2 : เรียกผมว่าชีเฟิง
“…ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!”
เสียงเตือนในห้วงสมองดังขึ้น ชีอวี่รีบต่อต้านทันที
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ว่าเขากำลังหลีกหนี จึงถอนริมฝีปากออกแทบจะทันใด…ทว่าตอนที่ผละตัวออกมานั้นยังจับคางของชีอวี่ค้างไว้ครู่หนึ่งราวกับยังไม่เสร็จสมอารมณ์หมาย แต่สุดท้ายก็ผละตัวออกมา ถอยไปยังระยะห่างที่เหมาะสม
“ผมชื่อฟู่เหยียนเซิง…” คราวนี้ชายหนุ่มจึงค่อยแนะนำตัวเอง
ไม่ทราบว่าชีอวี่เข้าใจผิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าสายตา น้ำเสียงและท่าทีของอีกฝ่ายในตอนนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
บรรยากาศมีกลิ่นอายของความคลุมเครือแฝงอยู่เลือนราง
ชีอวี่พยายามปรับลมหายใจให้สงบ ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็น ‘คนขับรถมือฉมัง[1]’ ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน แต่แล้วสติสัมปชัญญะที่คืนกลับมาทีละนิดกลับเตือนเขารัวๆ ว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเองได้ทำเรื่องโง่เขลาขนาดไหนลงไป…
จูบกับเพศเดียวกัน…ท่ามกลางสายตาประชาชี…
…!!
เขาจะต้องถูกเสี่ยวเฟิงเจ้าทึ่มนั่นแพร่เชื้อใส่แน่ๆ น้ำเข้าสมองชั่วขณะ ถึงได้ไปอ่อยผู้ชายแบบนี้!
…ต้องใช่แน่ๆ!!
ขณะนั้นเอง ฟู่เหยียนเซิงก็ควักเงินออกมาจากกระเป๋า และหยิบนามบัตรสีขาวมุกใบหนึ่งส่งให้
ชีอวี่เหลือบตามองเล็กน้อย
เชี่ย ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วย
คิดไปแล้วก็จริงอยู่ ยังไงที่นี่ก็เป็นบาร์ธุรกิจ ไม่ใช่บาร์เกย์สักหน่อย…
แต่ว่าไอ้คนแซ่ฟู่มันเป็นบ้าหรือเปล่า คิดจะจูบก็จูบงั้นเหรอ เขาไม่อายหรือไง คนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่เพื่อนกลุ่มนั้นของเขากำลังมองกันอยู่นะ…!
ดูเหมือนว่าฟู่เหยียนเซิงจะไม่ใส่ใจเรื่องนั้น เพียงถามต่อว่า “คุณชื่ออะไรครับ”
ชีอวี่ “…”
ชีอวี่ในตอนนี้แค่อยากกุมขมับแล้วแกล้งตาย
เห็นอีกฝ่ายยังมองตัวเองด้วยสายตาเร่าร้อน ชีอวี่ก็พลันเอ่ยขึ้นด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดที่บังเกิดในยามคับขัน “ผมชื่อชีเฟิง”
ฟู่เหยียนเซิงถาม “ชีเฟิงที่แปลว่าเค้ก[2]น่ะเหรอ”
ชีอวี่สีหน้าเรียบเฉย “เฟิงที่แปลว่าใบเมเปิล”
ฟู่เหยียนเซิงระบายยิ้ม “เป็นชื่อที่ไพเราะมาก…” ก่อนหยิบมือถือออกมาเป็นนัยให้ชีอวี่ทำตามสัญญา “วีแชทหรือเบอร์โทร”
ชีอวี่บอกเบอร์มือถือของน้องชายออกไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนวางมาดอธิบายว่า “นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของผม แต่วันนี้ผมไม่ได้พกมือถือเครื่องนั้นมาด้วย”
ฟู่เหยียนเซิงปรายตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ กล่าวว่า “ได้ ไว้จะติดต่อไป”
ชีอวี่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าสลัดอีกฝ่ายหลุดหรือไม่ เกรงว่าอีกฝ่ายจะมาพิสูจน์ตัวตนต่อหน้า เห็นเขากลับโต๊ะไปแล้ว ตนจึงนั่งต่ออีกสองนาทีแล้วลุกจากไป
ตอนจ่ายเงินได้ทราบจากพนักงานว่าเหล้าของเขามีคนจ่ายไปแล้ว
ชีอวี่ชะงักงัน เหลียวมองโต๊ะของฟู่เหยียนเซิงเล็กน้อย แต่แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้พอดี ห่างกันไกลขนาดนี้ แต่สายตากลับจ้องเขม็ง ราวกับจะจดจำท่าทางของเขาให้ขึ้นใจ
ชีอวี่หัวใจเต้นระรัว ลอบอุทานในใจว่า ‘ผีหลอก’ ก่อนหมุนกายจากไป
เมื่อออกจากบาร์เหล้า ชีอวี่ก็โทรหาสวี่จิ้ง “นายจ่ายค่าเหล้าแล้วเหรอ”
“หืม” สวี่จิ้งเพิ่งคิดออก “นายหมายถึงสกายไลน์เหรอ ใช่ ฉันมีเมมเบอร์ที่นั่น รูดบัตรไปตอนสั่ง ก็เลยจ่ายเงินอัตโนมัติ…ทำไม นายจะกลับแล้วเหรอ”
ชีอวี่ลอบถอนหายใจ หาข้ออ้างมากล่าวว่า “ดึกมากแล้ว”
“รอแป๊บนึง” ทางด้านสวี่จิ้งเสียงดังมาก ผ่านไปสองสามวินาทีจึงค่อยตอบชีอวี่ “นายยังอยู่ที่เฟิงเม่าไหม ถ้าอยู่ก็ไปที่ชั้น B3 ฉันจะให้เสี่ยวหลี่ไปส่งนาย”
ชีอวี่ “ได้”
ชีอวี่ลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถใต้ดินชั้นสามของตึกเฟิงเม่า ขณะที่กำลังรออยู่นั้น ก็นึกถึงจูบเมื่อครู่นี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
บนริมฝีปากคลับคล้ายว่ายังหลงเหลืออุณหภูมิของชายแปลกหน้าคนนั้น คละคลุ้งกับกลิ่นแอลกอฮอล์และบุหรี่ เป็นกลิ่นของเพศชายอย่างแท้จริง
จูบนั้นนุ่มนวลยิ่งนัก มีเพียงท่วงท่าในการจับคางกับเสียงสั่งการเมื่อครู่นั้นที่ทำให้เขารู้สึกถูกรุกล้ำ การกระทำนอกเหนือจากนั้นกลับไม่ได้สร้างความไม่สบายใจแก่เขาแม้แต่น้อย
กลับกันยังค่อนข้างที่จะ…
เอาเถอะ ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่จูบในคืนนี้คือจูบแรกของเขาจริงๆ การที่รู้สึกแปลกใหม่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
“คิดอะไรอยู่ พอออกลิฟต์มาก็เห็นนายยืนเหม่ออยู่ตรงนี้” เสียงของสวี่จิ้งใกล้เข้ามา
ชีอวี่ได้สติคืนมา “นายลงมาได้ยังไง”
สวี่จิ้ง “ประชุมใกล้จะเสร็จแล้ว กลับด้วยกันเถอะ ให้เสี่ยวหลี่ไปส่งนายก่อน”
วัยรุ่นที่ติดตามอยู่ข้างหลังคือหลี่ข่าน[3]ผู้ช่วยของสวี่จิ้ง พอเห็นชีอวี่ก็ทักทายอย่างนอบน้อม “คุณชายชี”
“พวกคุณรออยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปขับรถมารับ”
สวี่จิ้งโยนกุญแจรถให้เขา ก่อนหันมาอธิบายกับชีอวี่ “ในประเทศตรวจคนเมาแล้วขับเข้มงวดมาก ที่จริงฉันขับรถเองได้”
เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างบนสวี่จิ้งก็ดื่มเหล้าไปเล็กน้อย ชีอวี่แสดงออกว่าเข้าใจ
“ไม่ได้รบกวนงานของนายใช่ไหม” เขาถาม
“ไม่หรอก ไม่ใช่งานสำคัญอะไร” สวี่จิ้งแย้มยิ้ม อธิบายกับเขาต่อ “ช่วงนี้พวกเราว่าจะลงทุนกับบริษัทผู้จัดการเน็ตไอดอลแห่งหนึ่ง สองปีมานี้ธุรกิจออนไลน์พัฒนาไปเร็วมาก เน็ตไอดอลหิ้วของมาขาย เปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้สูงทีเดียว หากเซ็นสัญญากับบริษัทนี้ก็จะได้ติดต่อโฆษณาให้ ‘เหม่ยเวย’ ก่อนหน้านี้ฝ่ายกฎหมายบอกว่าเงื่อนไขหลายข้อในเอกสารแสดงเจตจำนงการลงทุนยังมีข้อโต้แย้งอยู่ พวกเขาถกเถียงกันหลายแผนงาน จึงเรียกให้ฉันไปตัดสินใจ บอกว่าส่งไปให้ฝ่ายนั้นหลายคืนแล้ว”
‘เหม่ยเวย’ เป็นบริษัทอีกแห่งหนึ่งในหุ้นส่วนของซือหยวนกรุ๊ป เน้นทำธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ทั้งสี่แบรนด์ภายใต้การบริหารต่างได้รับความนิยมในระดับหนึ่งทั้งในและต่างประเทศ
ถึงแม้ชีอวี่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรายละเอียดของบริษัทคุณพ่อ แต่เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้ซึบซับไปโดยไม่รู้ตัว จึงพอมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้อยู่บ้าง
“ทำไมไม่ค่อยส่งไปพรุ่งนี้ล่ะ” ชีอวี่ถาม
“บอกตามตรงบริษัทเน็ตไอดอลนี้ ซีเอ็มโอ[4]ของเหม่ยเวยเป็นคนแนะนำให้ฉันเอง บอกว่าคู่แข่งของเหม่ยเวยก็อยากได้ ดังนั้นก็เลยพยายามเสนอให้ฉันไปคุยเรื่องสัญญา ฉันยังไม่ทันได้ประเมินให้เสร็จ เลยให้ลูกน้องทำรายงานความเสี่ยงมาก่อน คุยเรื่องเจตนาลงทุนเบื้องต้น ถ้าไม่ทัน พรุ่งนี้อาจหลุดมือพวกเราไป”
พอพูดถึงเรื่องลงทุน ชีอวี่ก็นึกถึงตำแหน่งบนนามบัตรของฟู่เหยียนเซิงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ถามสวี่จิ้งว่า “นายรู้จักบริษัทหลักทรัพย์หมิงไท่ไหม”
สวี่จิ้ง “บริษัทหลักทรัพย์หมิงไท่? สำนักงานใหญ่สาขาไห่เฉิงของพวกเขาดูเหมือนจะอยู่ที่ตึกนี้…”
ชีอวี่พูดแทรก “รองผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนของหลักทรัพย์หมิงไท่อยู่ระดับไหน”
คำถามนี้ทำให้สวี่จิ้งงุนงงเล็กน้อย “จะว่ายังไงดีล่ะ…”
ชีอวี่ “ถ้าเทียบกับนาย”
สวี่จิ้งพลันแย้มยิ้ม “คุณชายใหญ่ เทียบกันไม่ได้หรอก หากนายจะหาคนมาเปรียบเทียบจริงๆ ก็น่าจะอยู่ระดับเดียวกับผู้จัดการฝ่ายขายของเหม่ยเวยละมั้ง”
ชีอวี่เลิกคิ้ว “โอ้? งั้นเหรอ”
เขาคิดในใจว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้ล่วงเกินคนใหญ่คนโตอะไร ขณะกำลังโล่งใจอยู่นั้น ก็ได้ยินสวี่จิ้งกล่าวต่ออย่างนอบน้อม “แต่ว่าธุรกิจด้านการลงทุน รายได้ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง หากอยู่ที่ความสามารถส่วนตัวและพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่ดีลด้วย หมิงไท่เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีเงินทุนของประเทศสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง สามารถเป็นถึงระดับวีพี[5]ในวาณิชธนกิจ[6]ได้ ถือว่าเป็นบุคคลดังระดับสูงในวงการธุรกิจ ไม่แน่อาจจะมีรายได้สูงกว่าฉันก็ได้”
ชีอวี่ “…” ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่ เสี่ยวหลี่ก็ขับรถมาจอดเบื้องหน้าพวกเขา สวี่จิ้งเปิดประตูรถให้ชีอวี่ จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถอีกฝั่งหนึ่งชีอวี่หย่อนก้นลงนั่ง ซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกง เรียวนิ้วลูบโดนนามบัตรที่มีเนื้อสัมผัสพิเศษนั้น ก่อนเอ่ยถามอีกว่า “ถ้าฉันจบแล้วหางานเอง จะสมัครตำแหน่งเดียวกันได้ไหม”สวี่จิ้งเหลือบมองชีอวี่เล็กน้อย ก่อนแย้มยิ้ม “นายเนี่ยนะ?”น้ำเสียงเย้นหยันนั้นราวกับเขาถามคำถามที่แสนจะโง่เง่าออกไปชีอวี่เลิกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย “…ไม่ได้เหรอ”สวี่จิ้งร่ายเรียงเหตุผลให้เขาฟังอย่างใจเย็น “บริษัทอย่างหมิงไท่ต้องการคนที่มีความสามารถสูงมาก มหา’ลัยกับคณะของนายตอนนี้ก็นับว่าเทียบได้อยู่ แต่จบแค่ปริญญาตรีไม่พอ อย่างน้อยก็ต้องเรียนจบปริญญาโท แล้วค่อยเข้าไปเป็นนักวิเคราะห์ก่อน เคี่ยวกรำสักห้าหกปี ก็อาจขึ้นตำแหน่งนั้นได้”
ชีอวี่มุ่นคิ้ว “จากที่นายพูดมา อายุไม่ถึงสามสิบก็เป็นไปไม่ได้เลยสินะ?”
แต่เขาเห็นฟู่เหยียนเซิงคนนั้น อย่างมากก็น่าจะแค่ยี่สิบสี่ ยี่สิบห้า
“ไม่งั้นเล่า? นายคิดว่าการแข่งขันในธุรกิจการเงินมันง่ายดายขนาดนั้นเหรอ” สวี่จิ้งแย้มยิ้ม พลันนึกอะไรขึ้นได้ กล่าวต่ออีกว่า “แน่นอน ถ้าพาร์ทเนอร์ธุรกิจของนายในนั้นเป็นพ่อของนายหรือพวกเพื่อนๆ ของเขา ความเร็วในการขึ้นตำแหน่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ชีอวี่ “…”
สวี่จิ้งเห็นเขาชักสีหน้าเคร่งขรึมก็รู้สึกขบขัน “นายถามฉันเรื่องพวกนี้ทำไม หรือว่าจะไปหางานทำเองจริงๆ?”
ชีอวี่ยื่นมือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เท้าข้อศอกไว้ข้างหน้าต่างรถ “เปล่า แค่ทำความเข้าใจนิดหน่อย”
สวี่จิ้ง “ฉันก็ว่า ด้วยฐานะของนาย แค่บอกพ่อนายคำเดียว ฉันก็ต้องเรียกนายว่า ‘ท่านประธานเสี่ยวชี’ แล้ว”
ชีอวี่ถูกล้อจนยิ้ม “อย่าเรียกฉันแบบนั้น ฟังดูแล้วเหมือน ‘ท่านประธานขี้เหนียว[7]’…”
สวี่จิ้งก็หัวเราะ “หึหึ” เช่นกัน “คนอย่างนายนี่มัน ‘อยู่กลางขุนเขาม่านเมฆ แต่กลับไม่รู้จักความลึกล้ำของหมู่เมฆ’…เอาเถอะ อย่ามัวแต่คิดเรื่องพวกนี้เลย สรุปว่านายใช้ชีวิตในมหา’ลัยที่เหลืออยู่ไม่กี่ปีให้ดีๆ มันน่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่นายจะได้อิสระเสรีแล้ว ถ้าพ่อนายให้นายมาเริ่มบริหารกิจการจริงๆ นายคงจะไม่สบายแบบตอนนี้หรอก”
ชีอวี่แค่นเสียงเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย พลางเบือนหน้าไปข้างนอก
รถขับขึ้นทางยกระดับวงแหวนใน เคลื่อนตัวออกจากเขตจินหรงที่แสงไฟส่องสว่างพร่างพราย…ใกล้เข้าสู่เวลาเที่ยงคืนแล้ว ศูนย์กลางการเงินของเมืองแห่งนี้ยังคงสว่างไสว ราวกับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอยู่ตลอด
เขาอยากช่วยคุณพ่อทำงานเร็วๆ หลายปีมานี้คุณพ่อทำงานคนเดียวเหนื่อยเกินไปแล้ว…
เสี่ยวหลี่ขับรถตรงไปยังบ้านตระกูลชีซึ่งเป็นวิลล่าตั้งอยู่ที่ชานเมืองทางตอนใต้ ชีอวี่ลงจากรถ เดินผ่านระเบียงทางเดิน เห็นว่าห้องรับแขกยังเปิดไฟอยู่
“กลับมาแล้วเหรอ” เจียงอิ๋งนั่งพิงโซฟาในห้องรับแขกเพียงลำพัง บนใบหน้ามีแผ่นมาสก์สีดำแปะอยู่
ชีอวี่สะอึกไปเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “แม่ ทำอะไรอยู่”
ส่วนใหญ่เขาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแค่สองคน ในบ้านที่สหรัฐอเมริกานอกจากแม่บ้านแล้วก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่นอยู่ ไม่ค่อยได้พบสถานการณ์แบบนี้ จึงอดโวยวายไม่ได้ พอได้สติก็ถามต่อว่า “ทำไมแม่ยังไม่นอนอีก”
เจียงอิ๋งพับแผ่นมาสก์ขึ้นไปไว้บนหน้าผากอย่างเบามือ เผยให้เห็นดวงหน้าที่ผ่านการบำรุงรักษามาอย่างดี “ตอนแรกก็ว่าจะไปนอนแล้ว แต่ครึ่งชั่วโมงก่อนสวี่จิ้งส่งข้อความมาหาแม่ บอกว่าเดี๋ยวลูกจะถึงบ้านแล้ว แม่เลยมาสก์หน้ารอลูก”
“ไม่ต้องรอก็ได้ ผมเอาการ์ดประตูไป” ชีอวี่กวาดตามองรอบๆ ถามว่า “เสี่ยวเฟิงไปแล้วเหรอครับ”
เจียงอิ๋งลุกขึ้นไปรินน้ำให้ชีอวี่ “พรุ่งนี้เขากับหลิงเข่อมีคลาสตั้งแต่เช้า กลับมหา’ลัยไปตั้งแต่ตอนค่ำแล้ว”
ชีอวี่รับแก้วน้ำมา เหลือบตามองกำไลหยกเขียวบนข้อมือเจียงอิ๋ง พลันนึกถึงประคำหยกบนมือของฟู่เหยียนเซิง
“จริงสิ แม่…” เขาจับแก้วน้ำครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามว่า “ตอนเด็กผมเคยถูกคนลักพาตัวหรือเปล่า ผมจำได้ว่าตอนนั้นเหมือนจะมีคุณอาคนหนึ่งมาช่วยผมไว้”
“หา” เจียงอิ๋งอุทานเบาๆ มองเขาด้วยความแปลกใจ “ผ่านไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว ลูกยังจำได้อยู่เหรอ”
ชีอวี่ดื่มน้ำหนึ่งคำ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะลืมได้ยังไงครับ”
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนชีอวี่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สอง เย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เขาไม่ได้รอคนขับรถของบ้าน แต่ถูกคนที่ปลอมตัวเป็นคนของเพื่อนพ่อมารับไปแทน
แต่ระหว่างนั้นมีรายละเอียดเยอะมาก ชีอวี่จำไม่ได้แล้ว เพราะคนที่ลักพาตัวให้เขาดมอีเทอร์[8] เขาจึงสลบไป…พวกผู้ใหญ่เป็นคนเล่าให้ฟังหลังจบเรื่อง…เขาจำได้แค่ว่ามีอยู่วูบหนึ่งตัวเองตื่นมาในโรงงานร้าง รอบด้านทั้งเก่าทั้งมืด เต็มไปด้วยกลิ่นฝุ่นกับกลิ่นพลาสติกเคมี
ตอนนั้นอายุยังน้อย ถูกคนแปลกหน้าพาไปยังที่ที่รกร้างไร้เงาผู้คนแบบนั้น เขาเสียขวัญอย่างหนัก ส่งผลให้หลายปีหลังจากนั้น เวลาเขานึกถึงภาพเหตุการณ์ขึ้นมา ก็จะรู้สึกหวาดกลัวจนยากที่จะควบคุม
ชีอวี่มุ่นคิ้วเล็กน้อย ถามต่อว่า “ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”
ผู้เขียนมีเรื่องจะบอก:
“บทแทรก”
ฟู่เหยียนเซิง: “คุณชื่ออะไรครับ”
ชีอวี่ : “ผมชื่อชีเฟิง”
…ขอโทษด้วยน้องชาย ขอยืมนายมาเป็นเกราะกำบังหน่อย
ชีเฟิง: “? ? ?” นายอยากตายหรือไง?
________________________________________
[1] เปรียบเปรยถึงผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
[2] ชีเฟิง ออกเสียงคล้ายกับ ‘เค้กชิฟฟอน’ ในภาษาจีน
[3] กฎการเปลี่ยนเสียงในภาษาจีน เมื่อเสียงสามอยู่ติดกันสองพยางค์ พยางค์หน้าจะเปลี่ยนเป็นเสียงสอง หลี่เป็นเสียงสามดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงสอง (หลี)
[4] chief marketing officer (ผู้บริหารฝ่ายการตลาด)
[5] VP ย่อมาจาก vice president
[6] สถาบันทางการเงินซึ่งทำหน้าที่ระดมเงินทุน
[7] เสี่ยวชี ออกเสียงคล้าย ‘เสี่ยวชี่’ ที่แปลว่าขี้เหนียว
[8] ยาสลบ