิเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นกว่ามาก
“ซิงเฉิง ฉันเสียใจที่ไม่ฟังคุณ ฉันเสียใจที่ไม่สนใจเขา ฉันเสียใจที่พูดไม่ดีกับเขา ฉันเสียใจมาก…” ตอนนี้หานปิงเข้าใจคำพูดของซิงเฉิงแล้ว ในที่สุดเธอก็ไม่มีโอกาสได้คืนดีกับพ่อของเธอไปตลอดกาล “อย่าโทษตัวเองเลย ฉันรู้ว่าเธอรักเขามากขนาดไหน!” ซิงเฉิงตบบ่าของหญิงสาวตรงหน้า
“ฉันง่วงจัง อยากนอน! นี่เป็นความฝันใช่ไหม? พระเจ้าล้อเล่นกับฉันเหรอ? ถ้าฉันตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะเรียบร้อยใช่ไหม?” หานปิงพูดอย่างเพ้อเจ้อ
“จะพึงฉันก็ได้นะ ถ้าเธอต้องการ” ซิงเฉิงรู้ว่าหานปิงต้องการหนีจากทุกสิ่ง แต่ชายหนุ่มเอง เขาก็รู้ดีว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่หานปิงจะต้องเผชิญอีกในอนาคต
เมื่อได้ยินแบบนั้น ดังนั้นหานปิงจึงเอนตัวลงบนไหล่ของซิงเฉิงและหลับไปในไม่ช้า
ซิงเฉิงรอจนกระทั่งหญิงสาวหลับไป ก่อนที่จะปล่อยให้เธอนอนบนโซฟา เพื่อเธอจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น
หลังจากออกจากห้องอ่านหนังสือ ซิงเฉิงก็ขอให้บางคนเฝ้าประตูและป้องกันไม่ให้ใครรบกวนเธอ ชายหนุ่มต้องการที่จะให้หานปิงตื่นขึ้นมาเอง เมื่อเดินออกมา เขาก็ได้พบเขากับเฉินเป่ยหมิง ซิงเฉิงได้ถามตรงหน้าว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง เฉินเป่ยหมิงเองก็ได้จัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้สำหรับซิงเฉิง
ในตอนบ่าย เซียติงและคนอื่น ๆ ก็ตื่นขึ้นมา พวกเขาพากันเรียกหาซิงเฉิง แต่ก็ไม่พบใคร ทางด้านซิงเฉิงเอง ชายหนุ่มก็ได้บอกกับเฉินเป่ยหมิงว่าเขามีอย่างอื่นต้องไปทำ และขอให้ชายตรงหน้ากลับไปบอกหานปิงหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาว่าเขาจะกลับมาในไม่ช้า
ซิงเฉินแวะกลับมาที่บ้านของเซียติง ในจังหวะนั้น หยูเค่อเฟิยกับคนอื่น ๆ กำลังพูดคุยกันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นซิงเฉิง พวกเขาถามชายหนุุ่มด้วยรอยยิ้ม “ลูกพี่ทำไมวันนี้ออกไปเช้าจัง? ไปแอบทำอะไรลับหลังรึเปล่า?”
“ไอ้หอกนี่จะคิดอะไรดี ๆ บ้างไม่ได้รึไง? ไม่ได้เจอกันแค่สองปีใครสอนแกแบบนี้วะเนี่ย?” ซิงเฉิงหัวเราะออกมา
เซียติงเพิ่งอาบน้ำเสร็จและเช็ดผมในขณะที่เขาถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอลูกพี่? ถึงได้ตื่นขนาดนั้น?”
“มีเรื่องเกิดขึ้นกับเพื่อนของฉันน่ะ” ซิงเฉิงพูดง่าย ๆ
“อยากให้ช่วยไหม?”
ซิงเฉิงส่ายหัวปฏิเสธ
“เฮ้อ คราวหน้าเพลา ๆ ลงมากกว่านี้ดีกว่า กินแอลกอฮอล์ไปเยอะ ๆ ก็ใช่จะดี หัวฉันตอนนี้มันแทบจะระเบิดอยู่แล้วเนี่ย แถมยังต้องรีบกลับไปปักกิ่งอีก ฉันละอิจฉาพวกนายสามคนจริง ๆ ที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา” เฉาหยูเฟิงบิดเอวแล้วถอนหายใจ
“เหลาเอ้อ ถ้าอยากเจอจริง ๆ ก็ยกพวกไปปักกิ่งก็ได้” หยูเค่อเฟิยพูดอย่างมีความสุข
เซียติงพูดอย่างรวดเร็ว “อย่าพูดไร้สาระนะเห้ย แกออกจะยุ่งตัวเป็นเกลียววัน ๆ ทำตัวเหมือนผี ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ที่นานจิงนู่น อุตส่าห์นัดล่วงหน้าก็ยังจะไม่อยู่อีก”
“ไม่ได้หรอกน่าพี่สาม บางครั้งสถานการณ์มันก็อาจไม่เป็นใจ อย่างฉันงี้ ฉันทำอยู่ในบริษัทใหญ่ ๆ นี่ถ้าฉันไม่ทำงาน มีหวังพวกระดับสูงได้มาเก็บฉันแน่ ๆ” หยูเค่อเฟิยพูดอย่างช่วยไม่ได้
ซิงเฉิงหยิบน้ำมาหนึ่งถ้วยแล้วเดินไป “เหลาซื่อพูดถูกแล้ว ทุกคนล้วนแต่มีชีวิต การงาน และเป้าหมายเป็นของตัวเอง แต่อะไรก็ตามผู้คนต้องมีชีวิตที่มีความสุข อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผิดกับการใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นเลย”
“ลูกพี่เทศน์เราอีกแล้ว” เซียติงหัวเราะดังลั่น
เฉาหยูเฟิงเองก็ลุกขึ้นมาด้วย “เอาหล่ะไปหาที่กินข้าวกันดีกว่า อีกเดี๋ยวเหลาซื่อกับฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวไว้ว่าง ๆ คงจะได้เจอกันอีก”
“ไปกันเถอะ! ตอนนี้ฉันหิวแล้ว!”
เซียติงสั่งอาหารกลางวันในร้านอาหารใกล้ ๆ ไว้รอแล้ว อาหารที่นี่ถือว่ารสชาติพอใช้ได้เลยทีเดียว หลังอาหารกลางวันทั้งสี่คนกอดกันและพากันกล่าวคำบอกลา คนขับรถส่งไปหยูเค่อเฟิยและเฉาหยูเฟิงที่สถานีรถไฟความเร็วสูงและสนามบิน
เซียติงมองซิงเฉิงแล้วถามว่า “ลูกพี่อยากไปไหนไหม? เดี๋ยวจะไปส่งหรือถ้าว่างไปหาที่นั้งชิล ๆ คุยกันไหม”
“วันนี้มีเรื่องต้องทำ เอาไว้วันหลังแล้วกัน”
“งั้นต้องไปไหน? เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก มันไม่ไกล” ซิงเฉิงพูดสั้น ๆ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันว่างอยู่แล้ว” เซียติงยื้อซิงเฉิงไว้ที่รถของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้เซียติงพาเขาไปที่ทอมสันกอล์ฟวิลล่า
ในความเป็นจริงเซียติงมีคำถามมากมายที่อยากจะถามตั้งแต่เมื่อคืน ยิ่งเห็นซิงเฉิงกำลังจะไปที่ทอมสันกอล์ฟวิลล่าแบบนี้ มันก็ทำให้เขาอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ซิงเฉิงกำลังทำอยู่ หากแต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป
หลังจากส่งซินเฉิงยังที่หมาย เซียติงก็ขอตัวกลับทันที เมื่อซิงเฉิงกลับไปที่บ้าน หานปิงยังคงหลับอยู่ ดังนั้นเขาจึงไปช่วยงานศพของหาน เกาผิงแทน หญิงสาวนอนหลับไปเรื่อย ๆ หานปิงไม่ตื่นจนตีสี่
ผ่านไปสามวัน ซิงเฉิงยังคงช่วยเหลือหานปิงต่อไป เขาเห็นด้านที่อ่อนแอและแข็งแกร่งของผู้หญิงคนนี้มาหมดแล้ว ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงธุรกิจของหาน เกาผิงที่ยิ่งใหญ่ และทุกสิ่งที่หานปิงจะต้องเผชิญต่อจากนี้ไป
อย่างไรก็ตาม ซิงเฉิงกับหานปิงก็ได้วางแผนกันไว้แล้ว พวกเขาสองคนกำลังจะกลับไปมณฑลกานซู ที่เมืองเทียนฉุยเมือง ที่นั่น หญิงสาวจะได้ส่งขี้เถ้าพ่อแม่ของเธอกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อฝังศพ ซึ่งนี่ก็เป็นคำสั่งเสียของหาน เกาผิง
ตามธรรมเนียมจีน ผู้คนควรถูกฝังไว้ในบ้านเกิดหลังความตายเหมือนกับใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับมาสู่ราก