บทที่ 22 กำลัง 3 ส่วนจาก 10…
บางทีซิงเฉิงและฮาวเหล่ยอาจจะไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างชาวบ้านและพวกผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาจงหนานได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปู่ของซิงเฉิงสามารถชี้ให้พวกเขาเห็นได้ทันที เมื่อซิงเฉิงยังเด็ก ปู่ของเขาได้พาเขาไปดูผู้ฝึกตนที่แท้จริงเหล่านี้มามากมาย
นี่คือเหตุผลที่ซิงเฉิงคิดในทันทีเกี่ยวกับชายชราในเทือกเขาจงหนานจากคนที่เขารู้จัก ซิงเฉิงรู้ว่าชายชราคนนี้มีสาวกไม่กี่คน และคนพวกนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฮาวเหล่ยพบกับบุคคลเช่นนี้ เขาพูดต่อด้วยความระมัดระวัง “ท่านครับ ซิงเฉิงพบกับปัญหาและขอความช่วยเหลือจากคุณ”
“ตั้งแต่ปู่ของเขาตายไป ฉันก็ไม่ได้เห็นเขามาสองปีแล้ว ซิงเฉิงเป็นอย่างไรบ้าง?” ในที่สุดชายชราเปิดตาของเขาและจับจ้องมาทางฮาวเหล่ย
ภายในกระท่อมที่มีแสงสลัว สายตาของชายชราที่จ้องมองมานั้นทำให้กระดูกสันหลังของฮาวเหล่ยเย็นวาบ เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปในดวงตาของชายชรา ฮาวเหล่ยก้มหน้าลงแล้วพูด “ซิงเฉิงเพิ่งมาถึงเซี่ยงไฮ้และชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย”
ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ “เก็บเบอร์นี้ไว้ แล้วไปหาคนคนนี้ บอกเขาว่าฉันสั่งให้เขาไปเซี่ยงไฮ้ “
หลังจากนั้นชายชราก็ได้ให้หมายเลขโทรศัพท์หมายเลขหนึ่งกับฮาวเหล่ย ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าแผนการของพวกเขาสองคนจะสำเร็จมาก้าวหนึ่งแล้ว
“ตอนนี้ฉันคงยังไปไม่ได้ แต่ขอให้ซิงเฉิงไม่ลืมที่จะมาเยี่ยมคุณปู่คนนี้บ่อยขึ้นหน่อยนะ” ชายชรากล่าวว่าก่อนที่จะโบกมือให้เขาออกไปและหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
ฮาวเหล่ยโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูออกจากกระท่อม เมื่อไปถึงประตูทางเข้า เขาก็รีบวิ่งทันที ฮาวเหล่ยไม่คิดอยู่ที่นี่นานเกินความจำเป็น
ฮาวเหล่ยต้องการโทรหาซิงเฉิงเมื่อเขาออกจากเขาจงหนานแล้ว แต่จู่ ๆ เปลี่ยนใจ เขาคิดว่าเขาควรพยายามติดต่อกับปลายสายคนนี้เสียก่อน หลังจากกดโทรออก ใช้เวลาไม่นาน คนที่อยู่ปลายก็รับโทรศัพท์ ชายคนนั้นพูดอย่างสุภาพออกมาว่า “คุณเป็นเพื่อนของพี่หวางใช่ไหม ฉันได้เตรียมการที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ฉันจะมารับคุณทันทีถ้าคุณมาถึง.”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนของพี่หวาง” ฮาวเหล่ยตอบกลับ ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะฟังดูคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา
ชายที่อยู่ปลายสายตอบกลับมา “งั้น นายเป็นใครถ้าไม่ใช่เพื่อนของหวาง?”
“อาจารย์ของคุณบอกให้โทรมาหาคุณ” ฮาวเหล่ยพูดตรงประเด็นเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเพิ่มเติม
ชายคนนั้นหยุดชะงัก เขานิ่งเงียบไปไม่กี่วินาทีจากนั้นก็พูดต่อ “อยู่ในซีอานรึเปล่า? แล้วจะเจอกันที่ไหน?”
ไม่เหมือนกับน้ำเสียงที่เป็นมิตรก่อนหน้า ทันทีที่เขาพูดเกี่ยวกับชายชรา เสียงของชายผู้นี้พลันกลับกลายเป็นเย็นชา
“เข้าใจแล้ว” ฮาวเหล่ยหัวเราะ ไม่น่าแปลกใจที่เสียงของปลายสายฟังดูคุ้นหู คนคนนี้น่าจะมาจากคองเกรสเซเว่นหนึ่งในไนต์คลับที่ดังที่สุดในซีอาน คนส่วนใหญ่จะรู้จักไนต์คลับแห่งนี้แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยไปก็ตาม
ถนนเกรทเวสเทิร์นกลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิงของซีอานหลังตกดึก ท้องท้องที่ทอดยาวจากกวนจี๋ไปยังจตุรัสฉิงซี่รวมถึงเฟินเลนในทางใต้เต็มไปด้วยไนต์คลับมากกว่าสิบแห่ง ส่วนคองเกรสเซเว่นอยู่ตรงหัวมุมของจัตุรัสเฉียนซุย ร้านแห่งนี้เต็มไปด้วยลูกค้ามากมายในทุกคืน
ฉางป๋าจี้เพิ่งอายุสี่สิบปีเป็นผู้จัดการความปลอดภัยของไนต์คลับแห่งนี้ เขาทำงานที่นี่ในช่วงสี่ถึงห้าปีที่ผ่านมาและมีบุคลิกที่น่ารักและอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนในไนต์คลับตั้งแต่ระดับต่ำสุดไปจนถึงระดับสูงสุดต่างเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ชาง มีข่าวลือว่าเขาเคยช่วยชีวิตเจ้านายใหญ่ไว้แล้วเจ้านายใหญ่ต้องการส่งเสริมให้เขาทำงานในหน้าที่ที่สำคัญมากขึ้น อย่างไรก็ตามเขาพึงพอใจในการทำสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นทุกคนในคองเกรสเซเว่นจึงล้วนแล้วแต่ให้เกียรติเขา
ฉางป๋าจี้มีความสูงเพียง 1.7 เมตรตามมาตรฐาน อย่างไรก็ตามเขามีอัตราส่วนร่างกายสมส่วน เพียงว่ารูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างน่าเกลียดและมีผมด้านข้างแยกเขาเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากันอย่างแรงเท่านั้น โชคดีที่คนผู้นี้มีบุคลิกที่เรียบง่าย ทุกคนสามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างเป็นกันเอง และฉางป๋าจี้เองก็เต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเขา อย่างไรก็ตามทุกคนตระหนักถึงผลที่ตามมาจากการทำให้เขาขุ่นเคือง สิ่งสำคัญที่สุดคือหัวหน้าใหญ่เชื่อใจเขาอย่างสมบูรณ์ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง
ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหญิงหรือพนักงานเสิร์ฟต่างก็หาทางเข้าหาเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้ ฉางป๋าจี้มักรักษาระยะห่างไว้เสมอ ดังนั้นมันจึงไม่มีเรื่องอื้อฉาวของเขาที่เกี่ยวกับผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย
“คืนนี้ก็ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะ ลูกพี่ฉาง” บริกรหญิงเหลือบไปคุยกับเขาขณะที่เขาวางสายกับฮาวเหล่ย
ฉางป๋าจี้เดินขึ้นมาหาเธอแล้วตบก้นของผู้หญิงคนนั้นก่อนพูดว่า”คุณเฉินยังไม่มาอีกเหรอ? ตอนนี้ช้ากว่าเวลานัดแล้วนะ”
“เขาแค่โทรมาบอกว่าเขากำลังไป เขาบอกว่าเขาต้องการเลี้ยงคุณตอนที่คุณสะดวกด้วย” เด็กผู้หญิงที่ชื่อยูเย่พูดกับเขาอย่างฉับพลัน
“ตอนไหนก็ได้” ฉางป๋าจี้ตอบกลับ
เมื่อฉางป๋าจี้เดินผ่านฝูงชน เด็กเสริฟและพนักงานต้อนรับทุกคนต้องแน่ใจว่าได้ทักทายเขา และเขาเองก็ตอบกลับมันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ฉางป๋าจี้อาจไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าดึงดูด แต่เขาก็เป็นที่นิยมอย่างมาก
ฮาวเหล่ยจอดรถหน้าไนต์คลับ เขาออกมาจากรถแล้วจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ ก่อนจะยืนพิงรถของตัวเอง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนจับจ้องที่เขาเพราะกลัวว่าเขาจะก่อปัญหา
เมื่อฉางป๋าจี้โผล่มาข้างนอก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนก็เข้าเพื่อทักทายเขา พวกเขารู้สึกยินดีเมื่อฉางป๋าจี้โยนบุหรี่ซองหนึ่งที่เก็บมาจากห้องใดห้องหนึ่งให้ เนื่องจากฮาวเหล่ยเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างนอกไนต์คลับ ดังนั้นฉางป๋าจี้สังเกตเห็นเขาอย่างรวดเร็ว
เขาเดินช้า ๆ และสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดว่า “ฮาวเหล่ยใช่ไหม?”
ฮาวเหล่ยพยักหน้า เขารู้อยู่แล้วว่าชื่อของชายคนนั้นคือฉางป๋าจี้ แม้ว่าจะเป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลก แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าฉางป๋าจี้จะเป็นชายวัยกลางคน ในความเป็นจริงแล้วชายคนนี้ดูแก่กว่าอายุของเขาจริง ๆ เสียอีก อาจเป็นเพราะหน้าตาที่น่าเกลียดของเขาละมั้ง สิ่งนี้ส่งผลให้ฮาวเหล่ยเกิดความเข้าใจผิดดังกล่าว
เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตระหนักว่าฮาวเหล่ย เป็นเพื่อนของพี่ชาย พวกเขาก็เริ่มผ่อนคลายและกระจายตัวออกไป
“ได้เจออาจารย์ฉันรึยัง?”ฉางป๋าจี้ถามอย่างเมินเฉย
ด้วยความสัตย์จริง ฮาวเหล่ยคาดว่าศิษย์เก่าของผู้ฝึกตนจะเป็นมีบุคลิกเหมือนพวกนักปราชญ์นักวิชาการ เขาคาดหวังว่าฉางป๋าจี้จะเป็นคนที่มีอะไรมากกว่าที่เห็น เพราะชายคนนี้ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้น ยิ่งกว่านั้นเมื่อดูว่าเขาทำงานที่ไหน ฮาวเหล่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม คนแบบนี้จะช่วยซิงเฉิงได้อย่างไร?
“แน่นอนฉันได้พบเขาแล้ว” ฮาวเหล่ยพูดไปตามตรง
ฉางป๋าจี้จุดบุหรี่ ก่อนจะจัดเส้นผมของเขาให้เรียบแล้วพูดว่า “คุณต้องการอะไร? ฉันเป็นคนยุ่งมากเลยนะ”
ชายทั้งสองต่างมองดูกันด้วยความดูถูก อากาศรอบตัวพวกเขาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
“อาจารย์ของนายอยากให้นายไปเซี่ยงไฮ้กับฉัน” ฮาวเหล่ยพูดด้วยความเย่อหยิ่ง
“เหตุผล?” ฉางป๋าจี้จ้องที่ฮาวเหล่ยด้วยตาเล็ก ๆ ของเขา
“ซิงเฉิงประสบกับอันตรายในเซี่ยงไฮ้ อาจารย์ของนายต้องการให้นายไปที่นั่นเพื่อช่วยเขา” ฮาวเหล่ยกล่าว ขณะกำลังสลัดขี้เถ้าออกจากบุหรี่ที่เขาถืออยู่
“ซิงเฉิง? หลานชายของอาจารย์ซิงอย่างนั้นเหรอ?” ฉางป๋าจี้เงียบไปครู่หนึ่งขณะที่เขาเริ่มไตร่ตรอง เขาจำบางสิ่งเกี่ยวกับท่านอาจารย์ซิงคนนี้ได้ ชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งอาจารย์ของเขาเองก็ให้ความเคารพอย่างสูง
อย่างไรก็ตาม ฉางป๋าจี้ยังคงลังเลที่จะไปเซี่ยงไฮ้เพื่อช่วยชายหนุ่มคนนี้ เพราะนั่นหมายความว่าเขาต้องละทิ้งทุกอย่างในซีอาน
“หืมมม…”ฮาวเหล่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด
“ดูถูกกันอยู่รึไง?” ฉางป๋าจี้พ่นลมออกทางจมูก
การแสดงออกของฮาวเหล่ยเปลี่ยนไป แต่เขายังคงนิ่งเงียบ
“เคยทำงานในกองทัพใช่ไหม?” ฉางป๋าจี้สามารถบอกได้จากท่ายืนของฮาวเหล่ยว่าเขาเป็นทหาร
“อยากจะรู้ไปทำไม?” ฮาวเหล่ยพูดอย่างเย็นชา
“แสดงให้ดูหน่อย” ใบหน้าของฉางป๋าจี้แสยะรอยยิ้มขนาดใหญ่ มันทำให้ฮาวเหล่ยรู้สึกขยะแขยง
หลังจากที่เขาพูดจบ เพื่อเป็นการทดสอบฮาวเหล่ย ฉางป๋าจี้จึงเหยียดแขนออกมาและจับฮาวเหล่ยที่คอของเขาราวกับว่าเขากำลังพยายามโจมตีศัตรูด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ฮาวเหล่ยเป็นทหารลาดตระเวน เพราะงั้นอย่าหวังว่าจะล้มเขาได้ง่าย ๆ
ฮาวเหล่ยที่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการโจมตีอย่างกะทันหันของฉางป๋าจี้ ดังนั้นเขาจึงถอยกลับไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหวี่ยงหมัดสวนเข้าที่แขน ฉางป๋าจี้หลบหมัดของฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่จะพุ่งไปข้างหน้าแล้วชกเข้าไปที่บนหน้าอกของฮาวเหล่ย มาถึงตอนนี้ฮาวเหล่ยเองก็ได้ตั้งท่ารับมือการโจมตีของฉางป๋าจี้เอาไว้อยู่แล้ว เขาตอบโต้ทันทีด้วยการเตะเข้าที่หลังของฉางป๋าจี้อย่างเต็มแรง
เมื่อไม่นานมานี้ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคองเกรสเซเว่นตกตะลึงเมื่อชายสองคนเริ่มต่อสู้กัน พวกเขารวมตัวกันรอบชายทั้งสองตั้งใจจะช่วยฉางป๋าจี้หากจำเป็น ยังไงเสียฉางป๋าจี้ก็เป็นหนึ่งในพนักงานระดับสูงของคองเกรสเซเว่น
อย่างไรก็ตามพวกเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปใกล้พวกเขาได้ ชายสองคนนี้ต่อสู้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นนักสู้ที่มีทักษะสูง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่เคยเห็นการต่อสู้ของฉางป๋าจี้เพราะลูกน้องของเขามักจะเป็นคนที่จัดการกับความโกลาหลที่เกิดจากลูกค้าเวลาเมา พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวว่าฉางป๋าจี้ได้รับบาดเจ็บจากคนที่พยายามจะเล่นตลกกับหัวหน้าใหญ่ เพียงแต่ทุกวันนี้ฉางป๋าจี้เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่ออยู่เสมอดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยได้เห็นฝีมือของชายผู้นี้
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการต่อสู้ของฉางป๋าจี้ ยิ่งกว่านั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นคนที่มีความสามารถมาก คราวนี้ถือว่าพวกเขาได้เปิดโลก
จากจุดเริ่มต้นของการทดสอบไปจนถึงเมื่อครู่นี้ ฉางป๋าจี้ก็ตระหนักได้ถึงความสามารถที่แท้จริงของฮาวเหล่ย เมื่อเป็นแบบนั้นเขาเองก็เริ่มต่อสู้จริงจังมากขึ้น หลังจากโดนฮาวเหล่ยเตะเข้าใส่เต็ม ๆ ฉางป๋าจี้ก็เสียหลักกระเด็นและถอยกลับสองก้าว เขาเหยียดมือออกไปจับข้อเท้าของฮาวเหล่ย และเตะน่องของขาอีกข้างอย่างแรง มันทำให้ขาของฮาวเหล่ยเสียสมดุลทันที เมื่อปิดกั้นการจู่โจมของฮาวเหล่ยได้แล้ว ฉางป๋าจี้ก็คว้าเสื้อคอปกของฮาวเหล่ยแล้วเหวี่ยงเขาออกไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทันทำอะไรเสียอีก
หลังจากนั้นฮาวเหล่ยก็ได้รู้ฝีมือที่แท้จริงของฉางป๋าจี้ เขาได้แต่ตำหนิตัวเองที่ประมาทมากเกินไป
เมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ฮาวเหล่ยก็คิดว่าตัวเขานั้นคิดตื้นเกินไป ศิษย์ของผู้ฝึกตนไม่มีทางที่จะกระจอก ๆ อยู่แล้ว ทำไมผู้ฝึกตนเฒ่านั้นถึงขอให้คนคนนี้ไปเซี่ยงไฮ้เพื่อช่วยซิงเฉิงด้วยล่ะถ้าเขาเป็นแค่คนธรรมดา?
หลังจากที่ฮาวเหล่ยตัวลอยปลิวออกไป กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เข้ามารายล้อมตัวเขา หากแต่พวกนั้นก็ถูกห้ามโดยฉางป๋าจี้ เขาเดินไปที่ฮาวเหล่ยและยื่นมือเพื่อดึงอีกฝ่ายขึ้นมา ฮาวเหล่ยเองก็ยอมรับความช่วยเหลือ แม้ว่าเจ้าตัวจะคิดว่ามันค่อนข้างน่าอายไปหน่อยก็ตาม
“เราจะต้องไปกันตอนไหน?” ฉางป๋าจี้ไม่อยากเสียเวลา เขาเลือกที่จะถามออกไปตรง ๆ
ฮาวเหล่ยนวดคลึงเพื่อบรรเทาความเจ็บก่อนที่จะพูดไปด้วย “งั้นเอาสำเนาบัตรประจำตัวมา ฉันจะเอาไปซื้อตั๋วเครื่องบิน พรุ่งนี้ที่สนามบินเจอกันตอน 10 โมงเช้า”
“ได้เลย เอาตามนั้น 10 โมงเช้า”
ฉางป๋าจี้หันกลับเข้าไปในคองเกรสเซเว่นอีกครั้ง ทิ้งให้ฮาวเหล่ยอยู่ในสภาพที่น่าอับอาย ฮาวเหล่ยรู้ดีว่าฉางป๋าจี้ใช้ความสามารถของเขาเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
คำเดียวที่พูดกลับไปได้ คือน่าประทับใจ…