บทที่ 26 คุ้นเคย…
ในบรรดาลูกน้องสามคนของหาน เกาผิงซึ่งได้แก่ จ้าวตงเฉิน หลิวเหอจุนและ เจิ้งปิง ตามการวิเคราะห์ของเฉินเป่ยหมิง เจิ้งปิงไม่ได้มีฝีมือและมีมารยาทเหมือนจ้าวตงเฉิน ส่วนหลิวเหอจุนก็คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานที่จะใช้ประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจเกาผิงเป็นฐานในการไปถึงเป้าหมาย และสร้างคุณค่าให้กับตัวของเขา นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้หาน เกาผิงไว้วางใจเขา และให้ชายคนนี้อยู่ในตำแหน่งสำคัญเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมในสำนักงานให้เป็นกลาง
ในทางตรงกันข้าม ตำแหน่งของจ้าวตงเฉินในบริษัทนั้นเป็นที่สองรองจากหาน เกาผิง ซึ่งมันก็ดูสมเหตุสมผลที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งของหาน เกาผิงหลังจากที่เขาเสียชีวิต อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่เขาจะใจร้อนเกินไป หาดแต่เขายังไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับคู่แข่งของหาน เกาผิงได้ ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้และตกลงเป็นหุ้นส่วนกับโจวเหวินหวู่ ด้วยวิธีนี้จ้าวตงเฉินจะสามารถได้รับสิ่งที่เขาต้อง ซึ่งมันก็รวมไปถึงการเอาชนะด้วยแรงสนับสนุนของโจวเหวินหวู่ ในขณะนี้การขึ้นและลงของมรดกของหาน เกาผิงนั้นเป็นสิ่งที่เขากังวลน้อยที่สุด หลังจากหาน เกาผิงเสียชีวิต
แตกต่างจากสังคมในอดีตที่ผู้คนต่อสู้และสังหาร เมื่อพวกเขาเป็นนักธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากบริษัทเป็นฐานในการจัดการวงจรธุรกิจของพวกเขา ในแง่นี้หานปิงเป็นผู้ได้รับประโยชน์เพียงรายเดียวของหุ้นบริษัทของหาน เกาผิง พูดง่าย ๆ ก็คือจ้าวตองเฉินจะสามารถถือหุ้นได้ก็ต่อเมื่อหานปินเสียชีวิต
และนั่นคือที่มาของการลอบสังหารในเทียนฉุย…
ในที่สุดซิงเฉิงก็รู้ว่าผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทียนฉุยคือใคร เฉินเป่ยหมิงเคยตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็น หลิวเหอจุน หรือไม่ก็จ้าวตงเฉินที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ อันที่จริงเมื่อตรวจสอบแล้วว่ามันคือจ้าวตงเฉิน
มีคนสี่คนที่ตายไป จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่พบศพของเขาเลย แม้แต่ชายหนุ่มเองก็เกือบจะถูกฆ่า แล้วแบบนี้ซิงเฉิงจะปล่อยจ้าวตงเฉิน และโจวเหวินหวู่ออกจากบัญชีแค้นของเขาได้อย่างไรกันละ?
เจียเซียนเป่าเห็นว่าซิงเฉิงนั้นตั้งใจจะฆ่าจ้าวตงเฉินและโจวเหวินหวู่เรื่องทั้งหมดดูมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ซิงเฉิงพูดนั้นก็ฟังดูมีเหตุผล อะไรจะดีไปกว่าการตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายในครั้งเดียว ? การทำเช่นนี้จะช่วยแก้ปัญหาของหานปิงจะได้ในทันที
“โจวเหวินหวู่ จ้าวตงเฉิน …” ซิงเฉิงพูดพึมพำ รอยยิ้มเผยให้เห็นถึงความปรารถนาในการฆ่าของเขา
“จำไว้ว่าให้ระมัดระวัง อย่าปล่อยให้มีหลักฐาน ถ้าอยากที่จะอยู่ในเซี่ยงไฮ้ สำหรับท่านหวู่ที่สามฉันจะทำให้คำขอของฉันไปนัดเจอกับเขาเป็นการส่วนตัว เขาเป็นคนโลภมาก คำนวณดูแล้วฉันว่าฉันคงต้องแยกจากสมบัติของฉันแล้วละ”เจียเซียนเป่าถอนหายใจ
ซิงเฉิงหัวเราะออกมาแล้วก็พูดต่อ “ผมไม่รู้สมบัติอื่น ๆ ที่ลุงปิดเอาไว้หรอก แต่ผมติดหนี้สิ่งนี้กับลุงจริง ๆ เอาเป็นว่าผมจะตอบแทนลุงในครั้งต่อไป”
“ไม่ต้องหรอก ครั้งนี้ถือเสียว่าตอบแทนบุญคุณของปู่นายต่างหาก แต่อย่าคิดนะว่าหลังจากนี้ฉันจะสามารถเข้าไปช่วยนายได้ซะทุกครั้งไป” เจียเซียนเป่าพูด
ซิงเฉิงรู้ว่าเจียเซียนเป่าไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เขาพูดจริง ๆ จิ้งจอกเฒ่าคนนี้คงจะไม่มีชีวิตที่ดีแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคำแนะนำของปู่…
หลังจากซิงเฉิงออกจากสำนักงานของเจียเซียนเป่า เขาก็ไปที่จอดรถใต้ดินและเข้าไปในรถของเขา ชายหนุ่มรีบนั่งในรถและจุดบุหรี่โดยไม่รีบร้อน เขาไม่ได้ฆ่าคนมานานแล้ว เมื่อก่อนมันค่อนข้างง่ายที่จะฆ่าใครบางคน มันเป็นเหมือนกับการท้าทายที่จะไม่ทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานเอาไว้ มันขึ้นอยู่กับว่าจ้าวตงเฉินและโจวเหวินหวู่จะมีช่องโหว่ให้ซิงเฉิงใช้เป็นโอกาสการโจมตีหรือไม่
ขณะซิงเฉิงกำลังจะขับรถออกไป มันก็ได้กลุ่มคนโผล่ออกมาจากลิฟต์ ในหมู่พวกเขามีผู้ชายบางคนแต่งตัวในชุดสูทและเนคไท ท่ามกลางคนกลุ่มนั้นมีผู้หญิงสูงประมาณ 1.7 เมตรในส้นสูงคนหนึ่งที่ดูโดดเด่นออกมา แม้ว่าเธอจะแต่งหน้าแค่บาง ๆ แต่เธอก็เปล่งประกายออร่าที่โดดเด่น
ซิงเฉิงไม่สามารถละสายตาจากเธอแม้ว่าเขาจะเห็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอกของเธอเท่านั้น คลื่นแห่งความตื่นเต้นพัดผ่านซิงเฉิง เมื่อเขาพบว่าเธอคุ้นเคย มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่จะได้พบเธอที่นี่?
ซิงเฉิงพยายามสงบสติอารมณ์ของเขา รู้ตัวอีกทีรถเบนท์ลีย์และรถเมอร์เซเดสก็เข้ามาหาคนพวกนั้น กลุ่มคนที่รวมตัวกันเข้าไปอยู่ในรถและทิ้งเอาไว้แค่ฝุ่นควันไว้เบื้องหลัง ซิงเฉิงตามหลังพวกเขาไปอย่างรวดเร็วและต้องการยืนยันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่
น่าเสียดายที่ซิงเฉิงล้มเหลวในการติดตามอย่างใกล้ชิด รถเหล่านั้นแล่นออกจากอาคารโก๋วจินในขณะที่เขาติดไฟแดง เมื่อถึงเวลาที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว กองทัพของรถยนต์นั่นก็หายไปจากสายตาของเขาแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังมาก! อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวเราะและคิดว่าบางทีเขาอาจเห็นคนผิดก็เป็นได้ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงคนรู้จักที่เคยมีเสน่ห์หากันเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาสองคนไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนั้น ทั้งคู่ต่างก็คิดจะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามโชคชะตาหากพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง
ซิงเฉิงถือโทรศัพท์มือถือของเขาและไตร่ตรองว่าจะเรียกเธอว่าอะไร อย่างไรก็ตามหลังจากลังเลเขาก็ยกเลิกความคิดนั้นไป
“คิดจะไปไหน แล้วคิดจะทำอะไร?” บางสิ่งเกิดขึ้นในใจของเขา
หลังจากผ่านสัญญาณไฟจราจร ซิงเฉิงก็กำลังเดินทางกลับไปที่หอซงหยิง แม้ว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเลิกงานแล้วก็ตาม ชายหนุ่มแอบคาดหวังเล็กน้อยว่าในขณะที่เขาพยายามติดตามเธอไป ทางด้านเธอเองก็ควรจะติดต่อเขามาเช่นเดียวกัน
ซิงเฉิงขับรถไปสักพักหนึ่งเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นเป้าหมายของรถที่ตามมา ยิ้มเมื่อเขาขับรถไปที่อาคารเกาจิงเขามั่นใจว่านี่เป็นการกระทำของโจวเหวินหวู่และจ้าวตงเฉิน
ในสำนักงานกลุ่มเกาผิงที่อาคารซงหยิง หานปิงยังคงยุ่งมากในขณะที่ฮาวเหล่ยและฉางป๋าจี้รอเธออยู่ในห้องพักผ่อน หลังจากการประชุมอีกครั้ง เจิ้งปิงก็ยังคงพยายามห้ามหานปิงจากการตัดสินใจครั้งแรกของหญิงสาว แต่มันก็ยังคงไม่มีประโยชน์ เจิ้งปิงทำได้แค่เพียงทำตามการตัดสินใจของหานปิงเท่านั้น
เจิ้งปิงมีความหมายที่จะพัฒนาธุรกิจของบริษัทหานเกาผิงต่อไป แต่เขาไม่ได้ตระหนักถึงวิกฤตที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย สำหรับหานปิงและบริษัท ของเธอทั้งภายในและภายนอกต่างติดอยู่ในวังวนของปัญหาดังกล่าว
“ยังไม่เรียบร้อย?” ซิงเฉิงมาถึงที่ห้องพักผ่อนก่อนที่จะจับได้ว่าฮาวเหล่ยหลับอยู่ ในทางกลับกัน ฉางป๋าจี้เองก็ถือนิตยสารและอ่านด้วยความสนใจ
ฉางป๋าจี้ถอนหายใจแล้วพูดออกมา “ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาซะหน่อย”
“มีคนแอบตามฉันอยู่” ซิงเฉิงกล่าวขณะนั่งข้างฉางป๋าจี้และถือบุหรี่
สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ฉางป๋าจี้ใจเย็นได้เลย “อย่างที่คิดไว้เลย”
“อยากแต่งงานกับเด็กรึไง?” ซิงเฉิงเริ่มพูดคุยกับฉางป๋าจี้ เนื่องจากไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้
ฉางป๋าจี้จ้องที่ซิงเฉิงสักครู่แล้วหัวเราะออกมาพูดว่า “ทำไมถึงมองว่าคนอย่างฉันอยากมีลูกมีเมียล่ะ หรือมองว่าฉันเหงามากนัก”
ฉางป๋าจี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสัญญา บางครั้งเขาก็ขี้เล่นและร่าเริง ผู้ชายคนนี้สามารถล้อเล่นกับทุกคนในขณะที่เวลาอื่นเขาจะกลายเป็นคนจริงจัง คนรอบตัวมักจะลังเลใจที่จะเข้ามาใกล้เขาคนนี้ เป็นเพราะฉางป๋าจี้นั้นพลิกบทบาทไปมาระหว่างตัวละครทั้งสองได้อย่างง่ายดายเสียจนทำให้ผู้คนรอบ ๆ พากันสับสน
“เคยฆ่าใครมาก่อนไหม พี่ฉาง?” ซิงเฉิงถามอย่างใจเย็น
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉางป๋าจี้หายไปทันทีและเขาก็พูดว่า “แล้วคิดว่ายังไงล่ะ?”
“เราอาจจะต้องฆ่าใครซักคน ถ้ามันไม่ได้ผล เราคงต้องวิ่งหนีอย่างเดียว” ซิงเฉิงพูดหยั่งเชิง นี่เป็นวันแรกของเขากับฉางป๋าจี้ ชายหนุ่มยังไม่คุ้นเคยกับบุคลิกและนิสัยของฉางป๋าจี้ ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังมากขึ้นเมื่อให้ข้อมูลกับอีกฝ่าย
ฉางป๋าจี้พูดอย่างเฉยเมย “ตอนที่อาจารย์ขอให้ฉันมาที่เซี่ยงไฮ้เพื่อช่วยนาย ฉันก็ยอมทำทุกอย่างที่นายขอและจะไม่ถามเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแล้วละ”
“ฮ่าฮ่าฉันดีใจที่นายไม่รังเกียจที่จะเชื่อฟังคำแนะนำจากคนอายุน้อยกว่าอย่างฉัน ฉันไม่ต้องการให้นายรู้สึกว่านายถูกฉันควบคุม” ซิงเฉิงพูดต่อ
ฉางป๋าจี้ส่ายหัวด้วยความไม่เห็นด้วยและพูดว่า “อายุของคนไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของเขา แต่จะขึ้นอยู่กับว่าเขาผ่านช่วงชีวิตมามากแค่ไหน ไม่จำเป็นต้องพูดคุยเกี่ยวกับว่าฉันรู้สึกว่าถูกต้องหรือไม่ ฉันจะทำให้การตัดสินใจของฉันไปพร้อมกันเมื่อฉันรู้จักนายดีขึ้น ถ้าฉันไม่พอใจนาย ฉันจะจากไปหลังจากทำภารกิจสำเร็จ”
“ฉันถูกใจความตรงไปตรงมาแบบนี้ดีแหะ” ซิงเฉิงหัวเราะและเข้าใจปรัชญาของฉางป๋าจี้
“ก็ดีแล้ว” ฉางป๋าจี้พูดอย่างเยือกเย็น
เมื่อถึงเวลาที่หานปิงเสร็จธุระ มันก็เป็นเวลาสองทุ่มเข้าไปแล้ว “ขอโทษที่ให้รอนะทุกคน” หานปิงกล่าวขอโทษเมื่อเธอเดินออกจากออฟฟิศกับเจิ้งปิง
“ไม่เป็นไรหรอก ไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนเถอะ” ซิงเฉิงกล่าวอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกับฉางป๋าจี้และฮาวเหล่ย
เจิ้งปิงเดินไปหาซิงเฉิงแล้วตบไหล่พูดว่า “ไม่เลวเลยซิงเฉิง ฉันรู้ว่าคุณได้ทำทุกอย่างตามความสนใจของหานปิงแล้ว อย่างไรก็ตามฉันยังไม่เข้าใจว่าคุณมีความกล้าพอที่จะพูดคุยกับจ้าวตงเฉินได้อย่างไร คำแนะนำจากฉันระวังตัวให้ดีเพราะเขาไม่ใช่คนง่าย ๆ”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่รอบคอบครับผู้จัดการเจิ้ง” ซิงเฉิงพูดอย่างสุภาพ
เมื่อพวกเขาออกมาจากอาคารซงหยิน คราวนี้รถของซิงเฉิงและหานปิงอยู่ข้างหน้าขณะที่ ฮาวเหล่ยและฉางป๋าจี้ขับตามหลัง ไม่เพียงแต่พวกเขารู้ว่ามีคนติดตามพวกเขาเท่านั้น ฉางป๋าจี้ยังค้นพบด้วยว่ามีรถมากกว่าหนึ่งคันที่ติดตามพวกเขา
ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้โอกาสจ้าวตงเฉินได้อีกต่อไป!
ซิงเฉิงพาพวกเขาไปที่ร้านเสฉวนที่เขาโปรดปราน เมื่อครั้งก่อนหน้าที่ซิงเฉิงมากิน ตอนนั้นเขามากับเซิงติง หากแต่ตอนนั้นพวกเขาแค่ดื่มเหล้ากันเฉย ๆ ชายหนุ่มวางแผนไว้แล้วว่าจะเพลิดเพลินกับอาหารอร่อย ๆ ที่นี่ตลอดเวลานี้
ซิงเฉิงทักทายเจ้าของร้านอาหารอย่างสุภาพก่อนพบโต๊ะนั่งที่ว่างอยู่ พวกนักศึกษาบางคนที่ทานอาหารในร้านอาหารต่างจ้องมองไปยังหานปิงคนงามกันเป็นสายตาเดียว นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย ในยุคนั้นเมื่อฮอร์โมนทำงานอย่างแข็งขัน นี่เป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวสวย ซิงเฉิงเองเป็นเช่นนั้นเมื่ออายุเท่าพวกเขา
“นี่คือร้านประะจำที่นักเรียนแถวนี้มาเยี่ยมชมทุกสัปดาห์เพื่อกิน” ซิงเฉิงอธิบายมิฉะนั้นคนอื่นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกร้านอาหารนี้เพื่อทานอาหารเย็นที่นี่
น่าแปลกใจที่หานปิงถามออกมา “อย่าบอกฉันว่าคุณจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟู่ต๋านหรือโรงเรียนธุรกิจเซี่ยงไฮ้?”
มหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้กับร้านอาหารนี้มากที่สุดคือมหาวิทยาลัยฟู่ต๋านและโรงเรียนธุรกิจเซี่ยงไฮ้ พวกนักศึกษาที่ทานอาหารที่ร้านนี้ปกติต้องมาจากสองสถานศึกษานี้
“ฉันจบการศึกษาจากสาขาปรัชญาของฟู่ต๋าน” ซิงเฉิงอธิบายอย่างง่าย ๆ
ฮาวเหล่ยรู้ดีว่าชีวิตตอนม.ปลายของซิงเฉิงเป็นยังไง เพื่อนของเขาคนนี้มักได้รับจดหมายรักจากสาว ๆ หลายคนในโรงเรียน แล้วแบบนี้คนอย่างเขาจะสามารถเอาชนะใจของซูฉินได้อย่างไร?
หานปิงไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย “นายจบจากฟู่ต๋าน? ฉันคิดว่านายจบแค่ระดับมัธยมปลายเองนะเนี่ย!”
“นี่ฉันดูไร้การศึกษาไร้อารยธรรมขนาดนั้นเชี่ยว?” ซิงเฉิงไม่เคยถูกเยาะเย้ยจากเธอมาก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ก็หัวเราะด้วยความคิดเห็นที่ไร้เดียงสาของหญิงสาว
หานปิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ซิงเฉิงไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเธอเป็นเวลานาน และนี่เองก็เป็นครั้งแรกที่ฉางป๋าจี้และฮาวเหล่ยได้เห็นเสียงหัวเราะของเธอ เธอเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าจริง ๆ นั่นแหละ
เมื่อถูกชายสามคนจ้องมอง หานปิงก็ก้มหน้าลงด้วยความอาย เพื่อช่วยเธอจากความอึดอัดซิงเฉิงจึงเริ่มสั่งอาหารและให้คำแนะนำว่าอะไรอร่อย
ในระหว่างการกินอาหารเย็น มีใครหลายคนที่กังวลกับซิงเฉิง…