บทที่ 21 มุ่งหน้าสู่เขตไร้อาณา
พอพูดถึงเธอ เธอก็มาถึงแล้ว เธอกระโดดขึ้นมาบนรถม้า เธอมีชื่อว่าโคลเอ้ เห็นแบบนี้เธอก็แข็งแกร่งมากนะ
“องค์หญิง”
เธอโค้งให้ฉันแล้วก็เดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้าม พร้อมแสดงสีหน้าเสียดายออกมาไม่น้อย แน่นอนว่าคนที่นั่งกอดแขนฉันตอนนี้คือเลวี่
เธอโตขึ้นมาแล้วท่าทางเอาแต่ใจไม่แพ้น้องสาวในโลกเดิมฉันเลยแถมเธอยังชอบเขม่นใส่โคลเอ้บ่อยๆ ด้วย
ทำไมต้องตีกันด้วยนะ ฉันส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า รอบๆ รถม้าหรูยังมีกองทัพอัศวินอีกเยอะ
เรียกได้ว่าหรูหราสุดๆ ก็แบบองค์หญิงเสด็จออกนอกประเทศก็มีการคุ้มครองที่ดีอยู่แล้วใช่ปะละ
ถึงฉันจะไม่ใช่องค์หญิงจริงๆ แค่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้นก็เถอะนะ แต่เรื่องนั้นนอกจากท่านพ่อท่านแม่เหมือนจะไม่มีใครทราบแม้แต่ฉันด้วย
“แล้วลาน่าล่ะ”
ฉันถามเลวี่ ทั้งคู่เหมือนจะสนิทกันมากจนน่าประหลาด นี่ถ้าเลวี่ไม่ใช่น้องสาวฉันคงคิดว่า เลวี่ร่วมมือกับลาน่าเตรียมสังหารฉันแล้วนะ
แน่นอนว่าที่ถามไม่ได้แปลว่าเป็นห่วงลาน่า แต่เพราะไม่อยากอยู่ใกล้ตัวอันตรายแบบนั้นนี่น่า
ลาน่านี่อดทนมาแปดปีเลยนะ แผนการฆ่าฉันนี่ค่อนข้างจะเตรียมการอย่างดีละสิ คนแบบนี้ค่อนข้างน่ากลัวเพราะมีแผนการซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อมากมาย
ขนาดโคลเอ้ ฉันยังระวังตัวจากเธอเลยถึงฉันจะสอนเธอแต่ไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่ตลบหลัง โลกนี้น่ะ.. ต้องไม่อ่อนข้อโดยเด็ดขาด
ดังนั้นพวกที่มีแผนการสุดลึกล้ำน่ะ น่ากลัวจะตายไป.. เลวี่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจจ้องมาที่ฉัน
“ท่านพี่จะถามหาเธอทำไม ทั้งๆ ที่…”
เลวี่ไม่พอใจใส่ฉัน.. แถมยังเหลือบไปมองโคลเอ้ด้วย นะ.. นี่หรือว่า.. เลวี่ก็รู้ถึงแผนการที่ลาน่าจะลอบสังหารฉันแล้วเหรอ
เธอเลยโกรธที่ฉันถามหามือสังหารสินะ! ช่างเป็นน้องสาวที่ดีอะไรแบบนี้ ไอ้คำว่า ‘ทั้งๆ ที่…’ ต่อจากด้านหลังนั่นคือ
‘เธอพยายามฆ่าท่านพี่อยู่แท้ๆ’ ใช่ไหม?! อีกอย่างที่เหลือบไปมองโคลเอ้คือเพราะมีคนนอกอยู่ด้วยจึงพูดไม่ได้สินะ!!
โอ้ ช่างเป็นน้องสาวที่ดีอะไรแบบนี้ ฉันซาบซึ้งใจยิ่งนัก แน่นอนที่ฉันเดาความคิดเลวี่ได้เพราะรู้จักเธอมานานหลายปีแล้ว
อันที่จริงที่ฉันบอกว่าเธอสนิทกับลาน่าคือ เธอทะเลาะกับลาน่าแถมยังเคยบอกว่าอย่ามาจุ้นจ้านในห้องท่านพี่ได้ไหม!?
อะไรแบบนี้ แต่ตอนนั้นฉันไม่แน่ใจอาจจะหูฝาดไปเอง แต่ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าน้องสาวตัวน้อยนี้กำลังแอบช่วยเหลือฉัน
ก็ว่าอยู่บางครั้งเธอก็โผล่มาแต่ไหนไม่รู้ขัดขวางการอยู่สองต่อสองของฉันกับลาน่า ที่แท้เพราะรู้ทัน
(อันที่จริงคือ หึงเท่านั้น.. แถมบอกว่า ‘ทั้งๆ ที่..’ คำพูดต่อจากนั้นคือ ‘ทั้งๆ ที่มีตัวขัดขาแล้วคนหนึ่งอย่างขุนนางดาบคนนี้’ แล้วก็เหลือบมองไปยังโคลเอ้.. นั่นคือความคิดของเลวี่…)
ด้วยความที่ฉันซาบซึ้งกินใจมาก เลยเอื้อมมือไปลูบหัวเลวี่พร้อมกับยิ้มออกมาพลางพูดออกไป
“อืม.. พี่เข้าใจในสิ่งที่เลวี่จะบอกนะ ขอโทษนะ”
ขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วงนะเลวี่ แล้วดูเหมือนเธอจะดีใจจนออกนอกหน้าแล้วก็ร้องเย้ออกมาอย่างพอใจ
(เลวี่เข้าใจว่า พี่สาวเข้าใจว่าตัวเองหวงพี่สาวแล้ว เลยขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดแบบนั้น)
แต่ฉันไม่คิดว่าท่านแม่จะปล่อยให้ฉันไปคนเดียวกับน้องโดยไม่มีคนดูแลและคุ้มกันตอนอยู่ในโรงเรียนแน่ๆ
จะว่าไปทำไมรถยังไม่ออกสักทีละเนี่ย แต่ในตอนนั้นเองประตูรถม้าก็เปิดออก คนที่น่ารำคาญที่สุดในสามโลกก็ปรากฏตัวขึ้น
“โย่ววว เลวี่ เลทิเซีย”
อืม.. ไม่ต้องเดานะ ผู้หญิงที่ปรากฏตัวขึ้นคือเทพธิดาซิลเวีย ดูเหมือนจะเป็นน้องสาวของท่านแม่ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญมากๆ
เป็นคนที่เสแสร้งจนแบบว่าเห็นได้ชัดเลยล่ะ แค่มองก็รู้ว่านี่แสดงอะไรบางอย่างอยู่ไม่ใช่ใจจริง ดังนั้นฉันเลยคิดว่า
ซิลเวียน่ารำคาญมาก เพราะถึงจะพยายามแต่ฉันก็มองออก แทนที่จะเลิกทำแต่ดันยังทำต่อเหมือนคิดว่าตัวเองแสดงได้เก่งจนฉันรู้สึกแทบจะทุบโต๊ะด้วยความตลก
ก็ลองนึกสภาพดูตอนที่ดูละครทีวี ที่ดูแล้วนอกจากจะดึงอารมณ์ร่วมไม่ได้ ยังแสดงจนทำให้ไม่เข้าถึงว่าไม่ใช่การแสดง
แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นเลย ทำเอาฉันรู้สึกทึ่งไม่น้อย… แต่จะว่าไปสิ่งที่ซิลเวียซ่อนอยู่คืออะไรกันนะ
แต่เพราะดูออกว่าแสดงอยู่ ฉันจึงระวังตัวไว้ได้ ดังนั้นฉันจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอเปิดเผยว่าวางแผนทำอะไรอยู่
ตั้งแต่ใช้ให้ตัดเล็บ อาบน้ำ ซักผ้า เรียกได้ว่าจากเทพธิดากลายเป็นยาจก แต่ไม่รู้ความมั่นหน้าแบบไหนทำให้เธอแสดงต่อไปและเต็มไปด้วยความมั่นใจว่า
ตัวเองแสดงดีที่สุด!
เลยถือเป็นคนที่ฉันรำคาญมาก แต่ก็ไม่ได้เกลียดอะไร.. เอ่อ.. อันที่จริงฉันก็ไม่เคยเกลียดใครอยู่แล้วนะ
เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ… หลังจากนั้นท่านพ่อท่านแม่ก็โผล่มาบอกลาและพวกเราก็ออกไปจากเมืองหลวง
ก่อนที่จะจากท่านแม่เหมือนจะร้องไห้ด้วยล่ะ.. ไม่อยากเชื่อว่าจะดีใจจนร้องไห้ที่ฉันออกจากคฤหาสน์ขนาดนี้ (เขาเสียใจลูก)
พวกเรามุ่งหน้าออกจากเมือง ไม่ใช่ว่าประเทศหนึ่งมันอาณาเขตเล็กๆ มันขนาดกว้างใหญ่หลายพันตารางกิโลเมตรเลยล่ะ
แต่แน่นอนว่าภูมิประเทศไม่ใช่สี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังนั้นมันอาจจะกว้างยาวใหญ่ แตกต่างกันออกไป
อาณาจักรอาเดฟ คืออาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ตั้งอยู่ติดกับชายฝั่งทะเล.. และทางทิศใต้นั้นยังเป็นชายแดนที่คาบเกี่ยวกับแดนปีศาจด้วย
แดนปีศาจนั้นเหมือนจะถูกแบ่งเป็นอาณาจักรเช่นกันถึงสิบสองอาณาจักร.. แถมอาณาจักรหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศในแดนมนุษย์มาก จากคำบอกเช่าของลาน่า
ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันมาจากอาณาจักรปีศาจไหน แต่ก็ไม่คิดจะไปแดนปีศาจอยู่แล้วล่ะ.. พวกเรามุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันออกตรงกันข้ามกับทะเล
ที่กลางมหาทวีปนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทะเลสาบแห่งความตาย’ อยู่ ชื่อค่อนข้างน่ากลัวเลยนะเนี่ย
มันอยู่นอกเขตการปกครองของทุกอาณาจักรทั่วทวีป พวกเขาเรียกมันว่า ‘เขตไร้อาณา’ และเขตพิเศษของโรงเรียนทั้งห้าก็ตั้งอยู่ที่นั่น
เป็นเขตที่แม้แต่ผู้กล้าก็ไม่อาจสอดแทรกมือได้เพราะอยู่ใต้บัญญัติของโรงเรียนทั้งห้า ที่มีมหาปราชญ์คุ้มครอง.. ถ้าฉันเดาไม่ผิดพวกปราชญ์นี้
เหมือนจะอยู่ในระดับพาลาดิน ซึ่งเทียบเท่ากับผู้กล้าได้เลย.. แถมในโลกนี้พาลาดินยังมีแค่ห้าคนด้วยน่ะนะ
และโรงเรียนลิเบอร์ที่ฉันจะไปก็คือหนึ่งในโรงเรียนของพาลาดินที่ว่านั่น มีทั้งเผ่าปีศาจ เผ่ากึ่งมนุษย์ เผ่าอสูรและเผ่ามนุษย์…
เอาล่ะ.. มาดูกันซิว่า ฉันจะเอาตัวรอดในแดนทุรกันดารที่ไม่มีใครคุมกะลาหัวนี่ได้ยังไง
ก็นั่นไงมีคำพูดที่ว่า.. ไม่ขึ้นตรงต่อที่ใดจึงไม่มีคนคอยควบคุม
พวกมันจึงกลายเป็นแดนที่วุ่นวายมากนั่นเอง..
(แน่นอนว่านี่ เจ้าตัวแค่มโนไปเองคนเดียว)
…………