1 : จูบผมหน่อย
เมืองไห่เฉิง เดือนสี่ อากาศเพิ่งเริ่มกลับมาอบอุ่น
เวลาสามทุ่ม เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ทำงานหกวันต่อสัปดาห์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงสามทุ่มในตึกเฟิงเม่าเขตจินหรงเพิ่งทยอยเลิกงานที่ทำมาทั้งวัน แต่ใบหน้าของคนหนุ่มสาวเหล่านี้กลับไม่มีอาการเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ราวกับชีวิตยามกลางคืนอันแสนงดงามเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
ในบาร์เหล้า วิว 360 องศาบนดาดฟ้าของตึกสูง มองไปทางไหนก็มีแต่สุภาพบุรุษที่สวมชุดสูทกับรองเท้าหนังและสุภาพสตรีที่แต่งตัวแต่งหน้าอย่างเหมาะสม
ชีอวี่กับสวี่จิ้งก็นัดพบกันในที่แห่งนี้
เนื่องเพราะบริษัทจัดการลงทุนในมือของคุณพ่อชีอวี่ก็อยู่ในตึกแห่งนี้เช่นกัน และสวี่จิ้งคือซีอีโอ[1]ที่ชีหยวนเฉิงแต่งตั้ง
ทว่าวันนี้พวกเขามาพบกัน ไม่ใช่เพื่อเจรจาธุรกิจ
ชีอวี่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่หนึ่งในคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด การรับช่วงต่อกิจการของคุณพ่อยังถือว่าเร็วเกินไปสำหรับเขา ขณะที่สวี่จิ้งเป็นเลขาให้ชีหยวนเฉิงที่สหรัฐอเมริกาตั้งนานแล้ว ทั้งยังถือโอกาสดูแลชีอวี่ด้วย ทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์เป็นทั้งพี่น้องและเพื่อน
ชีอวี่น้อยครั้งจะกลับประเทศ สวี่จิ้งจึงนัดเจอเขาพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเป็นเรื่องธรรมดา
“เจอน้องชายนายมาแล้วเหรอ” สวี่จิ้งถาม
ชีอวี่ตอบ “อืม” หนึ่งคำ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณแม่โทรมาบอกเขาว่าชีเฟิงน้องชายฝาแฝดมีแฟนเป็นผู้ชายอยู่ในมหาวิทยาลัย
ตอนที่เขานำเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อ คุณพ่อนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เดิมสองวินาที ก่อนเงยหน้ามาถามเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “แฟนผู้ชาย?”
…ใช่ แฟนผู้ชาย
เขาว่าเขาคงไม่ได้ฟังผิดไป
สองปีก่อนจู่ๆ ชีเฟิงก็บอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศ ผลสุดท้ายเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยเอฟได้ครึ่งปีก็มีแฟนเป็นผู้ชาย แถมยังพากลับบ้านมาเร็วขนาดนี้…
แม้กระทั่งคุณแม่ที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด น้ำเสียงตอนที่โทรมาหาเขายังเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อ ช่วงสองเดือนมานี้คุณพ่อของเขากังวลจนผมหงอกงอกออกมาหลายเส้น สงสัยว่าเสี่ยวเฟิงขาดความรักของพ่อหรือไม่ จึงได้ถลำลึกในความผิดพลาด เดินบนเส้นทางที่ ‘เบี่ยงเบน’…
…คุณพ่อคุณแม่ของชีอวี่แยกทางกันตอนที่พวกเขาพี่น้องอายุได้สิบขวบ ชีเฟิงอยู่กับแม่ในประเทศ ส่วนชีอวี่ตามพ่อไปสหรัฐอเมริกา จวบจนตอนนี้ก็เป็นเวลาเก้าปีแล้ว
ในระหว่างเก้าปีที่ผ่านมา ชีหยวนเฉิงกับเจียงอิ๋งต่างไม่ได้มีใครใหม่ ชีอวี่ในฐานะพี่ชาย ทำหน้าที่เป็นน้ำมันหล่อลื่นของครอบครัวที่หย่าร้างและกระบอกเสียงของบิดาที่แยกทางมาอย่างรู้ความ ทว่าเสี่ยวเฟิงกลับเคียดแค้นคุณพ่อชนิดฝังหุ่น ไม่ว่าจะตอนปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ ก็ไม่มีแม้กระทั่งคำทักทายใด
ดังนั้นการที่น้องชายเปิดตัวว่าชอบเพศเดียวกันกะทันหัน สำหรับคุณพ่อแล้วไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
ครั้งนี้ชีอวี่หาเวลากลับประเทศ หลักๆ แล้วก็เพื่อมาทำความเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงตามคำสั่งของคุณพ่อ
“แล้วนายเจอแฟนหนุ่มของเขาหรือยัง” สวี่จิ้งได้ยินเรื่องนี้มาอยู่บ้าง
“เจอแล้ว”
“เป็นคนแบบไหน” สวี่จิ้งสงสัย
“เป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาทีเดียว”
“หล่อเหลา?” สวี่จิ้งเลิกคิ้ว เอ่ยทั้งยิ้ม “หล่อได้เท่าพวกนายสองคนพี่น้องไหม”
รูปลักษณ์ภายนอกของพี่น้องตระกูลชีได้รับยีนเด่นมาจากทั้งชีหยวนเฉิงและเจียงอิ๋ง ห่างไกลจากหน้าตาระดับมาตรฐานยิ่งนัก ส่วนสูง 187 เซนติเมตรทำให้พวกเขาโดดเด่นทิ่มแทงสายตาที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน
ทุกครั้งที่ชีอวี่กลับประเทศ หากสวี่จิ้งว่างก็จะไปรับเขาที่สนามบิน ความถี่ในการถูกเหลียวมองจะสูงกว่าปกติหลายเท่า คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาไปรับดาราที่ไหน
“เขาไม่ค่อยเหมือนคนที่ไล่ตามจีบเสี่ยวเฟิงเมื่อก่อน”
ชีอวี่หวนนึกถึงตอนที่หลิงเข่อนั่งอยู่ต่อหน้าตนเองแล้วบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อชีเฟิงอย่างเปิดเผย ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ในการบอกเล่าอันเรียบง่ายของอีกฝ่าย แม้กระทั่งตัวเขาฟังแล้วก็ยังอดซาบซึ้งใจไม่ได้…
“เขาไม่มีเป้าหมายวุ่นวายอะไร”
“นายรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่มีเป้าหมายวุ่นวายอะไร” สวี่จิ้งพูดหยอกล้อ “ไม่แน่อาจจะกระหายในเรือนร่างของน้องชายนายก็ได้”
ชีอวี่หัวเราะเบาๆ แตะนิ้วลงบนขอบแก้ว เอ่ยว่า “ฉันไม่เคยเห็นเขาคิดแบบนี้มาก่อน”
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าชีเฟิงจะมีความรู้สึกดีเพียงเล็กน้อยต่อคนที่เข้ามาจีบคนไหน ชีอวี่ก็มักจะเข้าไปทดสอบ แต่ไม่มีสักคนที่สามารถปล่อยเขาไปแล้วบอกว่าชอบแค่ชีเฟิงเท่านั้น นั่นหมายความว่าสำหรับผู้ที่เข้ามาจีบเหล่านั้น ตราบใดที่หน้าตาเหมือนกัน จะน้องหรือพี่ก็ไม่สำคัญ
หลายปีผ่านไป ชีอวี่เองก็เคยชินแล้วกับการใช้วิธีการทำนองเดียวกันนี้มาช่วยน้องชาย “แยกแยะความเป็นจริง”
แต่ทว่าครั้งนี้…
“ฉันลองจีบเขาดู เขาไม่มีท่าทีตอบสนองสักนิด”
“พรืด…!” สวี่จิ้งเกือบจะพ่นเหล้าออกมา “นายจีบ…จีบแฟนของน้องชายงั้นเหรอ”
“เขาแยกฉันกับเสี่ยวเฟิงออกได้อย่างชัดเจน เจอหน้ากันครั้งแรก ฉันยังจงใจสวมชุดของเสี่ยวเฟิง แต่เขาก็มองออกในแวบเดียว”
สวี่จิ้งหลุดขำ “ถ้าอย่างนั้นก็พิเศษมากจริงๆ”
ถึงแม้ว่าชีหยวนเฉิงกับเจียงอิ๋งจะหย่าร้างกันแล้ว แต่เจียงอิ๋งกับชีเฟิงก็ยังมีหุ้นส่วนในซือหยวนกรุ๊ป สวี่จิ้งในฐานะเป็นตัวแทนธุรกิจให้แก่ชีหยวนเฉิงที่ไห่เฉิง จึงมีโอกาสไปหาพวกเขาเรื่องงานเป็นครั้งคราว
เขาเคยพบชีเฟิง บอกได้เลยว่าพี่น้องสองคนของตระกูลชีนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะสลักออกมา ฝาแฝดคู่อื่นอย่างไรก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่การใช้ชีวิตในต่างแดนเป็นเวลาเก้าปีก็ยังไม่อาจทำให้หน้าตาของพี่น้องตระกูลชีผิดเพี้ยนไปจากกันได้แต่อย่างใด
หากพวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าสวี่จิ้งพร้อมกัน ตัวเขาเองก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าตนเองจะสามารถแยกออกในแวบเดียว
“แบบนี้พวกเขาก็ถือว่าผ่านด่านนายแล้ว” สวี่จิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“อืม” พูดตามตรง ชีอวี่อยู่ที่สหรัฐอเมริกามาตั้งหลายปี ได้สัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงไม่มีอคติอะไรมากต่อรักร่วมเพศ เริ่มแรกเขาเพียงแค่กังวลว่าน้องชายจะถูกหลอก อย่างไรแล้วสภาพแวดล้อมที่เสี่ยวเฟิงเติบโตมาก็นับว่าไร้เดียงสากว่าเขาอยู่มากโข
สวี่จิ้งยังอยากถามอะไรต่อ มือถือก็พลันสั่นวืด
เขารับสายแล้วตอบสองประโยค ทำท่าขอโทษชีอวี่ “ที่บริษัทมีธุระกับฉัน ฉันต้องไปสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา”
ชีอวี่ตอบ “อืม” หนึ่งคำอย่างไม่ใส่ใจ ยันแขนไปข้างหลังเล็กน้อย เอนกายพิงพนักโซฟา จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนเองต่อ
อันที่จริงชีอวี่ก็สงสัยมากอยู่เหมือนกัน เห็นๆ อยู่ว่าชีเฟิง มีสาวๆเข้ามาจีบไม่ขาดสายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังไม่ได้แสดงออกว่าต่อต้านผู้หญิงแต่อย่างใด ทำไมถึงได้เบี่ยงเบนทางเพศโดยที่ไม่มีสัญญาณอะไรมาก่อน
เมื่อสุดสัปดาห์สองวันก่อน เสี่ยวเฟิงกับหลิงเข่อต่างอยู่ที่บ้าน เขาแสร้งทำเป็นจีบหลิงเข่อ แต่ก็จีบไม่ติด กลับกลายเป็นไปยั่วโมโหเสี่ยวเฟิงจนกระทืบเท้า…เจ้าหมอนี่ก็ช่างขี้หึงเสียจริง เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของหลิงเข่อแล้ว ยังชอบจู๋จี๋กันต่อหน้าเขาอีกด้วย
…จึ๊
ว่ากันว่าคนมีความรักมักสติปัญญาเหลือศูนย์ ชีอวี่คิดว่าความสามารถในการคิดวิเคราะห์น้องชายเขาตอนนี้ น่าจะน้อยกว่าหมูตัวหนึ่ง
ทว่าเสี่ยวเฟิงที่จมดิ่งอยู่ในห้วงความรักก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ ความยินดี ความสุขและความพึงพอใจที่ออกมาจากใจ ทำให้ผู้เป็นพี่ชายอย่างเขายังอดโหยหาไม่ได้
ชีอวี่ถึงขนาดที่สงสัยใคร่รู้อยู่เล็กน้อยว่า ผู้ชายคบกับผู้ชายนั้นเป็นประสบการณ์แบบใดกันแน่…
ฟังมาว่ารสนิยมทางเพศนั้นเป็นโดยกำเนิด เขากับเสี่ยวเฟิงก็ยังเป็นฝาแฝดกันอีก หากว่าเสี่ยวเฟิงเป็นเกย์ แล้วเขาจะ…มีรสนิยมด้านนี้ด้วยหรือเปล่า
…อย่างไรหลายปีมานี้ เขาก็ไม่เคยหวั่นไหวกับผู้หญิงจริงๆ สักครั้ง
แน่นอนว่าผู้ชายก็ด้วย
หรืออาจจะเพราะเป็นผู้ใหญ่เกินวัย อีกทั้งคนที่เข้ามาจีบอย่างเอาเป็นเอาตายก็ทำให้เขารู้สึกด้านชา…
“…สวัสดีครับ”
ขณะที่ชีอวี่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกจากข้างๆ
ชีอวี่เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเขา
ฝ่ายนั้นสวมแว่นตากรอบบางสีเงิน ริมฝีปากเม้มเบาๆ ราวกับมีความระแวงอยู่เล็กน้อย ทว่าเสื้อเชิ้ตที่สั่งตัดมาอย่างพอดีตัวกับนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังบนข้อมือซ้ายทำให้เขาดูภูมิฐานไม่ธรรมดา
“มีอะไร” ชีอวี่ถาม
ชายหนุ่มยกกำปั้นขึ้นบังเรียวปาก พลางกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนกล่าว “ขอเบอร์ติดต่อของคุณหน่อยได้ไหมครับ”
เสียงของอีกฝ่ายกังวานใส ให้ความรู้สึกเหมือนโลหะกระทบกัน แลดูเว้นระยะห่างอยู่พอสมควร
เขาพูดพลางเบี่ยงกายเล็กน้อย ชี้ไปทางข้างหลัง อธิบายว่า “เพื่อนผมคนหนึ่งสนใจคุณมานานแล้ว”
ชีอวี่มองตามสายตาของเขาไป พบเห็นคนหนุ่มสาวนั่งอยู่บนโซฟารอบโต๊ะกลมที่อยู่ตรงนั้น มองมาทางนี้ด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความสนใจ
เนื่องเพราะหน้าตาโดดเด่น ชีอวี่จึงเคยชินกับการชวนคุยหลากหลายรูปแบบมาตั้งนานแล้ว
เขาเดาออกอย่างรวดเร็วว่าคนกลุ่มนั้นอาจกำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่ และชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้น่าจะถูกสั่งให้มาขอเบอร์
แต่เขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างน่าประหลาดที่ต้องตกเป็นของเดิมพันในเกมของผู้อื่นโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย อีกทั้งผู้ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอม ราวกับนี่เป็นภารกิจที่น่ากระอักกระอ่วนเพียงไหน
เห็นชีอวี่ไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มก็ปรายตามองวิสกี้แมคคัลแลนข้างมือชีอวี่ที่ถูกดื่มไปแค่สองคำ ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “เหล้าแก้วนี้ของคุณ เดี๋ยวผมจ่ายให้เองแล้วกัน”
ชีอวี่ “…”
ไม่ใช่ นายคิดว่าฉันไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าหรือคิดว่าจะจัดการฉันได้ด้วยเหล้าแก้วเดียว?
ชีอวี่อดแขวะในใจไม่ได้ แต่เห็นสีหน้าตึงเครียดของฝ่ายนั้นแล้ว จู่ๆ เขาก็คิดถึงหลิงเข่อที่มักจะสุขุมสำรวมเมื่ออยู่ต่อหน้าตนเอง
จะว่าไปแล้ว แม้ว่าวัยวุฒิต่างกันเล็กน้อย แต่บนร่างของผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะมีบุคลิกที่คล้ายคลึงกับหลิงเข่ออยู่หลายส่วน
“หึหึ…” ชีอวี่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนเอาวิธีการที่ใช้หยอกเย้า ‘น้องสะใภ้’ เมื่อสองวันนี้มาใช้หยอกเย้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “เอาสิ คุณจูบผมหน่อย แล้วผมจะบอกคุณ”
สีหน้าของชายหนุ่มฉายแววตะลึงงันเพียงชั่วครู่เดียว ก่อนเลิกคิ้วเล็กน้อย “คุณ…เอาจริงเหรอ”
ชีอวี่ราวกับมั่นใจว่าเขาทำไม่ได้ จึงจงใจพยักหน้าอย่างกลั่นแกล้ง
…ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะรับข้อเสนอพรรค์นี้ได้อย่างง่ายดาย อีกอย่างคนคนนี้ก็แค่เข้ามาชวนคุยแทนเพื่อนเท่านั้น
ระหว่างการเกี้ยวพาราสีผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ ได้เห็นอีกฝ่ายเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชีอวี่ก็ได้ลิ้มลองความรู้สึกที่ชื่นมื่นเป็นสุขในการกลั่นแกล้งผู้อื่นอันแสนจะถวิลหา
คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างๆ ปรายตามองชีอวี่ ราวกับกำลังพินิจมองฝ่ายตรงข้ามที่ขอให้จูบอย่างถี่ถ้วน
ชายหนุ่มมีสัดส่วนเครื่องหน้าอันใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเปิดขึ้นอย่างเฉื่อยชา ถือดีราวกับไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตา
ทว่าประโยคนั้นที่เขาเพิ่งพูดออกมา กลับฉายแววยั่วยวนหยอกเย้าเต็มประดา ชวนให้คน…ไม่อาจปฏิเสธ
ดวงตาหลังเลนส์แว่นค่อยๆ ชะล้างความลังเลและความขัดแย้งในนั้น แทนที่ด้วยแววตาจริงจัง
ชายหนุ่มก้าวมาข้างหน้า ก่อนค้อมเอวลง
เมื่อครู่ยืนอยู่ไม่มีความรู้สึกอะไร พอตอนนี้ประชิดตัวเข้ามา แผ่นอกที่ผึ่งผายของอีกฝ่ายทอดเงาลงมาเบื้องหน้าชีอวี่โดยตรง
ความกดดันที่พรั่งพรูเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้ชีอวี่เคลื่อนตัวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาเพิ่งจะสำนึกได้ว่า…อีกฝ่ายจะเอาจริง!
ขณะนั้นเองชายหนุ่มยื่นมือไปยันไว้บนโซฟาข้างหลังชีอวี่ มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้น จับคางของเขาอย่างแผ่วเบา
ช่างแปลกพิกล ชั่ววินาทีนั้นความสนใจของชีอวี่กลับไปอยู่บนข้อมือของอีกฝ่าย…
เนื่องเพราะแขนเสื้อเลิกขึ้นไป เผยให้เห็นประคำสีเขียวหยกเส้นหนึ่ง และประคำหยกเส้นนี้ทำให้ชีอวี่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน…
เขาเหม่อลอยอยู่อย่างนี้ อีกฝ่ายจึงประทับจูบลงมา
“!”
ชีอวี่ตัวแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหิน คำว่า ‘จูบผมหน่อย’ ในจินตนาการของเขาเป็นแค่รูปแบบหนึ่งเท่านั้น ขณะที่พวกเขากำลังจะผละตัวออกจากกัน ชายหนุ่มก็ประกบปากเขาพลางสั่งการเสียงเบา…
“เผยอปาก”
“…”
สติปัญญาบอกชีอวี่ว่า ตนควรหยุดการกระทำอันเกินกว่าเหตุของอีกฝ่ายเดี๋ยวนี้
ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ เขาไม่อยากยอมแพ้แบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะความรักของน้องชายกับหลิงเข่อค่อยๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อเขาโดยไม่รู้ตัว ปัจจัยความสงสัยใคร่รู้ในตัวเขาก็กำลังสั่นคลอนเช่นกัน
ขณะที่ความรู้สึกกำลังสั่นไหว ร่างกายของเขาก็ให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายอย่างซื่อสัตย์…
…
…
สัมผัสถึงการรุกล้ำทางลมหายใจของชายแท้ ลิ้มลองรสชาติการจูบกับเพศเดียวกันอย่างละเมียดละไม ชีอวี่มีความรู้สึกว่าหนังศีรษะของตนเองเริ่มชาหนึบ…
ไม่นับว่าเกลียดชัง แต่ก็ไม่นับว่าชอบมากมาย
เรื่องว่าเคลิบเคลิ้มหรือไม่นั้น…
อย่างไรชายหนุ่มเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัส หากอีกฝ่ายฝีมือไม่เลว ก็ยังพอแก้ขัดได้อยู่…
…หืม?
…ใช้ได้!!?
ผู้เขียนมีเรื่องจะบอก:
“บทแทรก”
ชีอวี่สังเกตชีวิตรักประจำวันของน้องชายกับน้องสะใภ้อยู่สักพัก ปรากฏว่า…
อาหารสุนัข[2]
อาหารสุนัข…
ล้วนเป็นอาหารสุนัข…
ชีอวี่ “…”
ชีอวี่ที่ถูกน้องชายกับน้องสะใภ้ป้อนอาหารสุนัขจนเริ่มเสียสติก็เกิดอยากลิ้มลองรสชาติการเป็นเกย์ขึ้นมาบ้าง
เวลานี้ฟู่เหยียนเซิงปรากฏตัวขึ้น
ชีอวี่: ได้ งั้นเป็นนายแล้วกัน!
ชีอวี่ (นอนยั่ว): “จูบฉัน!”
ฟู่: “…” ไอ้หมอนี่นายเอาจริงเหรอ -_-#
ชีอวี่ (เหล่ตาเย้ายวน): นายไม่กล้า~?
ฟู่ (เป็นพวกแสดงออกทางการกระทำ): เห็นแก่ที่นายต้องการขนาดนี้ ฉันก็จะสนองตัณหานายหน่อยแล้วกัน
ชีอวี่: “…” เชี่ย ทำให้ฉันจริงๆ เหรอเนี่ย! ไม่สิ ที่ฉันบอกให้จูบหน่อยหมายถึงให้จุ๊บแก้ม ใครแม่งให้นายจูบปากฉันวะ ไอ้คนฉวยโอกาส…แต่ก็เคลิ้มดีเหมือนกันนะ??