บทที่ 30 ฆ่าคนเพียงหนึ่งคน…
ก่อนที่จะกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซิงเฉิงเคยเดินทางไปทั่วโลก เขาคาดหวังเพียงเล็กน้อยที่จะมีส่วนร่วมในปัญหาของครอบครัวหาน เขาป้องกันตัวเองจากปัญหาทุกรูปแบบอยู่เสมอแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสามารถ หากมีคนในครอบครัวหานที่สามารถแบกรับความรับผิดชอบของครอบครัวและแก้ไขปัญหาได้ เขาคงจะไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม
น่าเสียดายที่หานปิงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังเพื่อเผชิญกับปัญหาทั้งหมดทั้งภายในและภายนอก ดังนั้นเมื่อผู้เฒ่าหวู่และเฉินเป่ยหมิงหายไป อีกทั้งพวกเขายังไม่ทราบว่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ในเวลานี้จึงไม่มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่ซิงเฉิงมีนอกเหนือไปจากที่จะต้องยืนหยัดอย่างมั่นคงที่ด้านหน้าเพื่อตอบโต้พายุที่กำลังมาถึง
ในวันต่อมาหานปิงยุ่งมาก เธอต้องงมอยู่กับกองเอกสารในบริษัทออกแบบของเธอเอง ไหนจะเรื่องการประกาศล้มละลายและการปรับโครงสร้างบริษัทเกาผิงอีก โชคดีที่เจิ้งปิงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากบริษัท เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเช่นจ้าวตงเฉิง และเขาเองก็ไม่เหมือนกับหลิวเหอจุน เจ้าคนขี้ขลาดที่พยายามหลบหนีสถานการณ์ ในความเป็นจริง เขาได้ชมเชยความพยายามของหานปิงในการปรับโครงสร้าง บริษัทอย่างไม่เห็นแก่ตัว โชคดีที่เป็นแบบนี้ มิฉะนั้นซิงเฉิงจะมีปัญหามากขึ้นในการจัดการ
ภายในไม่กี่วัน ซิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ได้รับข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของจ้าวตงเฉินและโจวเหวินหวู่ อย่างไรก็ตามพวกเขาลังเลว่าระหว่างจ้าวตงเฉิงและโจวเหวินหวู่ ใครดีที่ควรจะถูกกำจัดก่อน
การกำจัดจ้าวตงเฉินนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะเขาเป็นแค่คนทรยศ สำหรับโจวเหวินหวู่ พวกเขามีความเสี่ยงที่จะโดยทำร้ายจากคนที่คอยหนุนหลังชายคนนี้หากพวกเขาไม่ระวัง หากสิ่งนี้เกิดขึ้นพวกเขาจะต้องหนี
ในเมืองไซ้จู้ มีคนอื่นเฝ้าดูสถานการณ์ของซิงเฉิงอย่างใกล้ชิด แท้จริงแล้งคนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ในตรอกซอกซอยทางตะวันตกของตลาด มีบ้านหลังหนึ่งที่มีทางเข้าและทางออกถึงสามทาง มีขุนนางที่ร่ำรวยมากคนหนึ่งเป็นเจ้าของ ประตูบ้านหลังนี้ปิดแน่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีรถตำรวจลาดตระเวนตามถนนบ่อยครั้ง มันจึงทำให้สถานที่ส่วนใหญ่มีความสงบเรียบร้อยอย่างมาก
ในตอนเช้าตรู่ ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังออกกำลังกายตอนเช้าที่ลานบ้าน ด้วยใบหน้าที่เป็นสี่เหลี่ยมและมีคิ้วหนาเขาดูเหมือนเป็นผู้บังคับบัญชา ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ถูกครอบงำด้วยโลกของตัวเอง จากหมัดของเขาดูเหมือนว่าเขากำลังจะฝึกหมัดไทฉี๋ของเฉิน ชายวัยกลางคนยืนหยัดอย่างมั่นคงโดยไม่ขยับร่างกายส่วนล่างเลยแม้แต่น้อย ทุกย่างก้าวของเขานั้นทรงพลัง แต่ก็ควบคุมได้ แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้
“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในเซี่ยงไฮ้ เราจะไม่ทำอะไรเลยเหรอ?” ชายร่างใหญ่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายวัยกลางคนรอให้เขาออกกำลังกายจนเสร็จและเริ่มพูดไปพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในเวลาเดียวกัน
ชายวัยกลางคนที่สวมรองเท้ากีฬาหยิบผ้าเช็ดตัวและเช็ดเหงื่อออกจากหัว เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “เราช่วยอะไรได้บ้างละ ถ้าพวกเขาไม่สามารถจัดการเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้สำเร็จในอนาคต”
“ผมแค่เป็นห่วงว่าชีวิตของเขาจะตกอยู่ในความเสี่ยงหลังจากทั้งหมด ยังไงเขาก็อายุแค่ 25 เท่านั้น มันคงไม่เป็นเรื่องดีที่มือของเขาจะเปื้อนเลือด” ชายร่างใหญ่ถอนหายใจ น้ำเสียงฟังดูไม่แน่ใจ นี่ไม่ใช่ตัวตนปกติของเขาเลย
“มันจะไม่คุ้มค่ากับความพยายามของฉันเอานะสิ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับท่านหวู่ที่สาม ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นเพียงปัญหาของโจวเหวินหวู่ เพราะงั้นก็ให้เขาเล่นกับมันไปก่อน อ่อใช่ ฉันได้ข่าวว่าเขาไปว่าจ้างผู้ช่วยเพิ่มมาคนสองคนจากแถว ๆ ซีอาน ฉางป๋าจี๋มีฝีมือมากทีเดียว แม้แต่เขาก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของชายคนนั้น ฉันคิดว่าคงไม่มีปัญหาใด ๆ กับเขา นายคิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาที่เสียเวลาถึงสองปีในการเดินทางรอบโลกหรือไง ?” ชายวัยกลางคนโยนผ้าเช็ดตัวของเขาออกไป ก่อนจะหยิบกรงนกขึ้นมาแล้วกลับไปที่ร้านอาหาร พวกผู้รับใช้ที่นั่นได้เตรียมอาหารเช้าของเขาด้วยขนมปังและโจ๊กไว้แล้ว
ชายร่างใหญ่ติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่เขาเดินเข้าไปในร้านอาหาร ถึงตอนนี้เขารู้สึกสับสนและพูดว่า “ผมจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้วยังไงเขาก็ไม่ใช่ลูกชายของผม”
“นายพูดอะไรเมื่อนายอายุ 25 ปี ตอนนั้นผมประสบความสำเร็จอย่างมาก นั่นต้องขอบคุณตาเฒ่าของฉันที่ทิ้งฉันไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเฉยชา ทุกครัวเรือนมักมีความท้าทายของตนเองที่บุคคลภายนอกไม่ได้รับรู้ มันเป็นเรื่องง่ายไหมที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างมากมายและกลับมาเป็นเหมือนเดิมในวันนี้?
หลังจากที่เขารวบรวมความคิดของเขา ชายวัยกลางคนก็พลันพูดต่อว่า “อย่าปล่อยให้ฉินรับรู้ว่าเราได้พบเขาแล้ว ไม่งั้นเธอคงจะกระจายเรื่องนี้ออกไปแน่”
“ผมเข้าใจแล้ว” ชายร่างใหญ่นึกถึงอารมณ์ที่ไม่ดีของลูกสาวคนโตของเจ้านายและสั่นเทา เขาต้องเก็บเรื่องนี้ไว้จากเธอ เขาถอนหายใจแล้วนั่งลงเพื่อกินอาหารเช้า
ในอาคารสูงแห่งหนึ่งที่ศูนย์กลางทางการเงิน ผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งตื่นจากการนอนหลับและยังคงอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าคุณสมบัติของเธอจะยอดเยี่ยม แต่ท่าทางของเธอค่อนข้างเฉื่อยชา ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก หญิงสาวจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอ มันเป็นภาพถ่ายเก่าของเด็กผู้หญิงแก้มแดงที่กุมมือของเด็กชายผู้ร่าเริงคนหนึ่งไว้ จากเครื่องแต่งกายของพวกเขา สามารถคาดเดาได้ว่านี่เป็นภาพถ่ายอย่างน้อย 10 ปี และพื้นหลังอยู่ที่จัตุรัสพิพิธภัณฑ์กู่ก๋อง
หญิงสาวไม่รู้ว่าเธอจ้องที่รูปถ่ายนานแค่ไหน หากแต่ดวงตาของเธอเริ่มน้ำตาคลอ เธอลูบพวกมันขณะที่วางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงแล้วเดินช้า ๆ ไปที่หน้าต่างเพื่อดึงม่านให้เปิดออก แสงจากดวงอาทิตย์สาดไปทั่วทั้งห้องและทำให้เธอสดชื่น นี่เป็นวันใหม่ที่มีสภาพอากาศดูแจ่มใส เธอสามารถเห็นการจราจรและผู้คนด้านล่างเคลื่อนไปตามถนนยุ่งกับชีวิตของตัวเอง
หญิงสาวถอนหายใจและพูดพึมพำว่า “น้องชายตัวน้อยของฉัน นายเป็นอย่างไรบ้าง นี่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันคิดถึงนายมากเลยรู้ไหม นี่นายอยู่ที่ไหนกันแน่?”
หญิงสาวยังคงสวมชุดนอนของเธอยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มันช่างเป็นภาพที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด มันแย่มากที่ไม่มีใครสามารถชนะใจเธอคนนี้ได้ หญิงสาวได้แต่ยืนงงงวยที่หน้าต่างเป็นเวลานานก่อนที่ในที่สุดเธอจะรู้สึกตัว และพึมพำออกมาอีกครั้ง “ฉันจะพบนายแน่นอน นอกจากฉันแล้ว คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้แกล้งนายเด็ดขาด!”
ในเมืองที่วุ่นวายของเซี่ยงไฮ้ที่มีประชากรเกือบ 20 ล้านคน หากใครจะหายไป มันก็คงเป็นเหมือนกับก้อนหินที่จมลงสู่ก้นทะเลโดยไม่มีร่องรอยใด ๆ ในที่สุดซิงเฉิงและฉางป๋าจี้ก็ตัดสินใจที่จะเริ่มการเคลื่อนไหวครั้งแรกของพวกเขาแล้ว
ผ่านไปอีกวัน เมื่อหานปิงทำงานของวันนั้นเสร็จ ซิงเฉิงก็จัดแจงส่งเธอกลับไปที่เคหะฮัวหลุน 9 ไมล์ทันทีหลังจากนั้น ก่อนที่เขาและฉางป๋าจี้จะรีบออกเดินทาง ทิ้งไว้เพียงฮาวเหล่ยไว้กับหานปิง พวกเขาตัดสินใจจัดการกับโจวเหวินหวู่คืนนี้
ทั้งสองคนมาที่ย่านระดับสูงภายในพื้นที่ซูหุย หลังจากทำงานมาสองสามวัน ในที่สุดฉางป๋าจี้ได้ทำความคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้แล้ว เขาพบว่าโจวเหวินหวู่จะมาเยี่ยมคนรักของเขาทุกวันเสาร์ คนรักของเขาไม่ใช่ใครอื่นดังนอกจากดาราดังที่ปรากฏบนหน้าจอบ่อยครั้ง เธอคนนี้มีเรื่องราวอื้อฉาวกับดาราชายจำนวนมาก ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าทำไมเธอสนใจคนอย่างโจวเหวินหวู่ได้ มันอาจเป็นเพราะเงินทองของเขาที่ทำให้เธอหลงรัก
เนื่องจากเขากลัวที่จะเจอกับปาปารัสซี่ ดังนั้นโจวเหวินหวู่จึงมีคนขับและบอดี้การ์ดประจำการอยู่นอกชุมชนเสมอ ส่วนเขาก็จะไปคนเดียวเพื่อพบกับผู้หญิงคนนั้น เขามักจะมาในตอนกลางคืนและกลับในตอนเช้า นาน ๆ ครั้งเขาจึงจะอยู่อีกคืนหนึ่ง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความมีวินัยของเขา
เมื่อถึงเวลา ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้ก็มาถึงตัวอำเภอ หลังจากเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้งเพื่อไม่ให้โจวเหวินหวู่ค้นพบ พวกเขาก็มาถึงจุดหมายเร็วกว่าที่คาดไว้ ทั้งสองคนเห็นเมอร์ซิเดสของโจวเหวินหวู่ด้านนอกประตู พวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายใช้รถคันนี้เมื่อเขามาที่นี่เท่านั้น วันอื่น ๆ เขาจะไปรอบ ๆ ด้วยโรลรอยซ์เบนท์ลี่ของเขา
ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้มองหน้ากันและพอใจที่ได้พบอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้พวกเขาค่อนข้างกังวลว่าโจวเหวินหวู่จะไม่กลับอีก ถ้าเป้นแบบนั้นพวกเขาคงทำอะไรอีกไม่ได้ ทั้งสองคนกระโดดข้ามกำแพงเตี้ย ๆ ที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้ ก่อนจะสำรวจพื้นโดยรอบเพื่อมุมที่กล้องรักษาความปลอดภัยจะไม่สามารถจับภาพได้
ชายสองคนซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบเล็ก ๆ ที่มีพุ่มไม้เตี้ย ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกค้นพบ นี่ก็เป็นทำเลที่ตั้งอยู่ตรงข้ามอพาร์ทเมนท์ของสุภาพสตรีที่พวกเขาสามารถเห็นภาพเป้าหมายได้อย่างชัดเจน มีโอกาสมากที่ทั้งคู่จะใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เพื่อเข้าถึงตัวโจวเหวินหวู่
พวกเขารอตั้งแต่สามทุ่ม ไปจนถึงตีหนึ่ง ในระหว่างนั้นพวกเขาก็พยายามระมัดระวังอย่างมากเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ลาดตระเวนโดยรอบ หลังจากห่อบุหรี่ทั้งหมดว่างเปล่า และขาที่เริ่มมีอาการเหนื่อยล้า ในที่สุดโจวเหวินหวู่ก็ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด
“เขามาแล้ว” ฉางป๋าจี้พูดพร้อมกับถ่มน้ำลายออกมา
ชายสองคนเดินไปหาโจวเหวินหวู่อย่างรวดเร็ว และอย่างที่พวกเขาคาดไว้ คนคนนีัใช้ทางลัดอย่างที่คิด! ฉางป๋าจี้กำลังซุ่มอยู่ที่ริมทะเลสาบในขณะที่ซิงเฉิงกำลังรอสัญญาณอยู่ไม่ไกลจากเขา เกรงว่าพวกเขาจะถูกพบและความพยายามทั้งหมดของพวกเขาจะเสียเปล่า โชคดีที่เป็นตอนกลางคืนและไม่มีคนอยู่รอบ ๆ
โจวเหวินหวู่ยังคงคิดถึงว่าคนรัก และลีลาบนเตียงของเธอ เขายิ้มออกมา และคาดหวังถึงความพึงพอใจที่จะได้รับจากดาราสาวคนนี้ สิ่งที่เขารักมากที่สุดคือภาพที่ไร้เดียงสาของเธอ และความแตกต่างเมื่อเธออยู่บนเตียงกับเขา
ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนจะไม่ชอบความรู้สึกที่สามารถเอาชนะเทพธิดาอันแสนบริสุทธิ์ได้หรือ?
เมื่อโจวเหวินหวู่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง ฉางป๋าจี้ก็ใช้โอกาสนั้นลอบเข้ามาด้านหลังของอีกฝ่าย ตามปกติแล้วโจวเหวินหวู่มักจะเป็นคนที่ระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการนัดพบกับคนรัก รอบตัวเขาตอนนี้ปราศจากบอดี้การ์ด และไม่ได้เตรียมตัวสำหรับอันตรายและการจู่โจมอย่างไม่ทันคาดคิดแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ฉางป๋าจี้กระแทกหัวของโจวเหวินหวู่ด้วยด้ามมีดในมือ ฉางป๋าจี้ซัดลงไปอย่างเต็มแรงจนทำให้โจวเหวินหวู่ล้มลงหมดสติในทันที
ฉางป๋าจี้นำอุปกรณ์ทั้งหมดที่เขาเตรียมไว้จากในพุ่มไม้ออกมา เขาทำเชือกมัดโจวเหวินหวู่และยัดชายที่กำลังหมดสติลงในกระสอบ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ซิงเฉิงว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองคนช่วยกันแบกกระสอบเดินจากไป…
ซิงเฉิงและฉางป๋าจี้กำลังขับรถที่ถูกขโมยมุ่งหน้าไปยังเกาะฉงหมิน เมื่อพวกเขามาถึงที่เปลี่ยว พวกเขาก็เอาเสื้อผ้าที่ห่อมาปิดตาของโจวเหวินหวู่ก่อนหน้านี้
“พวกแกเป็นใคร ทำแบบนี้คิดว่าฉันเป็นใครกันห๊ะ!!?” โจวเหวินหวู่ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้โจมตี เขาได้แต่สาปแช่งอีกฝ่ายเมื่อผ้าในปากของเขาถูกเอาออก
ซิงเฉิงส่ายหัวและหัวเราะอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าเรารู้ว่าแกเป็นใคร แกคือความชั่วร้าย โจวเหวินหวู่ผู้ไม่สนใจกฎหมายและความสงบเรียบร้อย โจวเหวินหวู่ที่มีชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้ แต่โชคไม่ดีที่คุณไม่รู้ว่าเราเป็นใคร”
อย่างไรก็ตามโจวเหวินหวู่ก็สงบลงเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาลดเสียงลงอย่างรวดเร็วและพูดว่า “คุณต้องการอะไรจากฉัน เงิน ผู้หญิงสวย หรือสถานะ ฉันสามารถให้คุณทั้งหมดนี้เพียงแค่ปล่อยให้ฉันไป”
“ปล่อยไป คิดว่ามันเป็นไปได้หรือไง เรารู้จักแกดี ถ้าเราปล่อยแกไป เราจะตายโดยไม่ทันที่จะรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ” ซิงเฉิงคิดว่าข้อเสนอของชายคนนี้ไร้สาระ ทุกคนกลัวที่จะตาย โดยเฉพาะโจวเหวินหวู่ที่ทำได้ดีในชีวิตของเขา
“แล้วต้องการอะไร?” โจวเหวินหวู่ถามพร้อมกัดฟันของเขาไว้แน่น
ซิงเฉิงตอบไปอย่างง่าย ๆ “อยากให้แกตายไง”
“ทำไม?” โจวเหวินหวู่คิดว่าเขาต้องรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องตาย.
ซิงเฉิงตะโกนออกมาและพูดว่า “ทำไม? จะบอกให้แล้วกันนะ แกได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรตั้งแต่ที่หาน เกาผิงเสียชีวิต ทำไมแกถึงข่มขู่ผู้หญิงที่ทำอะไรไม่ได้ ไอ้ชั้นต่ำอย่างแกน่ะ! ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่ ต่อให้แกมีอำนาจแค่ไหน ฉันก็จะแก้แค้นอยู่ดี”
“ซิงเฉิง หยุดพล่ามไร้สาระแล้วจัดการให้จบ ๆ เถอะ” ฉางป๋าจี้หาวขณะที่เขาเริ่มรู้สึกง่วงนอน
ซิงเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเราจะช้าแล้ว ถ้างั้นเอาเป็นว่าพวกเราจะส่งแกไปที่ชอบ ๆ ละกันนะ หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องมาเจอกันอีกในชาติหน้า”
หลังจากที่เขาพูดถ้อยคำเหล่านั้น ซิงเฉิงก็จัดแจงยัดเอาผ้าเข้าไปในปากของโจวเหวินหวู่ หลังจากนั้นฉางป๋าจี้ก็ตีเขาจนหมดสติ ชายสองคนช่วยกันอุ้มร่างนั้นขึ้นและกำลังจะนำเขาไปไว้ในถังน้ำมันที่พวกเขาเตรียมมา ซิงเฉิงดึงมีดออกมาและกำลังจะแทงมันเข้าไปในตัวของโจวเหวินหวู่
แต่ฉางป๋าจี้เข้ามารับไว้แล้วพูดว่า “ฉันทำเอง”
ซิงเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ส่งมีดให้กับฉางป๋าจี้ เขาพาดมันไว้ที่คอของโจวเหวินหวู่ แล้วหยุดเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ฉางป๋าจี้จะแทงมีดเข้าไปในหัวใจของโจวเหวินหวู่อีกสองสามครั้ง ในขณะที่แทง ฉางป๋าจี้เกือบจะรู้สึกถึงความตื่นเต้นของตัวเขาเอง การแสดงออกที่พึงพอใจบนใบหน้าของชายคนนี้ ทำให้ผู้คนโดยรอบที่พบเห็นพากันรู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกสันหลังของพวกเขา สำหรับฉางป๋าจี้แล้ว การฆ่าคนมันก็เหมือนกับการฆ่าไก่หรือวัวควายนั่นแหละ
ซิงเฉิงที่เห็นภาพนี้ก็ถึงกับผงะไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉางป๋าจี้ฆ่าคน