บทที่ 29 เป็นไปไม่ได้
เพลงเก่า ๆ บางเพลงอาจต้องการนักร้องที่เป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตมามากในการบอกเล่าถึงประสบการณ์ของพวกเขา ตัวอย่างเช่นเมื่อเพลง “มองย้อนกลับไป” ร้องโดยนักร้องหนุ่ม เขาคนนั้นจะไม่สามารถดึงเอาแก่นแท้ของมันเพลงออกมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการร้องเพลงเดียวกันด้วยนักร้องวัยกลางคน เนื่องจากมันเหมาะสำหรับซิงเฉิงที่จะร้องเพลง “งดงามกว่าฤดูใบไม้ผลิ” และมันก็ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มจะสามารถร้องเพลง “มองย้อนกลับไป” ได้ไพเราะ
มองย้อนกลับไปอดีตเป็นเหมือนความฝัน
มองย้อนกลับไปหัวใจของฉันยังคงเหมือนเดิม
ถนนที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่กับฉัน…
อาจต้องใช้เวลาอีก 20 ถึง 30 ปี ก่อนที่ซิงเฉิงจะเข้าใจเรื่องของหัวใจ
ฉางป๋าจี้เดินตามซิงเฉิงอย่างใกล้ชิดขณะที่พวกเขาออกจากบาร์ เขาคิดกับตัวเองว่าถ้าเขาเป็นเหมือนซิงเฉิง เขาคงจะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถหาผู้หญิงได้อีกเลยตลอดชีวิต
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีอะไรดีนอกเหนือไปจากการต่อสู้ เขาไม่มีทักษะและความสามารถที่โดดเด่นอื่น ๆ อีก
ในขณะที่ซิงเฉิงออกจากบาร์ หญิงสาวบนชั้นสองยังคงร้องไห้ ในความเป็นจริง เธอรู้สึกตกตะลึงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นซิงเฉิงปรากฏตัวในบาร์ ลากยาวมาจนกระทั่งชายหนุ่มร้องเพลงเสร็จ เมื่อนั่นเธอก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป
หญิงสาวเป็นเจ้านายคนใหม่ของบาร์แห่งนี้ เธอมักจะมาเยี่ยมเพียงครั้งเดียวในเวลาไม่กี่วัน บางคนรู้ว่าเธอเคยเป็นนักร้องประจำในบาร์ที่เคยทำงานพาร์ทไทม์ในที่แห่งนี้สมัยช่วงมหาวิทยาลัย ต่อมาเมื่อเจ้าของบาร์ย้ายไปต่างประเทศ หญิงสาวก็ได้เข้าซื้อบาร์แห่งนี้และดำเนินธุรกิจต่อจากเจ้าของคนเก่า พนักงานส่วนใหญ่ที่นี่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี แท้จริงแล้วเธอไม่ได้มีความปรารถนาที่จะหาเลี้ยงชีพผ่านการทำงานในบาร์ ที่เธอทำแบบนี้ก็เป็นเพราะเธอคิดถึง
“เป็นอะไร ซูฉิน?” ผู้ชายที่นั่งอยู่ถัดจากเธอถาม เขาไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ซึ่งเขาไล่ตามจีบมานานกว่าหนึ่งปีอยู่ในขณะนี้กำลังร้องไห้ อย่างไรก็ตามเขาสามารถรู้สึกได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับคนที่ร้องเพลงนี้เมื่อสักครู่นี้
ซูฉิน ผู้หญิงคนหนึ่งได้ทิ้งความทรงจำเอาไว้มากมายให้ชีวิตของซิงเฉิง เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ใช่ผู้หญิงในตระกูลหลินที่หลงรักซิงเฉิง
เธอมีผมสีดำยาวถึงเอว สวมกระโปรงยาวลายดอกไม้ ที่ห้อยลงมาจากคอของเธอเป็นสร้อยคอพร้อมจี้ราคาแพง จี้หยกนี้เคยเป็นของซิงเฉิง แต่เขามอบให้ซูฉินในวันเกิดปีที่ 18 ของเธอ ในขณะที่ซูฉินก็ให้จี้ของตัวเองกับซิงเฉิงในวันเกิดปีที่ 18 ของเขาเช่นกัน
ดวงตาของซูฉินนั้นใหญ่และหม่นหมอง หญิงเริ่มที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ ซูฉินเช็ดน้ำตาของเธอและพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่นึกถึงเรื่องแย่ ๆ อะไรบางอย่างน่ะ”
“ช่วงนี้เธอคงทำงานหนักมากเกินไป อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศไปหาที่เที่ยวบ้างไหม? ฉันได้ยินมาว่าปาเลาเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ หรือว่าจะไปที่ดาซี่ดีล่ะ?” ชายที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยปากเชิญชวนซูฉิน เขาเป็นดาวรุ่งดวงใหม่และกำลังจะเกิดในวงการการเงินในเซี่ยงไฮ้ ดูเหมือนว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่ซูฉินจะยอมรับในตัวเขา มันเป็นความเชื่อทั่วไปที่ว่าการไปเที่ยวด้วยกันจะช่วยให้คู่รักรู้จักกันมากขึ้น เพราะมันเป็นช่วงเวลาระหว่างการเดินทางที่ผู้หญิงคนนั้นจะเริ่มต้องการที่จะพึ่งพาผู้ชายสักคน และการอยู่คนเดียวกับคนคนนั้น นั่นก็จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ของทั้งเขาและเธอ
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น ไว้เราจะพูดเรื่องนี้กันทีหลัง” ซูฉินส่ายหัวตอบ
“เอาเถอะ ถ้าเธอต้องการล่ะก็ จะที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น” ชายคนนั้นไม่ได้ดึงดัน เขาแค่ยิ้มและทำตัวเหมือนสุภาพบุรุษไปตามปกติ
เมื่อซูฉินสัมผัสจี้หยกที่ห้อยอยู่บนคอ เธอก็พลันนึกถึงเรื่องเก่า ๆ รอยยิ้มอันงดงามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว และในที่สุดเธอก็พูดออกมาว่า “มันดึกแล้ว ฉันว่าฉันต้องกลับบ้าน”
“ให้ฉันไปส่งให้เอาไหม” ชายคนนั้นรีบลุกขึ้นในทันที
“ไวน์เปรียบกับคุณไม่ได้” … เมื่อซูฉินครุ่นคิดถึงเรื่องเนื้อเพลงของเพลงของซิงเฉิง เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่า “คุณ” ในเนื้อเพลงนั้นจริง ๆ แล้วอ้างถึงตัวเธอเองหรือไม่…
ด้านนอกของยังก์ (YOUNG) เมื่อซิงเฉิงและฉางป๋าจี้เดินจากไป พวกผู้ชายที่ซุ่มโจมตีก็พยายามบอกผู้สมรู้ร่วมคิดตามท้องถนนโดยพูดว่า “น้องสี่ พวกมันออกมาแล้ว เตรียมตัวจู่โจมได้
ผู้คนที่แอบตามซิงเฉิงและฉางป๋าจี้ได้จอดรถข้างเมอร์ซิเดสของชายหนุ่ม มันอยู่ภายในตรอกด้านหลังที่เขาได้จอดรถไว้ ทำเลที่ว่าเงียบสงบ ไม่ค่อยมีผู้คนผ่าน มันเหมาะมากที่จะทำตามแผนของพวกเขา หากรถของพวกเขาจอดอยู่ในสถานที่ที่มีการจราจรหนาแน่น มันคงเป็นเรื่องแปลกที่ศัตรูจะอาศัยจังหวะดังกล่าวในการโจมตี
ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้เข้ามาใกล้ซอยที่พวกเขาจอดรถ มันก็ได้มีชายสองสามคนตามอยู่ข้างหลังพวกเขา ฉางป๋าจี้หันไปสบตากับซิงเฉิง เขาเห็นรอยยิ้มเย็น ๆ ที่ไม่คุ้นเคยบนใบหน้าของอีกฝ่าย มันดูตรงกันข้ามกับนิสัยปกติของชายหนุ่ม
เมื่อพวกเขาเข้าไปในซอย ชายสี่คนนั่นก็โผล่ออกมา ด้านหลังยังมีชายอีกห้าคนปรากฏตัว พวกมันปิดกั้นทางเข้าซอยไว้หมดแล้ว ชายสี่คนที่ด้านหลังแต่ละคนถือมีดในมือของเขา โชคดีที่พวกนี้ไม่ถือปืน นี่เป็นเพราะเซี่ยงไฮ้ทั้งมีกฎหมายเรื่องการครอบครองอาวุธปืนอย่างเข้มงวด ใครก็ตามที่พกจะถือเป็นความผิดทางอาญาอย่างรุนแรง
“พี่ชายจำคนผิดแล้วมั้ง?” ฉางป๋าจี้เอยทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เขาเคยผ่านสถานการณ์เลวร้ายกว่านี้มามากเกี่ยวกับพวกอันธพาล
หัวหน้ากลุ่มที่ว่าเรียกพี่สี่ เขาเป็นอันธพาลที่โฉดชั่วที่สุดของจ้าวตงเฉิน พี่สี่เป็นนักสู้ที่มีฝีมือ ชายคนนี้เดินเข้าไปใกล้เป้าหมายทั้งสองพร้อมกับมีดในมือ “ไม่ผิดหรอก พวกนายสองคนนี่แหละ”
“พวกเราไปสร้างเรื่องอะไรเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?” ซิงเฉิงพูดทีเล่นทีจริง
ซอยด้านหลังตกอยู่ในความมืดเพราะแม้แต่หลอดไฟบนถนนก็ไม่มี ช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีใครผ่านไปมาได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ที่ตั้งนี้จึงยอดเยี่ยมสำหรับการโจมตีดังกล่าว
พี่สี่ไว้ผมยาวและย้อมสีเหลืองจนดูเหมือนนักร้องเพลงร็อค เขามีรูปร่างที่ดีและดูมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน เขาหัวเราะและพูดว่า “ลืมไปเหรอ? บ่ายนี้ในการประชุม แกไม่ใช่คนที่ลุกขึ้นยืนและข่มขู่พี่จ้าวอย่างนั้นเหรอ หรือไม่รู้ว่าพี่จ้าวทำอะไรในเซี่ยงไฮ้ได้บ้างหรือไงกัน”
เมื่อฉางป๋าจี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็ตอบไปว่า “โอ้ พวกแกคงเป็นลิ่วล้อของจ้าวตงเฉินสินะ ฉันคิดว่าเพื่อนคนหนึ่งของฉันทำให้ลูกสาวคนหนึ่งของคุณท้องแล้วพวกแกเลยมาแก้แค้นให้ซะอีก วันหลังก็บอกกันดี ๆ สิ”
“โง่รึเปล่าวะ” พี่สี่รู้สึกประหลาดใจที่คนตรงหน้าสองคนยังจะมีอารมณ์มายืนเล่นละครลิงกันอยู่อีก
สำหรับฉางป๋าจี้ การพูดคุยทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ในเวลาเดียวกันซิงเฉิงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ ชายหนุ่มบอกกับพวกมันไปตรง ๆ ว่า “พวกแกหลอกตัวเองรึเปล่าว่าจะจัดการเราสองคนได้ นี่พวกแกจะโง่จริง ๆ สินะ?”
ซิงเฉิงนิ่งไปสักพักหลังจากที่พูด ก่อนที่เขาจะอาศัยจังหวะนั่นดังกล่าวพุ่งตัวเข้าไปหาชายคนที่ถือมีดยาวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ฉางป๋าจี้เองตามหลังซิงเฉิงไปติด ๆ หน้าที่ของฉางป๋าจี้คือการปกป้องซิงเฉิงรวมถึงการจัดการกับคนที่คิดจะเข้ามาก่อกวน
พี่สี่ไม่ได้คาดหวังว่าซิงเฉิงจะมีอารมณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดีก็เถอะ เขาตะโกนว่า “โจมตี ฆ่าให้หมดทั้งสองคน!
หลังจากที่เขาตะโกนเสร็จ มันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซิงเฉิงเข้ามาถึงตัวเขาแล้ว เมื่อเห็นแบบนั้นพี่สี่จึงใช้มีดยาววาดฟันไปทางซิงเฉิง อย่างไรก็ตาม เขาคงไม่มีทางที่จะสู้กับซิงเฉิงได้ แม้แต่หยางเติงก็พ่ายแพ้มาแล้ว สำหรับซิงเฉิง ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กน้อยเลยชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบมีดที่ฟันผ่านหน้าอกไปได้อย่างสบาย ๆ ทันใดนั้นซิงเฉิงก็รวบรวมพลังของเขา ก่อนที่จะกระแทกเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายด้วยหมัด
พี่สี่พุ่งออกมาโจมตีซิงเฉิงอีกครั้งโดยกัดฟันทนความเจ็บปวดเอาไว้ ทว่าแต่แขนของเขากลับถูกจับด้วยมือของชายหนุ่ม ดูเหมือนพี่สี่จะรู้ตัวแล้วการจะจัดการกับซิงเฉิงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ดังนั้นเขาถึงทิ้งมีดไป
เมื่อเปรียบเทียบกับซิงเฉิงแล้ว ฉางป๋าจี้เองก็สามารถจัดการกับพวกลูกน้องของอีกฝ่ายได้อย่างสบาย ๆ อย่างเดียวที่พวกมันมีคือมีด อย่างไรก็ตามพวกลูกน้องของพี่สี่ก็ทำได้แค่เพียงควงมีดของพวกมันไปมา ฉางป๋าจี้สามารถเอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังบี้มด
ฉางป๋าจี้เข้าจัดการพวกมันด้วยมีดที่เขาถืออยู่ในมือข้างหนึ่ง ทุกอย่างดูราวกับว่ามันง่ายดายสำหรับเขา ในขณะที่ฉางป๋าจี้พุ่งเข้าและออกจากพวกมัน กลุ่มคนพวกนั้นก็พากันล้มลงกับพื้น โชคดีที่ฉางป๋าจี้ยับยั้งชั่งใจไว้ได้บ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้มีดยาว มิฉะนั้นชายทั้งห้าคนนี้คงจะตายไปแล้ว ฉางป๋าจี้รู้ว่าเป้าหมายหลักของพวกเขาไม่ใช่ปลาเล็กปลาน้อยพวกนี้ แต่จะเป็นคนที่ตามมาต่อจากนี้ตังหาก
ซิงเฉิงยังสามารถจัดการไปได้อีกสองสามคน แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูง่ายเหมือนที่ฉางป๋าจี้ลงมือ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น! พี่สี่ก็หยิบมีดขึ้นจากที่พื้นและกำลังจะลอบโจมตีซิงเฉิงจากด้านหลัง เมื่อเห็นแบบนั้นฉางป๋าจี้ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าและเตะหลังชายคนนั้นเพื่อส่งเขาปลิวไปชนเข้ากับกำแพงด้านข้าง
“ฉันโครตละจะดูถูกคนที่แอบโจมตีจากด้านหลังเลย เป็นฉันคงจะฆ่านายซักหนึ่งร้อยครั้งไปแล้วถ้าพวกเราไม่อยู่ในเซี่ยงไฮ้” ฉางป๋าจี้สบถขณะที่เขาเหยียบย่ำคนที่เขาเตะจนปลิว
พวกนักเลงทั้งหมด ซึ่งก็รวมไปถึงหัวหน้าของพวกมันเองก็ล้วนแล้วแต่นอนขดอยู่บนพื้น พากันครวญครางด้วยความเจ็บปวด แม้ว่าฉางป๋าจี้และซิงเฉิงจะไม่ทำร้ายพวกเขาด้วยมีด แต่หมัดและการเตะก็เพียงพอที่จะทำให้กระดูกอีกฝ่ายหักและทำให้บางคนถึงกับหมดสติ
นี่คือความแตกต่างระหว่างนักสู้ฝีมือดีและพวกอันธพาล
“ฉันจะเล่นกับแกเอง” ซิงเฉิงพูดกับพี่สี่พร้อมกับหัวเราะ
ฉางป๋าจี้รู้ดีว่าเขาต้องทำอะไร ในพริบตาพวกเขาก็บังคับให้พี่สี่เข้าไปในรถเมอร์เซเดสเบนซ์ และก็เป็นหน้าที่ของซิงเฉิงซึ่งดื่มเบียร์ไปเพียงขวดเดียวที่จะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่เงียบสงบนอกเมืองที่ทั้งสองคนสามารถทำงานให้เสร็จได้
เมื่อรถของพวกเขาแล่นผ่าน ยังก์ (YOUNG) ซูฉินและผู้คุ้มกันของเธอก็พึ่งจะขึ้นรถ แม้ว่าซิงเฉิงจะเห็นซูฉิน ทว่าเขาก็อยู่ห่างไปกว่า 100 เมตร ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยแน่ใจมากนัก ชายหนุ่มคิดในใจว่า “เป็นไปไม่ได้”
เขายิ้มและปลอบโยนตัวเอง โดยคิดว่าเป็นเพราะความคิดถึงเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เขาจินตนาการถึงสิ่งต่าง ๆ ซิงเฉิงรู้ว่าทุกคนเข้าใจผิดว่าซูฉินกลับมาแล้ว แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เลิกกันเพราะพวกเขาหยุดรักกันหรือมีมือที่สามที่เข้ามา มีแต่ทั้งสองคนที่คนเป็นคนที่รู้เหตุผลที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้ซิงเฉิงจึงไม่เคยคิดที่จะโทษซูฉิน
ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้ไปยังสถานที่ร้างและทำการสั่งสอนพี่สี่อย่างหนัก มันทำให้พวกเขาได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับจ้าวตงเฉิน และในที่สุดซิงเฉิงก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าจ้าวตงเฉินกับโจวเหวินหวู่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในเทียนฉุย และอยู่หลังเบื้องหลังการซุ่มโจมตีในคืนนี้
ในที่สุดพวกเขาก็ปล่อยพี่สี่คนนั้นไป ทั้งสองคนปล่อยพี่สี่ตัดสินใจเอาเองว่าเขาจะต้องการรายงานต่อจ้าวตงเฉินอย่างไร
ตอนนี้ก็เป็นเวลาตีสี่แล้ว พวกเขาตัดสินใจกลับไปที่เคหะฮัวหลุน 9 ไมล์ หานปิงหลับไปนานแล้ว ส่วนฮาวเหล่ยเอง เขาก็นอนหลับอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้เหนื่อยมาทั้งคืน พวกเขาก็เลือกที่จะทิ้งตัวลงนอนบนพื้น
ในวันต่อมา นอกเหนือจากการปกป้องหานปิง ซิงเฉิง ฉางป๋าจี้และฮาวเหล่ยก็เริ่มติดตามจ้าวตงเฉินและโจวเหวินหวู่อย่างลับ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนการของพวกเขา