บทที่ 44 – ลื่นล้ม..?
สรุปง่ายๆ คือ ในโรงเรียนนี้มีพาลาดิน แต่พาลาดินยังไม่สามารถอธิบายงว่ามันคืออะไรได้ สรุปคือมันไม่จัดอยู่ในองค์ประกอบความรู้ของโลกใบนี้สินะ
แบบนั้นเลยป้องกันอะไรไม่ได้ นี่มันตัวอันตรายของแท้เลยล่ะ ขณะคิดแบบนั้นก็พึ่งรู้สึกว่าเดินมาถึงสถานที่สร้างจากหินอ่อนประดับประดาดีพอสมควร
“ถึงแล้วล่ะ น่าจะเป็นที่นี่แหละโย่ว”
จะว่าไปแร็กน่าตอนอธิบายอะไรไปเมื่อครู่นี้ เอกลักษณ์ที่ใส่ ‘โย่’ กลางคำพูดก็ไม่มี ลืมสินะ ลืมพูดสินะ
ฉันคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า อาจจะเป็นโรงเชือดที่เอาไว้เชือดฉันก็ได้
คิดแบบนั้นจริงๆ แต่ฉันได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากภายในนั้น ฉันกำลังจะเปิดประตูดังกล่าวนั้นเอง ประตูก็ถูกเปิดออกก่อน
คนที่เปิดประตูจากด้านในไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเลวี่ พอเธอเห็นหน้าฉัน เธอก็ตกใจทันที แล้วถามด้วยท่าทีลนลาน
“ท่านพี่ฟื้นแล้วเหรอคะ? เป็นอะไรมากหรือเปล่า นังมีตรงไหนที่รู้สึกแย่ไหม?”
อืม.. ช่างเป็นคุณน้องสาวที่ดีอะไรแบบนี้นะ ห่วงพี่สาวขนาดนี้ คิดได้แบบนั้นฉันก็ลูบหัวเลวี่แล้วตอบเธอด้วยรอยยิ้ม
“อืม ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“เอ่อ.. ท่านพี่คะ แล้วคนคนนั้นเป็นใคร?”
เลวี่จู่ๆ ก็เปลี่ยนน้ำเสียง ทำเอาฉันถึงกับตกใจแต่ก็ต้องรีบมองสีหน้าเลวี่ตอนนี้เธอกำลังทำหน้าเหมือนยักษ์อยู่
ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ก็จะบอกว่าหลงทางนี่ก็คงน่าอายไปหน่อย ก็แหม ฉันเป็นพี่เลยนะ จะให้น้องสาวเห็นเรื่องน่าตลกของพี่แบบนั้นได้ยังไง
แต่ฉันก็ไม่อยากให้แร็กน่าตอบเหมือนกัน แต่ขณะที่ฉันกำลังจะกลบเกลื่อนนั้นเอง แร็กน่าก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนซะงั้น
“ข้ามีชื่อว่าแร็กน่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ โย่”
“ข้าชื่อว่าเลวิเนีย เป็นน้องสาวของท่านพี่ค่ะ”
ว่าแล้วเลวี่ก็กอดแขนฉัน เป็นอะไรเนี่ย เลวี่เองก็รู้เหรอว่าแร็กน่าวางแผนอะไรไว้ ไม่สิ.. พึ่งเจอกันนี่น่า
จะมองออกทันทีได้ยังไงกันล่ะ แต่ก็หาคำอธิบายอื่นมาไม่ได้ สมกับเป็นน้องสาวของฉันจริงๆ
แร็กน่าเหมือนจะทำท่างงๆ แสดงได้แนบเนียนไร้ที่ติขนาดฉันยังดูไม่ออกเลยว่านี่เป็นการแสดง ขณะที่คิดแบบนั้นฉันก็เกิดสงสัยขึ้นมา
แล้วเลวี่จะไปไหน ในห้องนั้นก็เป็นห้องปฐมนิเทศไม่ผิดแน่แล้วเลวี่จะไปไหนในตอนที่กำลังเริ่มงานปฐมนิเทศแบบนี้? ด้วยความสงสัยฉันก็เลยถามออกไป
“ว่าแต่เลวี่จะไปไหนงั้นเหรอ?”
“จริงสิ! ท่านพี่ได้เป็นตัวแทนของนักเรียนใหม่ล่ะ ข้ากำลังว่าจะไปดูว่าท่านพี่ตื่นหรือยัง ถ้าท่านพี่มาแล้วก็รีบมาเถอะ”
เธอตื่นเต้นมากก่อนที่จะจับแขนฉันลากเข้าไปยังห้องที่จัดงานปฐมนิเทศ แน่นอนว่าแร็กน่าก็ตามมาด้วยแต่หมอนั่นขอปลีกตัวแยกออกไปนั่งชม
ตัวแทนนักเรียนใหม่ อย่างที่รู้กันคือคนที่ได้คะแนนดีที่สุดจากผู้เข้าเรียนใหม่ทั้งหมด จะได้ขึ้นไปกล่าวคำบลาๆ บนเวที
ซึ่งฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นตัวแทนนักเรียนใหม่เพราะคะแนนร้อยคะแนนมันได้มาง่ายเกินไป เลยคิดว่าน่าจะมีคนได้เยอะแยะ
อันนี้ต้องโทษตัวเองที่ไม่ดูคะแนนคนอื่นก่อน .. คนที่เป็นตัวแทนนักเรียนใหม่รวมฉันด้วยก็มีสามคน
คนที่ได้คะแนนเต็มร้อยอีกสองคนคือหนึ่งเป็นคนที่ได้คะแนนเยอะที่สุดในห้องอัลฟ่า หรือก็คือห้องหนึ่งนั่นแหละ
ส่วนอีกคนก็ได้คะแนนเยอะที่สุดหนึ่งร้อยคะแนน จากห้องเบลต้า ฉันถูกเลวี่ลากมาหลังเวทีที่มีคนสองคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
“เอาล่ะท่านพี่ ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของท่านพี่แล้ว อย่ากังวลจนกัดลิ้นตัวเองนะคะ แล้วก็นี่สคริปต์อ่าน”
มีสคริปต์ด้วยสินะ.. ฉันรู้สึกแปลกใจแบบนี้ก็ไม่ต้องคิดมาก.. เอ๊ะ.. กัดลิ้นเหรอนี่เลวี่เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย
ไม่สิการถูกดูแลแบบนี้มันเหมือนกับฉันเป็นน้องสาวของเลวี่ไม่ใช่หรือไง รู้สึกว่าตำแหน่งพี่สาวมันกำลังถูกสั่นคลอนเลยแฮะ
“ข้าจะรอดูท่านพี่เปล่งประกายนะ”
เลวี่ชูกำปั้นของเธอขึ้นแล้วก็วิ่งออกไป ฉันไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจสักหน่อยนี่น่า ถึงการเป็นคนดังที่มีแต่คนนับถือจะดีก็จริง
แต่ว่าเมื่อมีคนชอบก็มีคนเกลียด ยิ่งมีคนชอบเยอะคนที่เกลียดก็ยิ่งเกลียดมากขึ้น ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการสงบเสงี่ยม
ทำตัวเหมือนกับฉากประกอบนั่นน่าจะเรียบง่ายกว่าเยอะเลย แต่ว่ามาคิดดูแล้วถ้าไม่กล้าขึ้นไปกล่าวอะไรต้องตกเป็นเป้าการถูกรังแกแน่
ก็แบบว่าคนนี้ดูรังแกง่ายจังอะไรแบบนั้น ดังนั้นฉันต้องฮึดสู้ไว้ก่อน! ด้านหลังเวทีนอกจากฉันเองก็มีคนอีกสองคน ดูเหมือนจะเป็นคนที่ได้คะแนนเต็มสินะ
แต่ฉันเลือกที่จะไม่เข้าใกล้จากผลการตรวจสอบยิ่งเก่งยิ่งเป็นคนที่หยิ่งยโสมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงที่จะเข้าหาคนแบบนั้น
แล้วหลังเวทีก็ได้ยินเสียงกล่าวของพิธีกรอยู่ฉันเลยพอจะได้ยินอยู่บ้าง ซึ่งตามที่ได้ยินก็คือ
“วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนใหม่ มีทั้งนักเรียนใหม่และนักเรียนเก่า หรือแม้แต่นักเรียนที่จบไปจากโรงเรียนนี้ยังให้เกียรติโดยการเข้ามายังพิธีปฐมนิเทศครั้งนี้”
“แสดงให้เห็นว่าพิธีปฐมนิเทศในโรงเรียนแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างไรก็ตามทุกคนอย่ากังวลไป เมื่ออยู่ในโรงเรียนแล้วเพื่อนทุกคนคือครอบครัว”
“ครอบครัวที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปอีกหลายปี เป็นสถานที่ที่ทุกคนจะเติบโตไปด้วยกัน จงอย่าแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ให้คิดซะว่าคนเหล่านั้นคือเพื่อนร่วมบ้าน!”
ฉันได้ยินก็รู้สึกตะลึง นี่มันพูดดีสุดๆ ไม่ใช่หรือไง จะว่าคงไม่ต้องการคนมากล่าวคำปราสัยแล้วมั้ง ถ้ามีพิธีกรดีขนาดนี้
แต่บอกว่าเป็นบ้านเหรอ ทั้งๆ ที่นี่อันตรายเนี่ยนะ ไม่สิ ขนาดอยู่ที่ปราสาทยังอันตรายสำหรับฉันเลยนี่น่า
ดังนั้นบ้านในโลกนี้อาจจะอันตรายเป็นเรื่องปกติละมั้ง ฉันคิดแบบนั้นก็ต้องคอยระวังตรรกะบนโลกใบนี้เพิ่มอีก
และฉันก็นั่งฟังบรรยายตั้งนานสองนาน แทบจะไม่หยุดพูดจนอาจารย์ออกมาหยุดพิธีกรไว้… และในที่สุดก็ถึงรอบของฉันแล้วสินะ
“เอาล่ะ ต่อจากนี้จะเป็นคำปราสัยจากนักเรียนดีเด่นของปีนี้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักเรียนใหม่มากล่าวคำปราสัยทั้งสามคน เชิญขึ้นมาบนเวทีได้เลย”
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ.. จัดแต่งชุดดูเรียบร้อยขึ้นฉันสวมชุดนักเรียน ว่าแต่ใครเปลี่ยนให้ละเนี่ย เอาเป็นว่าสวมชุดนักเรียนหญิงของโรงเรียนนี้
เอาล่ะต้องทำหน้าเคร่งขรึมเผยความน่ายำเกรงสักหน่อย เพราะเป็นการขู่ทำให้สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตเริ่มที่จะระวัง (?)
พวกเราสามคนเดินขึ้นไปบนเวที น่าแปลกที่คนที่ได้คะแนนดีเด่นเป็นผู้หญิงทั้งสองคนเลย คนหนึ่งเป็นเอล์ฟมั้ง ส่วนอีกคนน่าจะมาจากเผ่าอสูร..
มีเขาที่เหมือนกับหินด้วยล่ะ และคนสุดท้ายคือฉัน… พวกเราเดินขึ้นไปพอฉันยืนบนเวทีก็แทบจะสัมผัสสายตาจากทั่วทั้งที่แห่งนี้เลย
คนมันเยอะมาก เยอะแบบเยอะสุดๆ ตอนเดินมาไม่เห็นในมุมที่ชัดเจนแต่ตอนนี้ดันเห็นชัดเจนสายตาทุกคู่มองมาที่ฉันทำเอาฉันรู้สึกเกร็งทันที
เอ๋อ.. แบบนี้มันน่ากังวลใจแปลกๆ ฉันรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอาจจะเพราะกลัวละมั้ง ก็บนเวทีมีไฟจ้าโฟกัสที่ฉันคนเดียวกลางเวทีอีกต่างหาก
ในขณะที่ด้านล่างมืดมิด จะมีคนโจมตีจากที่ไหนก็ได้… ทำให้ฉันรู้สึกกังวลขึ้นมาอีกหลายเท่า (แค่ประหม่า…)
ในขณะที่กังวลนั้นเองฉันก็เดินไปเตะอะไรสักอย่างเข้าให้เพราะกังวลอยู่ทำเอาฉันสะดุดไปด้านหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“อ๊ะ?!”
เพราะกังวลอยู่เลยทำตัวไม่ถูกจนไม่ได้ตั้งหลักและแล้วภาพที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น.. เพราะความกังวลของฉัน
ฉันล้มหน้าทิ่มลงกับพื้นกลางเวที
“โอ้ย!”
ฉันร้องออกมาหันหน้าไปดูตะปูที่โผล่ออกมาจากไม้เวทีมันทำให้ฉันสะดุดจนหน้าฟาดพื้น… แต่ตอนนี้บรรยากาศมันเงียบกริบเลย
แย่แล้วดันแสดงความอ่อนแอออกมาซะแล้ว! แบบนี้ต้องตกเป็นเป้าในการถูกรังแกแน่ๆ!
………….