บทที่ 17 จบสิ้นแล้ว
ซิงเฉิงเคยพูดประโยคนึงเอาไว้ “อะไรคือสิ่งควรค่าที่มนุษย์ควรได้รับในชีวิตของเขาก่อนที่เขาจะสร้างชื่อให้ตัวเองหลังจากเขาตาย?”
แล้วหาน เกาผิงควรค่ามากเท่าไหร่?
บางทีความตายของเขาอาจทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงสังคมชั้นสูง สำหรับไพร่พลโดยทั่วไปแล้ว ความตายของคนผู้นั้นอาจเปรียบได้กับก้อนกรวดที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ มันจะไม่ทำให้คลื่นใหญ่ ความตายของเขาคนนั้นจะไม่สำคัญ
แล้วตัวเขาเองล่ะ?
หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปเทียนฉุย ใครจะรู้ตัวว่าเขาตาย และใครจะหลั่งน้ำตาให้เขา?
ซิงเฉิงทำได้เพียงหัวเราะเยาะตัวเองเท่านั้น เขาจะต้องไม่ตาย เขาต้องผ่านมันไปให้ได้ ท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มต้องเผชิญกับวิกฤติในช่วงสองปีที่ผ่านมา
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ซิงเฉิงได้นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวระดับสูง แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นเป็นพิเศษ ท้ายที่สุดซิงเฉิงก็ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มที่โง่เขลา ปู่ของเขาเลี้ยงดูชายหนุ่มมาเพื่อให้โตเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับสินค้าฟุ่มเฟือย
ที่นั่งตรงข้ามชายหนุ่มคือหานปิงผู้ซึ่งจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีเหม่อลอย บางทีหญิงสาวอาจจะคิดถึงสิ่งที่ซิงเฉิงกำลังคิด เถ้าถ่านของนายและนางหานถูกวางไว้บนที่นั่งถัดจากเธอขณะที่เฉินเป่ยหมิงและผู้เฒ่าหวู่นั่งอยู่แถวหลัง
“เมื่อคืนนี้เธอคงนอนไม่หลับ พักผ่อนบ้าง ถึงแล้วเดี๋ยวฉันปลุกเอง พรุ่งนี้มีเรื่องต้องจัดการตั้งหลายเรื่อง” ซิงเฉิงพูดเบา ๆ เมื่อนึกถึงหานปิงเมื่อเช้า
การตายของหาน เกาผิงเป็นเรื่องที่มีผลกระทบอย่างมากต่อหานปิง ไม่มีทางที่หญิงสาวจะเป็นเหมือนเดิมได้อีก ดูเหมือนจะมีน้ำหนักที่มองไม่เห็นกดลงบนเธอ และมันก็เกินกว่าที่เธอจะรับไหว
“อืม…” หานปิงพยักหน้า เธอดูเหนื่อยล้าจริง ๆ สาวก็ผล็อยหลับไปในทันทีที่เธอหลับตา
ซิงเฉิงมองดูหานปิงที่ตอนนี้ไร้ชีวิตชีวา หน้าเธอซีดและมีรอยคล้ำรอบดวงตา นี่คือผู้หญิงที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง รวย และมีผิวที่ขาว ในตอนนี้ของพวกนี้ในตัวเธอมันหายไปไหนกัน?
ซิงเฉิงถอนหายใจออกมาอีกรอบนึง
บรรพบุรุษของเราคือคนที่เราไว้วางใจ เมื่อพวกเขาผลัดกันล้ม เราจะถูกบังคับให้เติบโตอย่างรวดเร็วแม้ว่าเราจะไม่เต็มใจก็ตาม
เที่ยวบินนี้กินเวลาสองชั่วโมงจากเซี่ยงไฮ้ถึงเมืองเทียนฉุย มณฑลกานซู
แม้ว่าเทียนฉุ่ยเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่มันก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างร่ำรวยในภูมิภาคตะวันตกนอกเหนือจากเมืองหลวง มันมีสนามบินขนาดเล็กที่มีเที่ยวบินที่เดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงเท่านั้น
หลังจากเครื่องบินลงจอด หานปิงและซินเฉิงก็ช่วยกันถือโกศของนายและนางหานตามลำดับก่อนเดินออกจากสนามบิน หานปิงสูดลมหายใจลึก ๆ ผ่านฟันเขี้ยว แล้วหญิงสาวก็พึมพำออกมาว่า “พ่อ แม่ เราถึงบ้านแล้วนะ”
อากาศมีกลิ่นของดินสีเหลือง ตอนนี้เกือบจะสิ้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว สภาพอากาศเมื่อเทียบกับเซี่ยงไฮ้ที่อบอุ่นกว่านั้น ที่นีมันก็เหมือนกับอยู่ในฤดูหนาว
ที่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า ญาติของตระกูลหานรออยู่นานแล้ว เนื่องจากเรื่องที่หาน เกาผิงทำในเซี่ยงไฮ้ ญาติของเขาในประเทศต่างก็กลายเป็นคนโออ่าจากการกระทำของเขาเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าชื่อเสียงของหาน เกาผิงทำให้บรรดาญาติคนอื่น ๆ ได้ลืมตาอ้าปากกันก็ว่าได้
บ้านเก่าของหาน เกาผิงอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองเทียนฉุย มันตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองห่างออกไปประมาณสามสิบกิโลเมตร ด้านในของเขตหม่ายจี หนึ่งในพื้นที่แลนมาร์คอันมีชื่อเสียง ซึ่งจุดท่องเที่ยวที่ว่าก็อยู่ไม่ห่างจากหมู่ของตระกูลหานมากนัก
เมื่อคุ้นเคยกับเส้นขอบฟ้าของเซี่ยงไฮ้ เทือกเขาในทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทียนฉุ่ยก็กลับกลายเป็นภาพที่ดูมีชีวิตชีวา ภูเขานั้นมีชื่อว่าหลง มันอยู่ในแนวเดียวกันกับภูเขาซงนาน หมู่บ้านหานตั้งอยู่ที่เชิงเขาที่เรียกว่าเขาขุนนาง แม้ว่าจะไม่เคยมีขุนนางมาก่อนก็ตาม อันที่จริงคนดังที่รู้จักกันดีที่สุดจากที่นี่คือหาน เกาผิงเท่านั้น
เนื่องจากที่นี่เป็นบ้านเกิดของหาน เกาผิง ดังนั้นเขาจึงไม่เคยลืมเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเขาสร้างตัวในเซี่ยงไฮ้ได้แล้ว หาน เกาผิงก็เป็นคนจัดสรรเงินเพื่อซ่อมแซมและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานภายในหมู่บ้าน และสร้างทางเชื่อมต่อกับโลกภายนอก เขายังให้การสนับสนุนการก่อสร้างจัตุรัสกลางเมืองและบ้านใหม่สำหรับครอบครัวกว่าสิบครอบครัวในหมู่บ้านอีกด้วย
แม้ว่าญาติ ๆ ส่วนใหญ่ในครอบครัวหานจะย้ายออกไปอยู่ในเมืองหรือมณฑลหลานกันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงกลับไปบ้านเกิดของพวกเขาในช่วงเทศกาล แต่สำหรับสิ่งเกิดขึ้นกับหาน เกาผิง มันก็ทำให้ญาติและเพื่อนบ้านทั้งหมดมาช่วยเหลือพวกเขา
ซิงเฉิงที่เติบโตขึ้นมาในเทือกเขาจงนานรู้สึกผูกพันกับภูเขาเป็นพิเศษ ชายหนุ่มไม่สามารถละสายตาจากภูเขาที่อยู่นอกหน้าต่างรถยนต์ได้เลย จนกระทั่งหานปิงที่นั่งอยู่ข้างหลังเขาถามขึ้นมา “ซีอานอยู่ไกลจากที่นี่ไหม?”
ซิงเฉิงคิดสักพักก่อนจะตอบไป “ไม่ไกลหรอก ห่างจากเทียนฉุยแค่ 300 กิโลเมตรเอง ไม่กี่ชั่วโมงจากนี่ก็ถึงแล้วล่ะ”
“ฉันไม่เคยไปที่ซีอานมาก่อนเลย” หานปิงพึมพำ
“ฉันพาไปได้นะ ถ้าเกิดว่ามีโอกาส” ซิงเฉิงพูดพลางพยักหน้ารับไปด้วย
“เอาวันมะรืนนี้เลยไหม?” หานปิงลังเลที่จะกลับไปเซี่ยงไฮ้ หญิงสาวหวังว่าเธอจะไปที่อื่นเพื่อให้กำลังใจตัวเองสักหน่อย
เมื่อรู้ว่ามีโอกาสที่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่ซิงเฉิงจะยอมให้เธออยู่นอกเซี่ยงไฮ้นาน ๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่น ๆ ในเซี่ยงไฮ้ที่รอให้หานปิงไปจัดกาอีก ดังนั้นซิงเฉิงจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยเมื่อได้ยินคำขอของเธอ
เมื่อมาถึงที่หมู่บ้านหาน ซิงเฉิงก็เห็นเข้าจัตุรัสของหมู่บ้านได้จากระยะไกล มันมีเต็นท์สีแดงและขาวตั้งอยู่แล้วมากมาย ชาวบ้านกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารสำหรับแขก โบสถ์ของตระกูลหานถูกสร้างขึ้นในสวนของบ้านของพวกเขา ประเพณีนี้คล้ายกับของซีอาน
เมื่อกลุ่มรถยนต์ของพวกเขามาถึงบ้านของตระกูลหาน พวกชาวบ้านก็พากันเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อย ๆ พวกผู้หญิงรวมทั้งลูกพี่ลูกน้องของหาน เกาผิงเริ่มร้องไห้อย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซิงเฉิงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาเสียใจจริง ๆ หรือแกล้งทำกันแน่
วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงสำหรับงานศพ ทันใดนั้นอากาศแห่งความเศร้าก็อบอวลไปทั่ว มันทำเอาหานปิงน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ซิงเฉิงและเฉินเป๋ยหมิงติดตามหานปิงอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนเข้ามาลอบสังหารหญิงสาว
ลุงคนโตของหานปิงเป็นผู้วางแผนงานศพโดยรวม ทุกคนในปัจจุบันเข้ามาที่ประตูหลักของตระกูลหานตามคำสั่งของเขาและนำอัฐิของนายและนางหานเข้ามาในโบสถ์ หลังจากนั้นผู้คนก็เริ่มเผาเครื่องหอมและแสดงความไว้อาลัย
ไม่ว่าจะเป็นบ้านของตระกูลหานหรือบ้านอื่น ๆ ในหมู่บ้าน พวกเขาก็เป็นเหมือนบ้านส่วนใหญ่ที่เห็นอยู่ทั่วภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่ประกอบด้วยประตูหลัก ลานด้านหน้าอาคารหลัก และสนามหลังบ้าน
หานปิงสวมเสื้อผ้าสำหรับงานศพ หญิงสาวคุกเข่าลง ทั้งสองด้านของเธอมีหลานชายและหลานสาวของหานกุ้ยหลินนั่งอยู่ด้วย พวกเขาคอยทำหน้าที่ยินดีต้อนรับเพื่อน ๆ และแขกที่มาร่วมแสดงความเสียใจ
ผู้เฒ่าหวู่ได้แอบออกจากบ้านไปสำรวจรอบ ๆ เฉินเป๋ยหมิงที่ยืนถัดจากซิงเฉิงพึมพำ “ดูท่าเราคงต้องผลัดกันกินล่ะนะ ต่อไปตาฉันไปลาดตระเวนบ้าง”
ทั้งสองคนจะผลัดกันเฝ้าเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของหานปิง
งานศพจะคงอยู่จนกระทั่งหลังจากพิธีฝังศพซึ่งจะเกิดขึ้นในเช้าวันถัดไป ในช่วงเวลานั้นบรรยากาศจะวุ่นวายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในตอนที่พระอาทิตย์ตกและกลางคืน
เวลากลางคืนของพื้นที่ในแทบตะวันตกเฉียงเหนือนั้นอากาศจะหนาวเย็น
ในช่วงเวลานี้ซิงเฉิงและเฉินเป่ยหมิงเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น พวกเขาดูแลตัวเองในกรณีที่มีอันตรายไม่คาดฝัน หลังจากแขกรับเชิญเสร็จ พวกเขาก็ช่วยเตรียมอาหารกับญาติ ๆ ระหว่างนั้นพวกผู้หญิงที่เป็นญาติ ๆ ก็พากันแสดงความเสียใจเมื่อพี่ชายของหาน เกาผิงกล่าวคำไว้อาลัย
ด้านนอกบ้านมีพวกเพื่อนและญาติ ๆ อยู่จำนวนมาก ในเวลาเดียวกันกับที่การแสดงความไว้อาลัยสิ้นสุดลง หานปิงก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หญิงสาวไม่รู้เลยว่าภัยอันตรายก็กำลังคืบคลานเข้าหาเธอ
ผู้ชายสวมชุดงานศพสีขาวแทรกซึมเข้าไปในฝูงชน เขาถือมีดและจ้องไปที่หานปิงอย่างมุ่งร้าย ในขณะนั้นเฉินเป๋ยหมิงและซิงเฉิงมองดูอยู่ทางด้านหลังของหานปิง ไว้เท่าความคิด จู่ ๆ เฉินเป๋ยหมิงก็พลันพุ่งเข้าชนชายคนนั้นอย่างแรง ก่อนจะจับข้อมือของเขาไขว้กันอย่างแน่นหนาแล้วผลักเข้าไปติดกำแพง
ส่วนทางซิงเฉิงก็เข้าคุ้มกันหานปิง พวกเขาพยายามไม่ให้ฝูงชนสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเฉินเป๋ยหมิงและนักฆ่า แม้แต่หานปิงเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งเฉินเป๋ยหมิงและนักฆ่าต่างก็ต่อสู้อย่างดุเดือด ทั้งคู่พยายามยื้อแย่งมีดกันไปมา เฉิงเป๋ยหมิงที่แข็งแกร่งกว่าสามารถแย่งมีดมาได้ เขาแทงเข้าไปในท้องของอีกฝ่าย และเอามือปิดปากของนักฆ่าเพื่อไม่ให้เสียงดังออกไป ก่อนปล่อยมือก็ได้เฉินเป๋ยหมิงแทงย้ำอีกสองสามครั้งเพื่อความมั่นใจ
ในขณะที่เฉินเป๋ยหมิงอุ้มร่างของนักฆ่าออกไปเพื่อปกปิดปัญหา ซิงเฉิงก็ลากหานปิงกลับไปที่ห้องของเธอ แม้ว่าจะไม่มีใครสังเกตก็ตาม แต่มันจะปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ในห้อง
หลังจากพิธีสิ้นสุดลง บรรดาญาติ ๆ และเพื่อนก็แยกย้ายกันกลับ ข้างนอกเริ่มที่จะเย็นมากขึ้นแล้วดังนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเอง หากแต่บนทางเดินที่นำไปสู่ห้องของหานปิงนั้น ซิงเฉิงและหานปิงพบชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับมีดในมือ
ซิงเฉิงหน้าถอดสีในทันที เขาผลักหานปิงออกไปอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณจนหญิงสาวเกือบจะล้ม แม้ว่าจะอยู่ในภาวะตื่นตระหนก แต่ซิงเฉิงก็สามารถหลบการจู่โจมได้ แต่ถึงอย่างงั้นชายหนุ่มก็ยังถูกมีดแทงผ่านแบบถาก ๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!” ซิงเฉิงสบถด่าออกมา
ซิงเฉิงโกรธมาก และเมื่อเขาตั้งสติได้อีกครั้ง ชายหนุ่มก็จัดแจงส่งลูกเตะเข้าที่ใบหน้าของนักฆ่า แต่อีกฝ่ายกลับใช้แขนกันเอาไว้ได้ นักฆ่าพยายามโจมตีสวนกลับด้วยมีด แต่ซิงเฉิงก้มตัวลงหลบการโจมตีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จังหวะก่อนที่นักฆ่าจะหันกลับมาซิงเฉิงก็สับหลังของชายแปลกหน้าอย่างแรงด้วยแขน ก่อนจะพุ่งตีเข่าใส่หน้าของนักฆ่าอย่างแรง
หานปิงมองเห็นเพียงแค่ซิงเฉิงและนักฆ่าพุ่งเข้าซัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย หญิงสาวตกใจอย่างมาก จนไม่สามารถแม้แต่จะตะโกนขอความช่วยเหลือออกมาได้ และนี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤตที่แท้จริงเท่านั้น…
นักฆ่าอีกคนโผล่ออกมาจากทางสนามและกำลังมาทางพวกเขา สิ่งที่เขาถือไม่ใช่มีดอีกแล้ว มันคือปืน
เมื่อชายผู้นั้นเห็นหานปิง นักฆ่าก็เล็งปืนไปทางเธอทันที
ในตอนนี้ซิงเฉิงเห็นนักฆ่าแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ซิงเฉิงตื่นตระหนกอย่างสุดขีดได้แต่ร้องออกมาว่า “เสร็จมันจนได้…”