บทที่ 57 – ผู้หญิงแปลกๆ
ฉันนั่งรออยู่สักพักหลังจากมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้ว.. อันที่จริงฉันแค่เดาๆ เอาอะนะ ฟังจากเสียงลมหายใจและเดาเอาว่าน่าจะหลับ
แค่นั้นแหละ ต้องขอบคุณวิธีการต่อสู้อันดุเดือดของฉัน ทำให้ฉันหลุดรอดออกมาจากสถานการณ์อันตรายดังกล่าวได้
(แข่งกันว่าใครจะนอนหลับก่อนกันนั่นคือสงครามเย็นอันดุเดือดเหมือนสงครามสติปัญญา ถึงจะพูดให้ดูยิ่งใหญ่แต่เจ้าตัวแค่คิดไปเองคนเดียว)
หลังจากนั้นฉันก็แอบหลบออกมาจากห้องและเดินไปแอบส่องห้องของเลวี่เล็กน้อย เพราะกลัวว่าเลวี่จะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า
ด้วยความที่ห้องอยู่ใกล้กันทำให้ฉันไม่ยุ่งยากที่จะแอบไปตรวจสอบความปลอดภัยของน้องสาวตัวเองละนะ
แต่น่าแปลกใจที่สายตาของฉันในตอนนี้กำลังมองไปยังเตียงเลวี่ ซึ่งในตอนนี้ไม่มีคนอยู่ ก่อนสายตาจะเลื่อนไปหาเตียงของทสึรุ
ผู้หญิงคนนั้นนอนหลับบนเตียงสนิทเลย ถึงผู้หญิงคนนี้จะเป็นรูมเมจของเลวี่ แต่ว่ากันตามตรงแล้วเลวี่สนิทกับอิซานะมากกว่าทสึรุซะอีก
ไม่ได้บอกว่าเลวี่กับทสึรุไม่ถูกกัน แต่ตรงกันข้ามพวกเธอค่อนข้างเข้ากันได้ดี แต่เหมือนจะมีจุดต่างและความห่างมากเกินไปอะไรประมาณนั้น
ฉันเองก็ไม่ใช่พวกที่เข้าใจอะไรคนอื่นด้วยสิ.. ในตอนนั้นสายตาฉันก็หันไปเห็นแสงไฟในตอนนั้นฉันก็หันไปยังต้นกำเนิดแสง
ฉันเห็นเลวี่นั่งอยู่บนโต๊ะที่มีตะเกียงเวทมนตร์ส่องแสงสว่างอยู่ เธอขมวดคิ้วค่อนข้างจริงจัง เหมือนกับตั้งใจทำอะไรอยู่
ฉันจึงไม่อยากรบกวน แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นไรละนะ ฉันคิดแบบนั้นพลางผละตัวออกมาจากหน้าห้องของเลวี่และทสึรุ
ฉันเดินรับลมในยามราตรีด้วยความเงียบสงบ ฉันไม่รู้สึกถึงความสบายใจและลดความวิตกกังวลแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ
เหตุผลที่ฉันคิดแบบนั้นเพราะตอนกลางวันมีคนอยู่พลุกพล่านต้องระวังตัวตลอดเวลา ว่ากันจริงๆ ในโลกเดิมฉันอาจจะไม่ได้ระวังมากขนาดนี้
ถ้าโลกอยู่ในสภาวะปกติน่ะนะ เพราะโลกนี้มีทั้งปีศาจ เวทมนตร์ สิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติที่ไม่แม้แต่จะมีข้อมูลทั้งหมด
ถึงฉันจะได้รับความรู้มาจากเทพธิดาแต่ความรู้เหล่านั้นเป็นเรื่องที่มีเขียนแค่ในหนังสือ หรือบางเรื่องที่ยังไม่มีคนรู้จัก
มันไม่ใช่ทั้งหมดแบบจริงๆ เพราะฉันบอกให้เธอมอบข้อมูลทุกอย่างในโลกใบนี้ แต่ข้อมูลในเขตนอกทวีปที่พวกเราอยู่ฉันกลับแทบไม่รู้เลย
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำให้ฉันต้องระวังมากกว่านี้ ฉันไม่รู้ว่าโลกนี้มีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าโลกเดิม หากจะเปรียบเทียบจริงๆ
โลกนี้ในตอนนี้ก็เหมือนโลกที่ยังเข้าใจว่า ‘ดาวเคราะห์’ นั้นแบน เอาจริงๆ ในโลกนี้แทบไม่มีทฤษฎีเกี่ยวกับโลกทรงกลมเลยแหละ
ดังนั้นหลายๆ เรื่องมีแต่สิ่งที่ฉันต้องระวัง แต่ที่เข้าใจไม่ได้และน่ากลัวที่สุดก็คือจิตใจของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องไม่ละทิ้งการระวัง
ฉันรู้สึกตัวอีกทีก็เดินมาหยุดอยู่หน้าหอพักของซิลเวีย หอพักที่ใหญ่เหมือนคฤหาสน์สินะ ฉันใช้เวทในการช่วยเพิ่มการรับรู้
แน่นอนว่าเป็นเวทมนตร์มนุษย์ ฉันแทรกแซงให้ตัวเองได้ยินดีขึ้นรับรู้มากขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าเฉียบคมขึ้น
ในโลกเดิมมีทฤษฎีที่ว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถใช้ร่างกายได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นพลังกายหรือประสาทสัมผัส และแม้แต่สมอง
ฉันได้แทรกแซงไปทำลายขีด จำกัดตรงนี้และดูท่ามันจะสำเร็จจริงๆ ร่างกายฉันเคลื่อนที่ปีนขึ้นไปบนระเบียงชั้นสองอย่างรวดเร็ว
การแอบเข้าหอพักคนอื่นในฐานะนักเรียนคือความผิดอย่างแรง หากถูกรู้ฉันคงกลายเป็นพวกถูกมองแย่ๆ และตกเป็นเป้าในฐานะพวก Loser (ขี้แพ้) แน่ๆ
เพราะอีกอย่างฉันก็แอบมาอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าจะมีการอ่อนข้อหรืออะไรหรอก ฉันจึงต้องระวัง
แต่น่าแปลกที่บนพื้นนั้นไม่มีอุปกรณ์เวทประเภทเตือนภัยเลยฉันเลยเริ่มออกตรวจสอบหอพักคฤหาสน์ทั้งหลังแต่ก็ไม่มีแม้แต่เงา
ขนาดห้องใต้ดินเองก็ไม่มี ทำให้ฉันพลาดไปและต้องออกจากคฤหาสน์กอย่างช่วยไม่ได้
พอฉันเดินออกมาทางประตูหน้าชั้นสองบนระเบียงในตอนนั้นเองก็มีเสียงคนพูดขึ้นทำเอาหัวใจฉันกระตุกทันที และปฏิกิริยาตอบสนองฉันรวดเร็วมาก
ฉันรีบใช้เวทประเภทการล่องหนทำให้หายไปจากสายตา โชคดีที่ฉันหายไปแล้วคนคนนั้นค่อยหันมา
“เมื่อกี้เหมือนมีอะไรอยู่ตรงนั้น…?”
เหมือนจะพูดออกมาแบบนั้น ทำให้ฉันถอนหายใจที่ไม่มีคนจับได้.. ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงอายุพอๆ กับเลวี่เลยล่ะ
หรืออาจจะมากกว่าเลวี่สักปี (ที่ไม่บอกพอๆ กับตัวเอง เพราะตัวเองตัวเล็กไม่ยอมโตขึ้นสักที)
เธอใส่ผ้าปิดตาแปลกๆ ด้วยความมืดเลยทำให้มองหน้าไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่เลย
ว่าแต่ทำไมถึงมีคนมาอยู่ตรงนี้ได้ อืม.. ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็นะรีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า ขณะที่ฉันคิดแบบนั้นเอง
ก็ไปสังเกตเห็นสีหน้าของผู้หญิงไม่ทราบนามคนนี้ เธอทำหน้าเคลือบแคลงใจ เหมือนจะมองเห็นฉันซะอย่างนั้น
“แบบนี้นี่เอง ซ่อนตัวจากสายตาตัวเราผู้นี้สินะ อย่าคิดว่าเราไม่เห็นซะละ!”
ฉันถึงกับผงะทันที นี่หรือว่ามองทะลุเวทมนตร์ฉันได้?! แต่เวทมนตร์นี้ไม่มีทางที่จะถูกมองออกได้นี่น่า!? เพราะขนาดเลวี่ที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญยังมองไม่ออก
“ถึงจะเห็นแค่รางๆ ไม่เห็นใบหน้าแต่ตัวเรารู้ว่าเธออยู่ตรงนั้นหรอกน่า ฮึๆ ฮ่าๆ! คิดว่าตัวเราผู้นี้เป็นใครกัน?! โผล่หัวออกมาได้แล้ว!”
เธอว่างั้นแหละ แสดงว่ายังไม่เห็นหน้าสินะ! ฉันยังมีทางรอดอยู่ บอกให้ออกไปเรอะไม่มีทางซะหรอก
ว่าแล้วฉันก็กำลังจะวิ่งหนี ผู้หญิงคนนั้นก็สาธยายอย่างรอบรู้ทำเอาฉันถึงกับอึ้งไปทันที เธอบอกว่า
“คิดจะซ่อนจากสายตาของตัวเราผู้นี้มันยังเร็วไปร้อยปี! ก่อนอื่นเจ้าต้องไม่เปิดประตู ขืนเปิดประตูทิ้งไว้แบบนั้นเป็นใครก็สังเกตเห็น!”
ไม่ๆ .. ประตูมันเปิดอยู่แต่แรกแล้วนี่ คงเป็นเพราะซิลเวียวิ่งหนีสุดชีวิตคงไม่มีทางที่จะมามัวปิดประตูแน่.. ว่าแต่เธอยืนอยู่แต่แรกก็น่าจะเห็นนี่
ชักแปลกๆ แล้วแฮะ ฉันคิดแบบนั้นเลยเงี่ยหูฟังอีกสักหน่อย…
“เราจะแนะนำให้เจ้าแล้วกัน เจ้าน่ะควรเดินทะลุกำแพงเอานะ จะได้ไม่มีใครสังเกตเห็น แต่เอาเถอะเมื่ออยู่ต่อหน้าเนตรมารแห่งความตาย ต่อให้เหลือแค่ดวงวิญญาณก็มองเห็น!”
ฉันเดินทะลุกำแพงไม่ได้สักหน่อยนะ ไม่สิ มันมีเวทมนตร์แบบนั้นด้วยเหรอ? อาจจะมีแต่คงไม่ใช่ระดับที่นักเรียนจะมีนะ
เอาเถอะ แต่เนตรมารแห่งความตายงั้นเหรอ ไม่ยักจะเคยได้ยินเลยแฮะ มันคืออะไรเนี่ย บ้าเอ๊ย ทำไมเทพธิดาไม่ให้ข้อมูลที่ดูสำคัญมากขนาดนั้นเนี่ย
แค่ชื่อก็ดูเป็นอันตรายแล้ว ฉันที่ถูกมองจะเป็นอะไรหรือเปล่า?! อาจจะโดนคำสาปความตายอะไรเทือกนั้นก็ได้
ขณะคิดแบบนั้น ดูเหมือนผู้หญิงแปลกๆ นั่น พิงหลังใส่ผนังยกมือข้างหนึ่งดีดเหรียญขึ้นและ เหรียญนั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศ
ฉันก็อดที่จะมองตามไม่ได้แต่ในตอนนั้นเองกระแสลมยามราตรีก็พัดผ่านมาทำให้ฉันต้องหลับตาลงเพราะยืนอยู่ชั้นสองพอดี
พอลืมตาขึ้นอีกทีก็พบเห็นเหรียญดังกล่าวลอยเคว้งมาด้านฉันด้วยความตกใจฉันถอยหลังหลบทันที
“เฮ้ๆ คิดว่าเดินหนีจากจุดเดิมแล้วจะหลุดจากสายตาตัวเราได้งั้นเหรอ?”
ว่าแล้วเชียวยัยคนนี้เห็นฉันชัดเจนเลย.. ในขณะที่กำลังคิดแบบนั้น ฉันเองก็ตัดสินใจว่าจะหนีแล้วเช่นกัน เธอก็พูดขึ้น
“เฮ้อ.. ช่างเถอะในเมื่อเจ้าไม่อยากเปิดเผยตัวตน ตัวเราก็ไม่คิดจะลากเจ้าออกมาหรอกนะ แต่เรามีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักหน่อย”
อืม.. ฉันขมวดคิ้วจริงๆ ก็อยากจะวิ่งหนีทันที แต่ถ้าหากหนีกลัวว่าจะไปขัดใจผู้หญิงคนนี้แล้วโจมตีฉันจะเป็นยังไงล่ะ
แล้วดูจากคำพูดเหมือนเจ้าตัวจะมีวิธีทำให้ฉันโผล่หน้าออกไปได้ด้วย หากโผล่ออกไปเท่ากับว่าทุกอย่างจบสิ้นเลย
แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ทำอะไรจริงๆ และผู้หญิงคนนี้สามารถดึงฉันออกไปโผล่หน้าให้เห็นเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม
หมายความว่าทั้งสองทางเลือกล้วนแต่อันตราย แต่หากว่ากันตามจริงแล้วผู้หญิงคนนี้มองเห็นฉันจริงๆ หมายความว่าหากฉันหนีเขาก็อาจจะโจมตีทันที
แต่ในทางตรงกันข้ามหากฉันฟัง ฉันกลับไม่มีหลักความจริงมายืนยันว่าเธอจะโจมตีฉันในเมื่อฉันตั้งใจฟัง
พอคิดไปคิดมาได้แบบนั้น เลยเลือกที่จะนั่งฟังเพราะแบกรับความเสี่ยงน้อยกว่านั่นเอง.. ยังไงซะถ้าหากยัยนี่โจมตี
ฉันเตรียมพร้อมที่จะแอบใช้พลังปีศาจโดยไม่ลังเลแน่ๆ แถมอยู่ในสยามราตรีทุกคนนอนหมดแล้ว ฉันใช้วิธีการซ่อนด้วยเวทมนุษย์ก็ไม่มีใครจับได้แล้ว
ฉันไม่ขยับทำให้ผู้หญิงคนนั้นยิ้มออกมา
“ขอบคุณ.. เราคิดว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้ามากในโรงเรียนแห่งนี้”
เป็นประโยชน์ในโรงเรียน? ถ้ามีประโยชน์ในโรงเรียนที่เหมือนสนามรบในสงครามเนี่ย ฉันก็เตรียมพร้อมที่จะรับฟัง
“เจ้ารู้จักเจ็ดเรื่องลึกลับแห่งโรงเรียนลิเบอร์หรือไม่?”