บทที่ 28 งดงามกว่าฤดูใบไม้ผลิ
ถนนเหินซางในเซี่ยงไฮ้นั้นดีเท่ากับหมู่บ้านซ๋างลี่ในปักกิ่ง มันมักจะมีสถานที่แบบนี้อยู่เสมอในทุก ๆ เมือง เช่นมีถนนฟูเต่อในซีอานและถนนหลานกุ้ยฟางในเฉิงตู ทุกเย็นเมื่อไฟถนนติด ชายหญิงในเมืองจะมารวมตัวกันที่สถานที่เหล่านี้เพื่อปลดปล่อยหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน ในหมู่ผู้คน บางคนเหงาหรือเศร้า พวกเขาเลือกที่จะกลบความเศร้าและความวิตกกังวลด้วยแอลกอฮอล์ และการนั่งฟังดนตรีสดเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของพวกเขา ที่นี่เป็นที่ที่ผู้คนพึงพอใจและเลือกที่จะแสดงความปรารถนาของพวกเขาผ่านวิธีการที่แตกต่างหลากหลาย
แล้วสำหรับซิงเฉิงล่ะ?
ซิงเฉิงมักจะแวะไปที่บาร์เพื่อฟังเพลงของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาเฝ้า ที่เขาทำแบบนั้นก็เพื่อที่เธอจะไม่ถูกกลั่นแกล้งโดยพวกคนเมาอีก
หญิงคนนั้นคือซูฉิง
ยังก์ (YOUNG) ตั้งอยู่บนถนนเหิงซาน มันเป็นบาร์ที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายและสง่างาม เสิร์ฟแอลกอฮอล์เกือบทุกชนิดรวมถึงไวน์ที่ผลิตเอง อย่างไรก็ตามที่แห่งนี้ไม่มีนักร้องคนใดในที่นี้ที่ตั้งวงดนตรี เจ้าของที่นี่ต้อนรับทุกคนที่ร้องเพลงรวม ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเขาเองก็เป็นคนที่ชอบดนตรีด้วยเช่นกัน
ซิงเฉิงเคยแวะเวียนเข้ามาในบาร์แห่งนี้สมัยมหาวิทยาลัย ต่อจากนั้นเขาก็รับเซียตงและแก๊งของเขาที่นั่น อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มมักจะไปที่นั่นเพียงลำพังและอยู่ต่อทั้งคืนด้วยการดื่มเบียร์หนึ่งแก้วที่เจ้าของร้านแถมให้ฟรี มันเป็นเหมือนตอนที่เขาอยู่มัธยม ในสมัยนั้นเขามักจะไปหาบาร์นันเซี๋ยงที่กำแพงหนานเมิง ซิงเฉิงนั่งฟังเพลงได้ตลอดทั้งคืนโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย
เมื่อกลับมาที่เซี่ยงไฮ้ ซิงเฉิงได้ไปที่ร้านอาหารฟู่ตั้นและเสฉวน แต่ไม่ใช่ที่นี่ มันค่อนข้างจะนานมาแล้วนับตั้งแต่เขามาเยี่ยมครั้งสุดท้าย เขาค่อนข้างแน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ร้องเพลงในบาร์อีกต่อไป
เธอเคยร้องเพลงร้องของเฉินฉีเจิ๋น ไฉเจี๋ยนหยา เฉินลี่ มาเรียนแครี่ และแม้กระทั่งเทเลอร์ สวิฟตลอดเวลา แม้ว่าจะมีบริษัทเพลงที่เสนองานให้กับเธอ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ปฏิเสธพวกเขาทั้งหมดโดยบอกว่านั่นไม่ใช่วิถีชีวิตที่เธออยากเป็นหลังจากนั้น
สภาพอากาศในเซี่ยงไฮ้ยังค่อนข้างอบอุ่นในปลายเดือนตุลาคม ถนนเหินซางเต็มไปด้วยผู้คน ระหว่างการเดินบนถนนที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้สังเกตแล้วว่าไม่มีใครแอบตามพวกเขาทั้งสองคนมา หลังจากจอดรถเมอร์เซเดสเบนซ์ที่ลานจอดรถไม่ไกลจากบาร์พวกเขาก็เดินไปที่ ยังก์ (YOUNG) อย่างรวดเร็ว มันไม่แออัดมากนักเพราะมันไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ มีคนเพียงไม่กี่คนที่นั่งดื่มและสูบบุหรี่อยู่ในนั้น ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งฟังเพลงของจ้าวเหล่ยที่ชื่อ “เฉิงตู” คนคนนี้ไม่ได้หล่อมากนัก แต่มีออร่าที่เปล่งประกายเกี่ยวกับตัวเขาและเพลง “เฉิงตู” ที่เขาร้องเองก็กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก แม้แต่ซิงเฉิงเองก็ชอบเพลงนี้เข้าให้แล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นก็เป็นเพราะซิงเฉิงชอบจ้าวเหล่ยจริง ๆ เขารู้สึกว่าจ้าวเหล่ยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่แท้จริง ในขณะที่นักร้องลูกทุ่งคนอื่น ๆ ร้องเพลงเกี่ยวกับการดิ้นรนและความเศร้าโศกในชีวิต หากแต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่มีความรู้สึกแง่ลบแยู่ในเนื้อเพลงของเขาเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง ทุกเพลงที่เขาร้องเพลงเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเขา เนื้อเพลงของชายคนนี้สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้าสู่พวกเขาเหมือนภาพวาดที่ปลุกเร้าจินตนาการ
ตัวอย่างเช่นในเนื้อเพลงของเพลงนี้ “เฉิงตู” ช่วงที่ซิงเฉิงชอบคือ “สิ่งที่เฉิงตูเอาไปไม่ได้ก็คือคุณ” มันฟังดูฉลาดมากเพราะเฉิงตูมีเรื่องเล่าให้ฟัง
เขาและเธอเคยพบกันที่นี่เมื่อกาลครั้งหนึ่ง เธอไม่ได้อ้างถึงซูฉิน แต่มันหมายถึงผู้หญิงที่เขาเป็นหนี้หม้อไฟ พวกเขาพบกันครั้งแรกใน บาร์ที่ชื่อว่าไทม์ มันตั้งอยู่บนสะพานจู่เยน ในเวลานั้นเขานั่งอยู่คนเดียวฟังเพลงและสูบบุหรี่ ในขณะที่เธอนั่งที่โต๊ะถัดไป และกำลังฟังเพลงอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกัน มีข่าวลือว่าช็อตใหญ่ที่ฉ่วนยู่นั้นทำงานที่บาร์นั้น
บางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตาที่เขาลุกขึ้นไปถามผู้หญิงคนนั้นว่าเธอมาคนเดียวหรือเปล่า
เธอตอบว่า “ฉันมาคนเดียว”
เขาพูดว่า “คุณรังเกียจไหมถ้าผมจะนั่งกับคุณ?”
เธอส่ายหัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ดังนั้นเขาจึงนั่งลง ทั้งสองเริ่มคุยกัน แม้ว่าเธอจะไม่สนใจบทสนทนามากนัก แต่มันก็ดูเหมือนว่าเธอเองก็สนใจเขาอยู่ไม่น้อย
เขาถามว่าเธอมาที่นี่เพื่อพักผ่อนหรือเปล่า
เธอพยักหน้า
ซิงเฉิงบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อพักผ่อนด้วยดังนั้นเขาจึงถามว่าพวกเขาจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า
ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเธอจะปฏิเสธคำขอ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะเธอกลับเห็นด้วย
หลังจากนั้นวันคืนอันแสนโดดเดี่ยวของพวกเขาก็กลายเป็นวันหยุดที่เต็มไปด้วยเรื่องราว พวกเขาเดินผ่านเมืองของเสฉวนด้วยกัน เมื่อพวกเขามาถึงที่ชูแมนจูไฮท์ ทั้งสองคนก็เดินแยกกันไปโดยมุ่งหน้าไปที่มณฑลยูนนานซึ่งเป็นทางที่เขาเดินทางไปทิเบต
เขาคิดว่าเธอเป็นเหมือนกับตัวเขาอีกคน บางทีเธออาจรู้สึกเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติมในความสัมพันธ์ของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับการเดินทางในชีวิต
เขาบอกว่าเขาจะมาหาเธออีกถ้าพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง
เธอเองก็บอกว่าเขาต้องเลี้ยงหม้อไฟเธออย่างน้อยมื้อนึงก่อน
กว่าหนึ่งปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ พวกเขาไม่ได้เจอกันและไม่ได้แม้แต่จะติดต่อกัน
ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้พบที่นั่งจนได้และนั่งลง ซิงเฉิงมองเห็นเข้ากับเจ้าของบาร์ที่ตอนนี้อายุมากกว่า 50 ปีแล้ว หากแต่ความรู้สึกที่อ่อนเยาว์ของคนคนนี้ยังคงอยู่ ดูเหมือนว่าบริกรในร้านนี้จะเป็นคนใหม่ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้จักซิงเฉิงแม้แต่คนเดียว ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะทำงานในบาร์ และทำงานให้บริการแบบนี้ตลอดชีวิตของพวกเขา
“ทั้งสองคนจะรับอะไรครับ?” บริกรถามอย่างสุภาพ จากสำเนียงของเขาใคร ๆ ก็บอกได้ว่าเขามาจากเสฉวน บริกรส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผลการเรียนของพวกเขาน่าจะอยู่ในระดับสูงทีเดียว
ซิงเฉิงสั่งไปแบบง่าย ๆ “เบียร์ 2 ขวด”
“คุณแน่ใจหรือว่าต้องการสั่งเบียร์สองขวดและไม่ต้องการอะไรอีก” บริกรรู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ซิงเฉิงไม่รอคำแนะนำของพนักงานเสิร์ฟ แต่ขัดจังหวะเขาพูดว่า “เอาเท่านั้นแหละ ขอบคุณมาก”
“ได้เลยครับ” พนักงานเสิร์ฟตอบและเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนอารมณ์ดีแน่นอน
หลังจากบริกรออกไป ฉางป๋าจี้ก็พูดล้อเล่นออกมาว่า “ซิงเฉิง นายไม่ได้ตั้งใจจะพาฉันมาที่นี่เพื่อให้ฉันได้สัมผัสกับสถานบันเทิงยามค่ำคืนของเซี่ยงไฮ้ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้หรอกใช่ไหม แถมเบียร์หนึ่งขวดต่อคนมันก็น้อยเกินไป ถ้าเราอยู่ในซีอานเราน่าจะดื่มได้มากกว่านี้”
“ถ้าเราเป็นนักศึกษายากจน ในเวลานั้นแล้ว สิ่งที่เราสามารถหาได้คือเบียร์หนึ่งขวด จากนั้นเมื่อเราคุ้นเคยกับเจ้าของร้านมากขึ้น เขาก็จะแถมเบียร์มาให้อีกหนึ่งขวด” ซิงเฉิงอธิบายพร้อมยิ้ม
เนื่องจากฉางป๋าจี้เป็นคนที่มีประสบการณ์ ทันทีที่ได้ยินเรื่องเล่านั่น เขาก็หัวเราะออกมาทันทีและพูดว่า “ต้องมีเหตุผลที่นายพาฉันมาที่นี่”
“ทั้งหมดที่ฉันต้องการก็คือการรำลึกถึงความทรงจำของฉันอีกครั้ง มันเคยมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องเพลงในบาร์นี้ ฉันชอบเพลงของเธอมากจริง ๆ” ซิงเฉิงอธิบายออกไปโดยไม่ได้ปิดบัง
“แฟนเก่าหรือรักแรกล่ะ?” ฉางป๋าจี้หัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เขาซักไซ้
ซิงเฉิงไม่ได้คาดหวังว่าชายวัย 40 ปีนี้จะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา อย่างไรก็ตามชายหนุ่มเองก็ไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงคำถามดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
“ไม่น่าแปลกใจที่นายเลือกที่จะมาที่นี่ ดูเหมือนว่านายยังไม่สามารถปล่อยวางได้สินะ คนหนุ่มสาวทุกคนล้วนแล้วแต่พูดถึงความรักเสมอ … สำหรับฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนจริงเลย มันไม่มีอะไรที่จริงจังมากกว่าปัญหาชีวิตและความตายอีกแล้ว” ฉางป๋าจี้พูดด้วยสำเนียงมณฑลส่านซี แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะฟังดูค่อนข้างตลก แต่ก็เห็นได้ว่าเขาค่อนข้างเข้าใจผิด
ซิงเฉิงไม่ได้แย้งในสิ่งที่ฉางป๋าจี้พยายามที่จะพูด หากแต่ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไป “ฟังดูสมเหตุสมผล ไม่มีอะไรในโลกที่มีความสำคัญมากกว่าเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตและความตาย”
“หานปิงดูเหมือนคนที่ดี ฉันคิดว่านายชอบเธอมากเพราะนายพยายามอย่างหนักเพื่อปกป้องเธอ ประสบการณ์หลายปีของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าเธอคือจุดอ่อนสำหรับนาย พวกนายสองคนเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ นายมีความสามารถ ส่วนเธอเองก็เป็นคนสวย ” ดูเหมือนว่าฉางป๋าจี้ต้องการเล่นเป็นพ่อสื่อ
ซิงเฉิงกลอกตาของเขา เขาไม่สามารถอธิบายได้เพราะมันอาจทำให้เรื่องแย่ลง
หลังจากเบียร์สองขวดถูกเสิร์ฟ ซิงเฉิงจิบไปเพียงครั้งเดียวในขณะที่ฉางป๋าจี้ซดลงไปทั้งหมด สมแล้วที่เป็นนักดื่มตัวยงฉางป๋าจี้
“เรียบร้อย” ฉางป๋าจี้พูด เขามองดูซิงเฉิงและหัวเราะกับตัวเอง “วันนี้นายเลี้ยงสินะ ขอรับน้ำใจเอาไว้เลยก็แล้วกัน”
ซิงเฉิงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกหลอกยังไงอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจต่อต้านมัน เขาคงเทียบกับฉางป๋าจี้ไม่ได้หากวัดกันเพียว ๆ “บัดไวเซอร์อีกหนึ่งโหลด้วยครับ” เขาตะโกนไปที่บริกร
บริกรร่าเริง เขารับเงินแล้วออกไปรับออร์เดอร์
“มันต้องแบบนี้สิ!” ฉางป๋าจี้พยักหน้ารับการอนุมัติ
ซิงเฉิงฟังเพลงอย่างเงียบ ๆ และดื่มเบียร์ที่ละจิบ เขาเป็นคนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตัวตนปกติของเขาที่ดื่มจากชามใหญ่และกินอาหารจำนวนมากเมื่อเขากิน
ทำไม?
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาอยู่ที่นี่ เขาก็มักจะดื่มเบียร์หนึ่งขวด ซูฉินไม่ชอบให้เขาดื่มเบียร์เลยจำกัดให้เขาเพียงครั้งละขวดเท่านั้น
หลังจากพวกเขากินเบียร์อีกขวด นักร้องประจำก็ได้หยุดพักจากการร้องเพลงและบอกว่าจะกลับมาทำงานในอีกครึ่งชั่วโมง
ซิงเฉิงใช้โอกาสนี้ในการขึ้นไปหานักร้องประจำถิ่นและถามว่า “ฉันขอยืมกีตาร์ของคุณสักครู่ได้ไหม?”
นักร้องนั้นดูจะสงสัย
ซิงเฉิงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ฉันอยากจะร้องเพลง”
แม้ว่าผู้จัดการของบาร์จะเป็นคนใหม่ แต่พวกเขาก็ยินยอมอนุญาตให้ลูกค้าร้องเพลง ดังนั้นนักร้องพยักหน้าและส่งกีตาร์ให้กับซิงเฉิง เขานั่งลงตรงจุดที่ซูฉินเคยนั่งและหันไปพูดคุยกับนักดนตรีคนอื่น ๆ เพื่อความสุขของซิงเฉิง นักดนตรีพวกนั้นดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับเพลงที่เขาต้องการร้อง หลังจากทั้งหมดนี้ก็เป็นเพลงมาตรฐานของบาร์แห่งนี้
ซิงเฉิงทดสอบไมโครโฟน เมื่อชายหนุ่มพร้อมเขาก็ให้คิวกับนักดนตรีในวง ก่อนที่ซิงเฉิงจะประกาศให้คนในบาร์ฟังว่าเขาจะร้องเพลง “งดงามกว่าฤดูใบไม้ผลิ”
มาถึงตอนนี้บาร์ก็เต็มไปด้วยแขกจำนวนมาก พวกเขาส่งเสียงชื่นชมออกมา บางคนถึงขนาดกรีดร้องให้กำลังใจ ฉางป๋าจี้ดูประหลาดใจกับภาพที่เกิดขึ้น แต่เขาก็เริ่มส่งเสียงเชียร์
ทันใดนั้นเพลงก็เริ่มบรรเลงขึ้น
ซิงเฉิงเริ่มดีดกีตาร์และเปิดปากร้อง
“คิดถึงคุณบนถนนวงแหวนที่สอง”
“คุณยืนอยู่บนยอดเขาสวยงามกว่าฤดูใบไม้ผลิ”
“เมื่อลมพัดมาที่คุณฝนก็ตกลงมา”
“ฉันบอกว่าไวน์ทั้งหมดไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับคุณได้”
“ในตอนกลางคืนในศาลาฉันกำลังร้องเพลงให้คุณ”
“โหยหาการพบปะที่เงียบสงบของเรา”
“เครื่องบินบินผ่านเมืองต่าง ๆ”
“แต่ปฏิเสธที่จะออกไปไกลกว่าหนึ่งพันไมล์”
“ใบไม้ผลิในเช้าวันหนึ่ง”
“แปลงคำทั้งหมดเป็นความลับปิดประตู”
“อารมณ์หวานของความรักที่ไม่สามารถอธิบายได้ฉันขอใครที่จะนำมันออกไป”
“แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นเพลงและทิ้งไว้ข้างหลัง…”
เมื่อเสียงของซิงเฉิงดังขึ้น และตามมาด้วยเสียกีต้าร์ นั่นมันก็ทำให้ทุกคนในบาร์แห่งนี้คิดว่าเขาเป็นนักร้องมืออาชีพและไม่ใช่มือใหม่ พูดตามตรง เขายังดีกว่านักร้องประจำของที่นี่เสียอีก ชายหนุ่มมีเสียงต่ำและแหบอันทรงเสน่ห์
ผู้ชมยังคงเงียบเมื่อพวกเขาฟังซิงเฉิงร้องเพลง ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงฉางป๋าจี้เองด้วยเช่นกัน
เขาร้องซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
เขาร้องเพลงบทสุดท้าย
แล้วในตอนที่ซิงเฉิงร้องมาจนถึงท่อนสุดท้ายแล้ว
“ฉันบอกว่าไวน์ทั้งหมดไม่สามารถเทียบกับคุณได้…”
เสียงปรบมือและเสียงกรีดร้องปนเปกันไปทั่ว ในหมู่พวกเขา ฉางป๋าจี้ปรบมือดังที่สุด
ซิงเฉิงเพียงแค่โบกมือให้ทุกคนแล้วพูดพึมพำขอบคุณ
จากนั้นเขาก็ส่งกีตาร์กลับไปที่นักร้องเจ้าถิ่นที่ยังคงอยู่ในอาการตะลึง ก่อนจะเดินไปที่ฉางป๋าจี้และพึมพำ “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนออกไปทิ้งบาร์เอาไว้เบื้องหลัง
ในชั้นที่สองของบาร์ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่…