บทที่ 42 ผีหลอก
ฉันตื่นขึ้นมาในห้องที่มีเพดานไม่รู้จัก นอนในเตียงที่ไม่รู้จักทำให้ฉันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดีดตัวขึ้นทันทีในเวลาต่อมา
“ที่นี่ไหน?”
“ฟื้นแล้วเหรอ องค์หญิง?”
ในตอนนั้นเองเสียงใครสักคนดังขึ้นใกล้ๆ ฉันเลยหันไปตามสัญชาตญาณ น่าแปลกใจที่ฉันเห็นคือลาน่า
จริงสิ ทำไมลาน่าถึงมาอยู่ที่นี่ ฉันคิดว่าที่นี่น่าจะไม่สามารถนำเมดส่วนตัวมาด้วยได้เพราะนักเรียนจะขาดความรับผิดชอบในการช่วยเหลือตัวเอง
อุตส่าห์คิดว่าจะได้อยู่ห่างจากมือสังหารลาน่าแล้วสักทีนะ ฉันถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อืม..ว่าแต่ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?”
ฉันจำอะไรไม่ได้จริงๆ เรื่องก่อนที่จะหลับ แล้วลาน่าก็คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบฉันว่า
“ข้าได้ยินว่า องค์หญิงจู่ๆ ก็ล้มลงไปตอนอยู่ในเมือง… แต่ข้าตรวจสอบดูเหมือนจะเป็นสภาวะเวทมนตร์ไม่คงที่”
“สภาวะเวทมนตร์ไม่คงที่? เวทมนุษย์ทำได้ขนาดนั้นเลย?”
“….ประเด็นคือมันไม่ใช่เวทมนุษย์ค่ะ”
ฉันที่กำลังยืนงงก็เข้าใจขึ้นมาทันที นี่เป็นผลของพลังเวทปีศาจสินะ จะว่าไปพลังเวทมนุษย์นั้นมันน้อยนิด
สำหรับมนุษย์คงไม่มีสภาวะแบบนี้ ต่อให้มีจริงก็คงแค่รู้สึกหิวหรือปวดท้องอะไรแบบนั้นเท่านั้น แต่สำหรับปีศาจคือล้มหลับไม่ตื่นเลยก็มี
ลาน่าเขาบอกมาแบบนี้อะนะ ฉันถึงกับรู้สึกกลัวขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะสภาวะเวทมนตร์ไม่คงที่นี้ ทำให้ฉันฝันร้ายแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่เคยฝันมาก่อนสินะ
“จะว่าไปทำไมเธอถึงสวมชุดพยาบาลแบบนั้น?”
จู่ๆ ฉันก็พึ่งจะสังเกตเห็นชุดกาวน์พยาบาล.. ไม่สิ คุณหมอมากกว่าสินะเป็นชุดสีขาวยาวจนถึงขา
แถมด้วยความที่ปกติลาน่าไม่ค่อยปล่อยฉัน เพราะสวมชุดเมดแต่พอปล่อยฉันลงมาในชุดสีขาวทำให้มันเข้ากันมากเลยแหละ
แถมเพราะเธอสูงอยู่แต่เดิมแล้ว ชุดหมอเลยดูเหมาะกับเธอมาก เหมือนกับปราชญ์ผู้สูงส่ง ถึงข้างในจะเป็นนักฆ่าผู้แข็งแกร่งก็เถอะ
ลาน่าเธอได้ยินคำถามของฉันก็ทำท่าทางเหมือนรอคำถามนี้มานานแล้ว เธอหมุนตัวรอบหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นใส่ตัวเอง
“ข้ามาเป็นครูพยาบาลที่นี่ค่ะ เห็นแบบนี้ข้าก็เป็นซัคคิวบัสนะคะ”
ไม่ค่อยเข้าใจตรรกะเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าพวกซัคคิวบัสนี่เป็นหมอกันสินะ เข้าใจแบบนี้คงได้สินะ
แต่มันเกี่ยวอะไรกันหวา หมอกับซัคคิวบัสงั้นเหรอ .. ไม่เข้าใจเลยแฮะ ขณะที่คิดแบบนั้น ลาน่าเหมือนอ่านใจได้.. ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวขึ้นทุกวันเลยนะ
เธอพูดเหมือนอ่านใจฉันได้ว่า
“ซัคคิวบัส เป็นปีศาจแห่งห่วงความฝันค่ะ ความฝันนั้นมีทั้งดีทั้งร้ายหน้าที่ของข้าคือทำให้ทุกคนมีความสุขในห้วงความฝัน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเราสามารถดึงเอาความสุขจากความฝันมายังโลกความเป็นจริงได้.. กล่าวคือซัคคิวบัสสามารถเปลี่ยนฝันดีให้เป็นความจริงได้นั่นแหละค่ะ”
“แต่ทำไมต้องเป็นหมอด้วยล่ะ?”
ใช่ นั่นคือปัญหา เพราะฝันดีใช่ว่าจะเป็นฝันเกี่ยวกับหมอซะหน่อย ฉันที่ถามออกไปแบบนั้น ลาน่าก็ตอบทันที
“เพราะว่าความสุขที่แท้จริงคือการฟื้นฟูไงละคะ เหล่าซัคคิวบัสนั้นถนัดเวทในการฟื้นฟูกันค่ะ ตราบใดที่ไม่ตายหรือโดนโรคร้ายหรือคำสาปพวกเราก็สามารถรักษาได้ค่ะ”
เธอพูดออกมาแบบไม่คิด ไม่ต้องสงสัยว่านี่คือการสาธยายความเก่งของตัวเอง แต่รู้ไว้ด้วยนะมือสังหารเอ๋ย เธอพลาดแล้วหนึ่งอย่าง..
นั่นคือบอกความสามารถ ถ้าไม่ตายก็ฟื้นฟูกลับมาได้ด้วยพลังซัคคิวบัส นี่คือพลังที่จะรีดเค้นข้อมูลสินะ
แบบว่าทำร้ายร่างกายไปเรื่อยๆ แล้วฟื้นฟูเรื่อยๆ จนกว่าจะคายความจริง.. ยัยนี่อันตรายกว่าที่คิดไว้ตอนแรกอีกแฮะ
ฉันเหงื่อตกเงยหน้ามองลาน่าที่เอียงคอมองมาที่ฉัน (เอียงคองงล่ะสิ)
“เอ๊ะ เดี๋ยวนะ.. งั้นเธอก็ควบคุมไม่ให้คนฝันร้ายได้น่ะสิ”
“แน่นอนค่ะ!”
เอ๊ะ.. แล้ว.. แล้วทำไมยัยนี่ไม่ช่วยฉันจากฝันร้ายล่ะเนี่ย จะเลือดเย็นไปแล้วคิดจะฆ่ายันในความฝันเลยเหรอ?
ไม่สิ เธอบอกว่าควบคุมฝัน บางทีฝันนั่นอาจจะเป็นฝีมือเธอด้วยซ้ำพอฉันคิดได้แบบนั้นก็อดที่จะใจสั่นไม่ได้ สมกับเป็นมือสังหารฆ่าทั้งภายในและภายนอกจริงๆ?
แน่นอนฉันไม่พูดว่า ‘เธอทำไมไม่ช่วยปัดเป่าฝันร้ายให้’ เพราะว่าฝันร้ายมันเกิดจากฝีมือเธอเอง
“อ๊ะ แล้วชาร์ล็อตล่ะ?”
ฉันนึกขึ้นได้ว่าก่อนจะจำความไม่ได้ฉันอยู่กับชาร์ล็อตในเมืองด้วย แสดงว่าเธอเป็นคนพาฉันมาที่นี่?
“ดูเหมือนว่าวันนี้จะเริ่มเรียนแล้วนะคะ ทั้งท่านเลวิเนียกับชาร์ล็อตเลยไปเข้าพิธีปฐมนิเทศสำหรับนักเรียนใหม่อยู่น่ะ”
เอ๊ะ งั้นเหรอ แบบนี้ฉันต้องรีบไปสิ ไม่อยากเป็นแกะดำคนเดียวในฝูงแกะขาวหรอกนะ ไม่งั้นมันจะทำให้เป็นจุดสนใจและเป็นเป้าในการถูกรังแก
จุดสนใจนั้นมีสองแบบนั้นคือการนับถือและการดูถูก ถ้าถูกนับถือก็ว่าดี แต่ถ้าถูกดูถูกนี่คือแฟล็คโดนแกล้งดีๆ นั่นเอง
และฉันไม่อยากจะเป็นจุดเด่นใดๆ ทั้งสิ้น ถึงจะแค่พิธีปฐมนิเทศ แต่ถ้าไม่ได้ไปนี่คงตามน้ำหัวข้อไม่ได้แน่
“ฉันว่าฉันต้องรีบไปแล้วล่ะ”
“อะ เดี๋ยวก่อนสิคะ—”
เหมือนจะได้ยินเสียงแว่วๆ ของลาน่าตามมา แต่ฉันวิ่งเร็วเกินไปเลยไม่ได้มีโอกาสตอบกลับไปฉันวิ่งไปทางห้องเรียน.. ห้องปฐมนิเทศ..
เลี้ยวซ้ายอีกที เลี้ยวขวาอีกรอบ ขึ้นบันไดอีกครั้ง…
เอ๊ะ จะว่าไปฉันไม่รู้จักว่าห้องเรียนตั้งอยู่ไหนนี่น่า แถมไม่รู้จักห้องโถงที่จัดการปฐมนิเทศก่อนเริ่มเรียนด้วย
แถมตอนนี้ฉันยืนอยู่ในระเบียงเดินยาวไปที่มีซ้ายมือเป็นประตูห้องเรียน ส่วนขวามือเป็นกำแพงและประตูที่ทำจากกระจกสามารถเดินออกไปรับลมได้
ที่นี่มัน..ที่ไหนล่ะเนี่ย หลงทางโดยสิ้นเชิง! ไม่ๆ ฉันที่ตอนระมัดระวังตัวตลอดเวลาไม่มีทางมาหลงทางง่ายๆ แบบนี้หรอก
คิดสิ.. ฉันจะใช้เวทมนตร์ในการจับสัมผัสคลื่นเสียงที่อยู่ใกล้ๆ ฉันพนันได้เลยว่าถ้าเป็นงานปฐมนิเทศคงใช้อุปกรณ์เวทขยายเสียงเหมือนไมค์และลำโพงแน่ๆ
ดังนั้นฉันจึงจับสัมผัสมันอย่างเงียบๆ และได้ยินเสียงมาจากด้านหน้าทำเอาฉันขมวดคิ้วขึ้นฉับพลัน
เสียงนี้ไม่ได้ใช้เครื่องอะไรช่วยเลย แต่มันดังมากอาจจะเป็นเพราะเวทมนตร์หรือเปล่า ถึงจะดังมากๆ แต่ไม่มีเสียงลอดออกมาจากห้องนั้นเลย
ฉันเดินตามเสียงมาหยุดอยู่ที่ห้องลึกลับดังกล่าวถ้าฉันหยุดใช้เวทสัมผัสเสียง ห้องนี้ก็ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น
แต่พอใช้มันก็มีเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน.. น่าจะเป็นห้องนี้แหละมั้งที่ปฐมนิเทศ แต่ดูจากขนาดห้องแล้วมัน…
ฉันไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่ในโรงเรียนคงไม่มีใครคิดจะมาเล่นเสียงดังขนาดนี้ในห้องเรียนหรอกมั้ง
ฉันคิดแบบนั้น แต่ก็ระวังตัวโดยการแง้มประตูออกดู.. พอแง้มเท่าไหร่ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากในประตูนั้น
มันไม่ใช่เสียงคนแต่เป็นเสียงดนตรีที่เกิดจากเปียโน.. เสียงเปียโนมันดังขึ้นอย่างแปลกประหลาด ทำให้บรรยากาศดูหนักอึ้งและมืดครึ้ม
“ซ่า โซ่ เซ่ ซี่ ซอน ซ่าาา”
เสียงมันเหมือนกับลำโพงแตกมันดูไม่ชัดและดูน่ากลัวไม่น้อย ฉันค่อยๆ แง้มประตูออกดูด้วยความสงสัย
ภายในห้องนั้นเงียบและมืดสนิทไร้แสงสาดส่องเข้าไป ราวกับเป็นโลกแห่งความมืดที่อันธการอย่างแท้จริง
แต่ฉันเห็นเปียโนสีดำขนาดใหญ่วางอยู่และมีคนหันหลังนั่งเล่นเปียโนเป็นดนตรีที่น่ากลัวดังเหมือนเสียงแตกอย่างไม่สนใจอะไร
แต่เหมือนมันจะสังเกตว่าฉันมองอยู่มันค่อยๆ หันหัวกลับมามองฉันด้วยสายตาแปลกประหลาด
“โดน~เจอ~ซะ~แล้ว~”
ฉันตกใจเพราะว่าที่หันกลับมามีแค่หัวเท่านั้น เหมือนกับว่าหัวกำลังบิดกลับมามองข้างหลัง
ใบหน้าของมันดูน่ากลัวมาก ทำให้ทุกอย่างมืดลงไปหมด ฉันไม่สามารถขยับร่างกายได้ในเวลานั้นเอง
ไอ้นี่มัน.. ผีหลอกใช่ไหม?!
…………..