บทที่ 27 โรงเรียนเวทมนตร์
และตั้งแต่ออกจากอาณาจักรอาเดฟมาก็ผ่านไปแล้วสามเดือน! โชคดีที่สามเดือนที่ผ่านมาไม่เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันรุนแรงขึ้น
ในตอนนี้ฉันที่นั่งอยู่บนรถม้าสามารถมองเห็นเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางของทะเลสาบ และมีสะพานข้ามเพื่อไปถึง
แม้จะไม่มีกำแพงกั้นทะเลสาบ แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ อีกไม่นานพวกเราก็ถึงเขตไร้อาณาแล้ว อันที่จริงแถบชายฝั่งทะเลสาบก็นับเป็นพื้นที่ที่ไม่ขึ้นตรงต่ออาณาจักรใดๆ แล้ว
แต่ในตอนนั้นกระจกหน้าต่างด้านข้างฉันก็สังเกตเห็นบางอย่างเลยดึงดูดสายตาฉัน ฉันจึงหันไปมอง
ด้านขวามือคือมีที่นั่งเล่นอยู่ คล้ายกับสวนสาธารณะเลยแหละตรงนี้ บางทีอาจจะสร้างไว้เผื่อสำหรับคนจรจัดที่ไม่ได้นับเป็นคนจากอาณาจักรใดๆ
แถมถ้ามาอยู่ในเขตนี้ยังได้รับการคุ้มครองจากพาลาดินระดับสูงอีกด้วย แต่บนเก้าอี้ยาวฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอสวมชุดที่ค่อนข้างรุงรัง เคลื่อนไหวยากมาก เอาจริงๆ มันคือชุดขององค์หญิงนั่นแหละ มีผมสีชมพูยาว
กำลังนั่งถือขวดแก้วอยู่ ในขวดแก้วที่เป็นหลอดมียาอยู่นั้น ที่ฉันรู้เพราะว่าฉันก็เคยเห็นมาก่อนพวกยาที่เป็นของเหลว
ยาในมือซ้ายเป็นยารักษาไข้ ยาในมือขวาคือยาหยุดพิษ ส่วนในขวดใหญ่ตรงกลางเป็นยาชำระล้างร่างกาย
แล้วเธอก็เทมันใส่กันก่อนที่ในพริบตานั้นก็ “ตู้ม!!!” จู่ๆ ยาก็แตกออก แต่น่าตกใจที่มันไม่มีแรงสั่นสะเทือนอะไรเลย
หลังจากระเบิดไปแล้ว ควันเริ่มหายไปจากแรงระเบิด ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันไม่ใช่พื้นที่สาธารณะอุดมสมบูรณ์อีกต่อไป.. มันกลายเป็นสุสาน ต้นไม้แห้งเหี่ยว
หญ้าก็ไร้ชีวิต… เดี๋ยว ยาสามอย่างมันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีทำไมมันอันตรายแบบนี้
“บ้าเอ๊ย ขนาดยายังอันตรายขนาดนี้นะ..”
ฉันคิดในใจ ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญแบบไหนเพราะผู้หญิงผมสีชมพูเงยหน้าขึ้นมามองฉันพอดิบพอดี
ฉันไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เพราะดวงตาของเธอสุกใสมาก ในระดับที่ว่าเหมือนกับกระจกหลากสีกำลังทอแสงเลยแหละ
“ยาไม่ได้อันตรายเฟ้ย อยากตายหรือไงห้ะ เธอน่ะ?!”
“เอ๋..?”
ฉันเผลอตกใจออกมา เอ๋.. เธอพูดกับฉันเหรอ? ไม่สิ ฉันไม่ได้พูดอะไรสักหน่อยนะ อย่างน้อยก็แค่คิดในใจนี่น่า
แต่สายตาจะกินเลือดกินเนื้อนั่นมองมาที่ฉัน.. ฉันก็ทุบมือทันที! อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง นี่คือการหาเรื่องในโลกใบนี้สินะ!?
ก็แบบในโลกเดิมมีอยู่ใช่ไหมที่แบบ หลอกให้เด็กซื้อของแล้วพอพ่อแม่ไปทวงก็แบบทำตัวเป็นมาเฟียหาเรื่องไรแบบนี้
ในโลกนี้ก็คือ.. การทำยาแตกต่อหน้าขู่ให้กลัวแล้วถ้าเราไปเถียงสืบต่อด้วยจะยิ่งน่ารำคาญ.. หึ ไม่ได้กินฉันหรอกจะบอกให้ เจ้าพวกมาเฟียจากต่างโลก!
คิดได้แบบนั้นฉันก็ปิดผ้าม่านดักหน้าทันที ฟู่ว อันตรายนะเนี่ย เกือบไปแล้ว เกือบลืมไปว่านี่คือโลกที่โหดร้าย
พวกเราเดินทางกันต่อ สะพานทำจากอิฐปูนเป็นเสาค้ำลงไปใต้ทะเลตลอดทาง พอมาถึงในเขตไร้อาณา
ที่นี่เป็นเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเกาะของทะเลสาบ แต่พวกเราไม่ได้หยุดพักเพราะเหลือเวลาไม่มากแล้วสำหรับการเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่
หลังจากเดินทางต่อ โดยการตรงไปเรื่อยๆ สุดเมืองอีกด้านจะมีสะพานที่เชื่อมไปยังเขตอะไรสักอย่าง ห่างไกลออกไปเป็นเกาะขนาดเล็กที่ปลายสะพานเชื่อมไป
มันขนาดประมาณ 5 ใน 10 ของเกาะนี้แม้จะบอกว่าเล็กแต่ขนาดก็ใหญ่มากไม่แพ้กัน และที่นั่นเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง ป่า ภูเขาหิมะ ภูเขาไฟ ฯลฯ
มันเต็มไปหมด! และมีกำแพงล้อมรอบเกราะอีกด้วย..
“ว้าว ดูนั่นสิคะ ท่านพี่!”
เลวี่ตื่นเต้นมากเธอกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ โคลเอ้ก็ตาเป็นประกายมีแค่ซิลเวียที่รู้สึกเบื่อหน่าย
“จะดีใจไปกันทำไม โรงเรียนก็เหมือนกรงขัง ต้องอยู่ภายใต้กฎทำนั่นทำนี่ไปวันแค่นั้นเอง เชอะ!”
“เธอนั่นแหละที่ไม่เข้าใจน่ะซิลเวีย!”
(ถ้าได้เรียนห้องเดียวกันกับท่านพี่แสดงว่าต้องได้มีเวลาอยู่กับท่านพี่มากขึ้น เพราะปกติตอนอยู่คฤหาสน์พักหลังท่านพี่ไปฝึกคนเดียวเพราะงั้น… นี่คือสวรรค์!)
เลวี่ทำหน้าไม่พอใจใส่ซิลเวีย อืมๆ น้องสาวฉันมีมิตรสัมพันธ์ที่ดี คงจะดีใจมากที่ได้มีเพื่อนเพิ่มมากขึ้นสินะ (ไม่สนใจเลยสักนิด)
ก็นะ ฉันพนันได้เลยว่าไม่นานเลวี่ต้องมีเพื่อนแน่ๆ ว่าแล้วฉันก็ยิ้มออกมาและลูบหัวให้เลวี่
“ท่านพี่เข้าใจความสุขของเลวี่ใช่ไหมคะ?” (ที่ได้อยู่ด้วยกัน)
พอเธอรู้สึกถึงฉันที่กำลังลูบหัวเธออยู่ เธอก็หันมาอ้อนฉันซะอย่างงั้น น้องสาวนี่ก็เป็นน้องสาววันยังค่ำจริงๆ นะ
แน่นอนว่าฉันเข้าใจ สำหรับคนแบบเลวี่นั้นการที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมกับความสนุกที่ไม่เคยมี
เพราะปกติอยู่แต่ในคฤหาสน์ ดังนั้นเลยไม่มีเพื่อน พอมาเจอกับโรงเรียนที่มีทั้งเพื่อนทั้งความรู้ เป็นธรรมดาที่เธอจะตื่นเต้น
ในฐานะพี่ชา— เอ่อ พี่สาวแล้วฉันต้องสนับสนุนเต็มที่! นี่คือชีวิตวัยเรียนของน้องสาวที่น่ารัก! (ไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด!!)
“แน่นอนสิ! พี่จะอยู่ข้างๆ เลวี่เอง”
แน่นอนเวลาที่หาเพื่อน.. ฉันจะอยู่ข้างคอยเป็นกำลังให้น้องสาวอยู่เงียบๆ เอง ถึงใจจริงก็คือ ต้องการดูว่าใครคิดแผนชั่วร้ายใส่น้องฉันหรือเปล่า
(ในขณะที่เลวี่เข้าใจไปว่า เลทิเซียบอกจะอยู่กับเธอไปตลอดเหมือนกัน ทำให้เลวี่ดีใจมาก)
เธอกระโดดเกาะแขนฉันอีกรอบ โคลเอ้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเหมือนจะทนไม่ไหวอีกเธอพูดออกมา
“ข้า.. ข้าก็จะอยู่ข้างๆ องค์หญิงเพื่อปกป้ององค์หญิงเอง! โลกใบนี้มันโหดร้ายนะองค์หญิงเพราะงั้นพวกเราต้องร่วมมือกัน!”
“ฝากด้วยนะโคลเอ้”
ถึงฉันจะบอกแบบนั้นก็เถอะ แต่โคลเอ้เป็นคนขี้ระวังมาตั้งแต่ตอนนั้นจะว่าไป เธอก็ยังระวังแม้แต่ฉัน แต่ก็นะเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
เพราะฉันยังระวังเธอนี่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจเลยสักนิด แต่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างมี (พวกเอ็งแค่มองโลกในแง่ร้าย)
ในตอนนี้พวกเราเดินทางเข้าไปยังเขตโรงเรียน อันที่จริงฉันก็พึ่งสังเกตว่า มีรถม้าคันอื่นเริ่มโผล่ทยอยมาแล้ว
อีกอย่างคือ รถม้าดูเหมือนจะมีแต่พวกชนชั้นสูงทั้งนั้นเลย แน่นอนว่าในโรงเรียนลิเบอร์เข้มงวดมาก
นอกจากจะต้องมีสิทธิ์ในการเข้าเรียน แต่ยังต้องทดสอบด้วยหากไม่ผ่านเกณฑ์ก็จะไม่รับเข้าโรงเรียน!
แม้จะเป็นขุนนางมาจากไหนก็โดนปฏิเสธได้นั่นเอง! นอกจากรถม้าของเราแล้วก็ยังมี ม้าไร้หัว.. ม้าดูลาฮาน!
เอ่อ.. ของแบบนี้ก็มีนะ เหมือนจะเป็นรถม้าของเผ่าปีศาจ ในขณะที่มีบางคนขี่รถม้า ที่ไม่มีม้า! บ้าไรเนี่ย!
เหมือนจะเป็นพวกกึ่งมนุษย์ ว่ากันว่าเผ่านี้เป็นเผ่าเดียวที่ใกล้เคียงภูตมากที่สุด และอยู่ติดกับคำว่า ‘ธรรมชาติ’ มาก
ในขณะที่นอกเหนือจากรถม้าไม่มีม้า และม้าปีศาจดูลาฮานแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือ
รถม้าที่ไม่ใช้ม้าแต่ใช้ไวเวิร์น! บินได้ด้วย.. อืม.. นี่คงไม่ใช่รถม้าเราควรเรียกมันว่า รถไวเวิร์นสินะ จะว่าก็ว่าไปแล้ว
นี่คงเป็นพวกเผ่าอสูรละมั้ง ฉันรู้สึกระวังตัวขึ้นมากเพราะแรงกดดันไม่รู้มาจากที่ไหน ทั้งยังมีบรรยากาศที่เหมือนจะเกลียดกันเหมือนเด็กไม่ถูกกันด้วย
และในขณะเดียวกัน.. พวกเราก็ก้าวเข้าสู่ภายในกำแพงของโรงเรียน! ข้างหน้าคือทางที่สร้างจากอะไรสักอย่าง แบ่งขั้นขาไปกับขากลับด้วยพุ่มไม้
ในขณะที่ข้างถนนมีต้นไม้ที่มีใบเป็นสีเขียวสบายตา กลิ่นอายธรรมชาติเต็มไปหมด ความประทับใจแรกสำหรับฉันคือ เป็นโรงเรียนที่ดี
แต่อย่าลืมว่า… ในโรงเรียนน่ะเป็น.. มหากาพย์ดินแดนทุรกันดารเหมือนในอดีตที่ฉันเคยประสบมา การถูกกลั่นแกล้ง!
ฉันจะไม่ประมาทแม้เพียงเสี้ยว
เอาล่ะมาเลย!
โรงเรียนเวทมนตร์ ลิเบอร์!
………
[โรงเรียนลิเบอร์]
หนึ่งในห้าโรงเรียนที่ใหญ่ก็จริง ในความเป็นจริงโรงเรียนนี้มีความแข็งแกร่งพอๆ กับโรงเรียนอื่น แต่ทว่าปัจจุบันกลับมีนักเรียนประหลาดย้ายเข้ามาเรียน ซึ่งแต่ละคนสร้างภัยพิบัติให้โรงเรียนได้เลยทีเดียว