การปะทะกันของคนตีสองหน้า ตอนที่ 4 ขี่ลาหาม้า

4 : ขี่ลาหาม้า[1]

ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นในตึกเฟิงเม่า หญิงสาวสวมชุดทำงานสองคนนั่งกินข้าวพูดคุยกันอยู่
“คราวก่อนเธอบอกว่าแผนกพวกเธอจะมีรองผู้อำนวยการคนใหม่มา เป็นยังไงบ้าง”
“อย่าพูดถึงเลย เขามาแค่ครึ่งเดือนก็เป็นที่พูดถึงของพวกเรา ไอบีดี[2]เกือบจะทั้งแผนก!” คนที่พูดอยู่ชื่อหลินหาน เป็นนักวิเคราะห์การเงินคนหนึ่งของบริษัทหลักทรัพย์หมิงไท่
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” คนที่นั่งตรงข้ามเธอคือจางชิงชิง เพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมหาวิทยาลัยและเป็นทั้งเพื่อนสนิทของหลินหานด้วย ปัจจุบันทำงานอยู่แผนกปฏิบัติการในธนาคารกลางแห่งประเทศจีนของตึกเฟิงเม่า เพราะว่าอยู่เฟิงเม่าเหมือนกัน ทั้งสองจึงนัดออกมากินข้าวกันเป็นประจำ และคุยเรื่องสัพเพเหระในที่ทำงาน
“เธอรู้ไหมว่าปีนี้เขาเพิ่งอายุยี่สิบหกเท่านั้นเอง!” หลินหานวาดตะเกียบ กล่าวด้วยความตื่นเต้น “เสียสติไปแล้วจริงๆ ฉันอายุยี่สิบเจ็ดยังเป็นนักวิเคราะห์อยู่เลย เขาอายุยี่สิบหกแต่ได้เป็นวีพีแล้ว!”
จางชิงชิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “บ้าน่า หรือว่ามีคนหนุนหลังดี?”
หลินหาน “ไม่มี!”
ตอนแรกที่ได้ยินอายุของฟู่เหยียนเซิง พวกเขาก็เคยมีความสงสัยทำนองเดียวกันนี้เช่นกัน อย่างไรสถานที่ที่มีแต่อัจฉริยบุคคลมาอยู่รวมกันอย่างหมิงไท่ ต่อให้คุณจบมาจากชิงเป่ยฟู่เจียว[3] เข้ามาก็ยังต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมประสบการณ์เหมือนกัน และรองผู้อำนวยการผู้อายุเพียงยี่สิบหกปีก็นับว่าอ่อนวัยเกินไปหน่อยจริงๆ
จวบจนกระทั่งมีคนขุดประวัติส่วนตัวของเขาออกมา…
“หมอนั่นเข้ามหา’ลัยตั้งแต่อายุสิบสาม เรียนภาควิชาคณิตศาสตร์มหา’ลัยที หลังจากจบปริญญาตรีก็ไปเรียนต่อที่มหา’ลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ลอนดอน ก่อนมาเข้าหมิงไท่ของเรา เขาทำงานที่หวนเซิ่งในกั่งเฉิงมาห้าปีแล้ว…”
จางชิงชิงพูดแทรกเธอ “หวนเซิ่ง? บริษัทหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในกั่งเฉิงน่ะนะ”
หลินหานพยักหน้า “จริงๆ แล้วด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเขามาเป็นผู้อำนวยการที่หมิงไท่ก็ยังได้ ได้ยินมาว่าหัวหน้าเบื้องบนกลัวว่าเขาอายุน้อยไม่เป็นที่เคารพ ก็เลยให้เขาอยู่ตำแหน่งรองไปก่อน…แต่เขาก็ไม่แย่ เขาแซ่ฟู่ พวกเรายังเรียกเขาว่าผู้อำนวยการฟู่อยู่ดี”
จางชิงชิงทอดถอนใจ “ช่างเป็นคลื่นลูกหลังโหมซัดสาดคลื่นลูกหน้าในแม่น้ำฉางเจียง[4]จริงๆ…”
หลินหานกล่าวอีกว่า “อายุน้อยยังพอทำเนา แต่หน้าตานี่หมดคำพูดจริงๆ วันที่เขาเริ่มงานทำเอาผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานระส่ำระสายกันทั้งแผนก”
จางชิงชิงสายตาวาวโรจน์ “โอ้ หล่อมากใช่ไหม”
หลินหานทำมือทำไม้ประกอบ “ตัวสูงมาก ผิวก็ขาวมาก สวมแว่นตากรอบเงิน เหมือนรุ่นพี่จอมเย็นชาคนนั้นในมหา’ลัยเรามาก…ชื่อซ่งอะไรนะ”
จางชิงชิง “ซ่งผู่ซิน?”
“ใช่ๆ ๆ” หลินหานพยักหน้าเป็นพัลวัน
เธอสองคนจบมหาวิทยาลัยไฉ ซ่งผู่ซินเป็นรุ่นพี่ของพวกเธอสองรุ่น และเป็นเทพบุตรประจำมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาสาวแทบจะทั้งโรงเรียนวิ่งไล่ตาม
จางชิงชิงนึกย้อนดูเล็กน้อย กล่าวว่า “ฉันจำได้ว่ารุ่นพี่ซ่งไม่ได้ใส่แว่นนะ”
หลินหาน “ใช่ แต่บุคลิกโดยรวมของสองคนนี้ใกล้เคียงกันมาก ยังไงก็สุภาพเรียบร้อย ไอคิวเป็นเลิศ ทั้งยังไม่ค่อยสนใจคนอื่นเหมือนกัน”
จางชิงชิงกุมคาง กล่าวเสียงเบา “พูดจนหัวใจสาวน้อยของฉันพองโตขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นฉันเคยแอบรักรุ่นพี่ซ่งด้วยนะ” เธอทำหน้าเคลิบเคลิ้มอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันจินตนาการไม่ได้ “แต่ว่าคนแบบนี้เป็นวีพีได้ยังไง วีพีวาณิชธนกิจของพวกเธอต้องติดต่อกับลูกค้าไม่ใช่เหรอ เขาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแล้วจะทำได้ยังไง”
“ดูไปแล้วไม่เหมือนคนที่ทำวงการนี้มานาน…แต่ใครจะไปรู้ล่ะ อาจจะเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกก็ได้” อย่างไรหลินหานก็ไม่เชื่อว่าฟู่เหยียนเซิงจะสุภาพเรียบร้อยไร้พิษไร้ภัยเหมือนภายนอกที่เห็น คนที่ไม่มีความทะเยอทะยานหรือความดิบเถื่อนเลยคงอยู่ในวงการธุรกิจการเงินไม่ได้
“แต่ไม่พูดไม่ได้เลยว่าภายนอกเขาดูหลอกลวงมาก เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน แผนกต่างๆ ในบริษัทต่างส่งตัวแทนมาถามสถานะความสัมพันธ์ของเขา” หลินหานกล่าว
“ลูกรักของสวรรค์ที่พรั่งพร้อมทั้งความสามารถและหน้าตาแบบนี้ คงจะมีเจ้าของไปนานแล้วมั้ง” จางชิงชิงถาม
หลินหาน “เรื่องราวหลังจากนี้ฉันกลัวว่าพูดไปแล้วเธอจะไม่เชื่อ…วันจันทร์ที่แล้วพวกผู้จัดการไอบีดีลากเขาไปบาร์เหล้าสกายไลน์ที่อยู่ข้างบนตึก บอกว่าจะคุยเรื่องสถานะความสัมพันธ์ของเขาสักหน่อย ว่าจะพอมีโอกาสอยู่บ้างไหม ฉันก็ตามไปด้วยเหมือนกัน ทุกคนดื่มเหล้าไปนิดหน่อยก็เริ่มเล่นเกมความจริงหรือความกล้า ตอนนั้นพวกเราปูทางตั้งนานกว่าจะถามเรื่องสถานะความสัมพันธ์เขา แต่เธอเดาสิว่าเขาทำยังไง”
จางชิงชิง “ทำยังไง”
หลินหาน “เขาเลือกความกล้า!”
“พรืด” จางชิงชิงหลุดหัวเราะ “ไม่เห็นมีอะไร เขาไม่อยากพูดก็ปกตินี่”
“ไม่ๆ ๆ ฉันยังพูดไม่ถึงประเด็นหลักเลย…” หลินหานเหลียวมองรอบตัว ก่อนขยับเข้าไปใกล้เธอ กระซิบกล่าว “ตอนนั้นมีพี่ชายตัวน้อย[5]ที่หล่อโคตรคนนึงนั่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเรา ดูแล้วน่าจะอายุไม่ถึงยี่สิบ ผู้จัดการฉู่ในทีมพวกเราจ้องเขามานานแล้ว พอได้ยินว่าผอ.ฟู่เลือกกล้า ก็เลยให้เขาไปขอเบอร์ติดต่อแทนตัวเอง สุดท้ายเป็นไงรู้ไหม เขาไปแล้วไม่รู้ว่าคุยอะไรกับอีกฝ่าย เผลอแป๊บเดียวทั้งสองก็จูบกัน! แถมยังปากประกบปาก จูบกันอยู่เจ็ดแปดวินาที!”
แม้ว่าพูดเบามากแล้ว แต่หลินหานยังคงอธิบายอย่างออกรส จางชิงชิงฟังจนปากอ้าตาค้าง “แม่เจ้า นี่มันร้อนแรงเกินไปแล้วนะ!?”
หลินหาน “ใช่ไหมล่ะๆ ตอนนั้นพวกเราต่างตกตะลึง! พอเขากลับมาก็บอกพวกเราอย่างจริงจังว่าพี่ชายตัวน้อยคนนั้นสั่งให้จูบ บอกว่าจูบแล้วถึงจะให้เบอร์…”
จางชิงชิง “…”
หลินหานชิมสลัดผักตรงหน้าหนึ่งคำ ก่อนกล่าวต่อ “เฮ้อ เธอว่าเขาคิดยังไงกันแน่ สองวันนี้เรื่องที่เขาจูบกับเพศเดียวกันที่บาร์เหล้ารู้กันทั้งบริษัทแล้ว ตอนนี้น่าจะมีคนไม่น้อยสงสัยว่าเขาเป็นเก้งกวาง…ถึงแม้ว่าพี่ชายตัวน้อยที่เขาจูบด้วยก็หล่อลากไส้เหมือนกัน แต่ผู้ชายแท้ปกติจะยอมรับการจูบกับเพศเดียวกันได้ง่ายๆ ขนาดนี้เหรอ ไม่ได้หรอกมั้ง!”
จางชิงชิง “เดายากจริงๆ…แต่ไม่ว่าจะยังไงคำพูดและการกระทำของเขาก็มีท่าทีปฏิเสธในเรื่องความรักต่อโลกภายนอกอยู่แล้วใช่ไหม…รู้สึกว่าไม่ใช่คนที่จะเปิดใจให้ใครง่ายๆ…”
หลินหานพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่รู้เป็นเพราะทุกคนเอาแต่นินทาเขาหรือเปล่า รู้สึกเหมือนช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ดี สัปดาห์ก่อนผู้จัดการฉู่เอาเค้กของเลดี้ เอ็มมาฝากพวกเรา เลยเอาไปให้เขาหนึ่งชิ้นด้วย ออกมาก็เล่าให้เราฟังว่าผอ.ฟู่ถือมือถือยืนเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง ไม่รู้ว่าโกรธใครมา ความกดอากาศในออฟฟิศต่ำจนเหมือนน้ำแข็งพันปี…
“แล้วก็เมื่อเช้าวันก่อนทีมเราทำรายงานตรวจสอบการเงินไอพีโอ[6] ของกิจการแห่งหนึ่งให้เขา เขาฟังจบก็วงตัวเลขที่จำเป็นต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อหน้าพวกเรา พูดประโยคเดียวว่า ‘คราวหน้าก่อนรายงานให้เอสเอ[7]ตรวจดูอีกรอบแล้วค่อยเอามาให้ผมดู ถ้าบริษัทอีกฝ่ายเกิดปัญหาการเงินระดับเด็กประถมแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลาทุกคนแล้ว’ …ว้าว ตอนนั้นฉันฟังจนเหงื่อซึม”
จางชิงชิงนิ่งอึ้งไป “เขาสามารถมองปัญหาตัวเลขทางการเงินออกในตอนประชุมเลยเหรอ”
หลินหาน “ใช่ เขาไวต่อตัวเลขมาก ถึงแม้จะตรวจสอบและคำนวณในใจอย่างแม่นยำไม่ได้ แต่ตัวเลขที่เขาคิดว่ามีปัญหาก็แทบจะถูกต้องเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์…ตอนแรกพวกฉันก็ยังไม่เชื่อหรอกนะ พอกลับมาตรวจสอบดูก็ยอมให้เลย”
จางชิงชิง “บรึ๋ย สมองธรรมดาจำกัดจินตนาการของฉันจริงๆ!”
หลินหาน “เฮ้อ ถ้าเขาไม่เจ๋งจริงก็คงมานั่งตำแหน่งนี้ไม่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยหรอก…เอาเถอะ พวกเราก็รีบกลับไปทำงานกันดีกว่า ถ้าคุยต่อคืนนี้ได้ทำโอทีแน่”
ทั้งสองจ่ายเงินแล้วไปยังโถงลิฟต์
ช่วงพักกลางวันคนพลุกพล่าน มีคนรอลิฟต์จำนวนมาก จางชิงชิงเหลือบไปเห็นคนคุ้นหน้าคนหนึ่งท่ามกลางคนสองสามคนที่ยืนอยู่ จึงเดินเข้าไปทักทาย “คุณสวี่ กินข้าวแล้วเหรอคะ”
คนคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาควันบุหรี่ยี่ห้อบุลการี[8] หลินหานเห็นแล้วก็รู้สึกคุ้นหน้า
“เพื่อนร่วมงานของเธอเหรอ” เธอถามเสียงเบา
“ไม่ใช่” จางชิงชิงแนะนำให้เธอ “นี่คือซีอีโอของบริษัทจัดการลงทุนซานอวี่ บริษัทลูกในเครือของเขาข้างบนเป็นพาร์ทเนอร์ของเรา เคยเจอหน้ากันสองครั้ง”
เห็นสวี่จิ้งมองตัวเอง หลินหานก็รีบทักทายด้วย “สวัสดีค่ะ คุณสวี่!”
พอกลับมาถึงออฟฟิศ ตอนที่หลินหานไปเข้าห้องน้ำก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยพบคนคนนี้ที่ไหนสักแห่ง
ขณะนั้นเองฉู่เมิ่งก็เข้ามาเติมเครื่องสำอาง หลินหานจึงกล่าวออกไปว่า “เฮ้อ ผู้จัดการฉู่ ฉันเพิ่งเจอผู้ชายที่ดื่มเหล้ากับหนุ่มหล่อคนนั้นบนสกายไลน์มาแหละ!”
“เธอหมายถึงใคร” ฉู่เมิ่งคิดตามไม่ทัน
“ก็คนนั้นไง…” หลินหานรีบอธิบายยกใหญ่
ตอนที่เล่นเกมความจริงหรือความกล้ากันบนสกายไลน์ ฉู่เมิ่งเห็นชีอวี่ก็ดึงหลินหานมาดูด้วยความตื่นเต้น ตอนนั้นยังมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่กับเขาด้วย ซึ่งก็เป็นแบบที่หลินหานชอบ ดังนั้นเธอก็เลยรู้สึกคุ้นหน้าคนคนนั้นมากกว่า
“นึกไม่ถึงว่าเขายังเป็นประธานของบริษัทจัดการลงทุนด้วย ฉันเพิ่งเจอเขาที่โถงลิฟต์ พอดูใกล้ๆ แล้ววัยรุ่นมาก”
ฉู่เมิ่งทาลิปสติกเสร็จก็แค่นเสียงเย็น “เธออย่าไปหลงใหลกับภายนอกของเขาเลย ฉันได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าผู้บริหารระดับสูงในตึกนี้เป็นเก้งกวางกันทั้งนั้น หนุ่มน้อยคนนั้นก็ดูเด็กมาก ท่านประธานที่เธอเจอมาอาจจะเป็นเสี่ยของเขาก็ได้!”
หลินหานตกตะลึง “หา? ไม่หรอกมั้ง…”
“ไม่หรอกอะไร วงการนี้เน่าเฟะจะตาย” สองคนเช็ดมือแล้วออกไปด้วยกัน ฉู่เมิ่งกล่าวต่ออย่างไร้น้ำใจ “อีกอย่างฉันว่าเด็กนั่นก็แผนการสูงทีเดียว มีเสี่ยเลี้ยงอยู่แล้วแท้ๆ ยังฉวยโอกาสตอนป๋าไม่อยู่ อ่อยผอ.ฟู่ของพวกเรา ถ้าพูดในแง่การทำงาน เรียกว่า ‘ขี่ลาหาม้า กินเรียบทั้งสอง’ จุ๊ๆ วัยรุ่นสมัยนี้…”
ขณะกำลังพูดอยู่นั้นเอง ทั้งสองก็เจอกับฟู่เหยียนเซิง
หลินหานรีบดึงแขนเสื้อฉู่เมิ่ง อุทานในใจว่าซวยแล้ว เมื่อครู่ผู้จัดการฉู่พูดเสียงดังขนาดนั้น ผอ.ฟู่ต้องได้ยินแล้วแน่ ฉู่เมิ่งยังคงทำตัวปกติ ไม่มีความละอายใจที่นินทาคนอื่นลับหลังแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวทักทายฟู่เหยียนเซิงอย่างสุขุมเยือกเย็น
ฟู่เหยียนเซิงพยักหน้า เดินผ่านพวกเธอสองคนไป
พอกลับมาถึงออฟฟิศ สีหน้าของเขาค่อยเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
…ขี่ลาหาม้างั้นเหรอ
ฟู่เหยียนเซิงควักมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดเปิดประวัติการโทร มองดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรไม่ติดตั้งนานแล้ว ก่อนนัยน์ตาวาวโรจน์
ไม่กี่วินาทีให้หลัง เขาเปิดเว็บไซต์ทางการของตึกเฟิงเม่า หาบริษัทจัดการลงทุนสามแห่งจากบันทึกรายชื่อบริษัท แล้วกลับไปที่หน้าค้นหา พิมพ์คำค้นหาลงไป สุดท้ายก็ตั้งค่าเป้าหมายจากหนึ่งในนั้น…
บริษัท จัดการลงทุนซานอวี่ จำกัด
ทุนจดทะเบียน: xxxx ล้านหยวน
หุ้นส่วน
ซือหยวนกรุ๊ป: 50%
สวี่จิ้ง: 50%
กรรมการบริหาร: สวี่จิ้ง

ฟู่เหยียนเซิงจ้องชื่อนั้นอย่างครุ่นคิดตรึกตรอง

เดือนห้า ต้นฤดูร้อนผ่านไปแล้ว แต่ยังไม่ถึงช่วงข้าวออกรวง[9]
หลังเที่ยงวันของสุดสัปดาห์ ท้องฟ้าสดใสลมพัดเอื่อย โชยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกแมกโนเลีย
ฟู่เหยียนเซิงไม่ง่ายนักจะได้พักผ่อน ทว่าถูกลูกค้าที่รู้จักกันตอนทำงานที่กั่งเฉิงนัดออกมาดื่มชา
“เสี่ยวฟู่ มาไห่เฉิงทำไมไม่บอกพวกเราหน่อย ถ้าหวังต้งไม่ได้เจอคุณที่โรงแรมอวี้ฝู่ ผมก็คงไม่รู้ว่าคุณย้ายงานแล้ว”
คนที่นัดพบเขาคือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่ง แซ่หลิว ปีที่แล้วทีมของฟู่เหยียนเซิงเป็นผู้ดำเนินการโปรเจกต์เข้าตลาดหลักทรัพย์ที่กั่งเฉิงของบริษัทอีกฝ่าย
“หึๆ เพิ่งมาได้หนึ่งเดือนเองครับ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยว่าง”
“ทำไมคุณถึงอยากไปหมิงไท่ ผมจำได้ว่าหมิงไท่ยังไม่ใหญ่เท่าหวงเซิ่งที่คุณเคยอยู่” คุณหลิวส่งบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวน
ฟู่เหยียนเซิงรับบุหรี่มา แต่ไม่รีบร้อนจุด เพียงคาบไว้ที่มุมปาก เอ่ยเสียงเรียบ “แค่อยากเปลี่ยนเมืองอยู่เท่านั้นครับ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
“เหมือนกัน?” คุณหลิวยิ้มพลางส่ายหน้า “คำพูดแบบนี้คุณก็กล้าพูด”
ในเหตุการณ์นี้ยังมีบุคคลในวงการธุรกิจคนอื่นๆ อยู่ด้วย คุณหลิวแนะนำฟู่เหยียนเซิงให้กับบรรดาเพื่อนที่อยู่ข้างๆ พูดถึงว่าตอนนั้นเขาช่วยเพิ่มมูลค่าประเมินของบริษัทตัวเองและเงินหมุนเวียนเป็นเท่าตัวได้อย่างไร น้ำเสียงก็พลันฉายแววซาบซึ้งเลื่อมใสอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย
ขณะที่อีกฝ่ายพร่ำพรรณนาไม่หยุด ฟู่เหยียนเซิงกลับถูกภาพเหตุการณ์นอกหน้าต่างดึงดูดความสนใจ…
ร้านน้ำชาที่พวกเขาอยู่ตั้งอยู่บนชั้นเจ็ดของท่าเรือซิงเย่ว์ในเขตซื่อหนาน เมื่อมองผ่านหน้าต่างติดพื้นของห้องรับรองแขกออกไป สามารถมองเห็นผู้คนเดินพลุกพล่านอยู่ในลานของท่าเรือจากมุมสูง
ชั้นล่างตรงข้ามร้านน้ำชาเป็นร้านเสื้อผ้าผู้ชาย เด็กหนุ่มสองคนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ข้างชั้นจัดแสดงสินค้าใหม่ หนึ่งในนั้นตัวสูงกว่าอีกคน หน้าตาดีจนเกือบจะเปล่งแสงพร่างพราว ซึ่งก็คือ ‘ชีเฟิง’ ที่เคยอ่อยฟู่เหยียนเซิงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนบนสกายไลน์
ฟู่เหยียนเซิงคาบบุหรี่ไว้ที่บนเรียวปาก สูบเบาๆ อย่างแช่มช้า พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
คุณหลิวที่อยู่ข้างๆ ยังพูดไม่หยุด “ผมเสนอเงินเดือนเป็นสองเท่าของหวงเซิ่งเชิญเขามาเป็นเลขากรรมการให้ผม ผลคือเขาปฏิเสธ ผมยังคิดว่าเขาหยิ่งในศักดิ์ศรี ดูถูกตำแหน่งที่ผมเสนอให้ซะอีก ใครจะไปคิดว่าเขาจะย้ายไปหมิงไท่…”
อีกคนหนึ่งช่วยกู้สถานการณ์ “หมิงไท่ก็ไม่ได้แย่นี่นา คุณฟู่ทำอะไรอยู่ที่หมิงไท่ครับ”
ฟู่เหยียนเซิง “เป็นหัวหน้าทีมภายในไม่กี่คน ก็ยังทำพวกงานออกหุ้น จัดจำหน่ายและควบรวมกิจการครับ”
“คุณฟู่ครับ เรามาแลกนามบัตรกัน อนาคตมีบริษัทดีๆ อะไรเข้าตลาดหลักทรัพย์ อย่าลืมบอกให้เราซื้อหุ้นล่วงหน้าด้วยนะครับ”
“ได้ครับ…”
ฟู่เหยียนเซิงพูดคุยตอบโต้พวกเขาไปพลาง คอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวนอกหน้าต่างไปพลาง
เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังถือเสื้อยืดตัวหนึ่งทาบลงบนตัวเพื่อนที่มาด้วยกัน ก่อนจะประชิดตัวเข้าไปพูดอะไรข้างหูคนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือว่าท่วงท่าก็ล้วนคลุมเครือชวนให้คนคิดไปไกล
ฟู่เหยียนเซิงพลันรู้สึกว้าวุ่นใจ เขาคีบบุหรี่ออกจากปาก แล้วดื่มชาโบตั๋นขาวคิ้วเงินที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น
ผ่านไปสักพัก เขากดบุหรี่ที่เหลือครึ่งมวนไว้ในจานเขี่ยบุหรี่ แล้วหันมาพูดกับคุณหลิวว่า “ขอโทษด้วยครับ เพิ่งทราบว่า ‘เพื่อน’ คนนึงก็อยู่ที่ท่าเรือซิงเย่ว์เหมือนกัน คุณหลิวคงไม่ถือสาใช่ไหม ถ้าผมจะขอตัวลงไปทักทายก่อน”

ผู้เขียนมีเรื่องจะบอก:
“บทแทรก”

ฟู่เหยียนเซิง: ตั้งกระทู้ถาม…เบอร์โทรของปีศาจน้อยที่หลงรักแต่แรกเห็นที่บาร์เหล้าโทรไม่ติดทำไงดี
…เพื่อนร่วมงานยอดเยี่ยมแห่งประเทศจีน กองหนุนยอดเยี่ยมแห่งประเทศจีนมอบเบาะแสใหม่แก่คุณ!
ฉู่เมิ่ง: “ประธานคนนั้นอาจจะเป็นเสี่ยของเขาก็ได้”
สวี่จิ้ง: “ไม่ๆ ๆ พวกเธอเข้าใจผิดแล้ว (〒▽〒)”
ฉู่เมิ่ง: “หมอนั่นกำลังขี่ลาหาม้า!”
ฟู่เหยียนเซิงหาสวี่จิ้งพบ: “งั้นหมอนี่ก็คือลาสินะ”
สวี่จิ้ง: “เมิงต่างหากที่เป็นลา!”
ครึ่งเดือนผ่านไป ฟู่เหยียนเซิงพบชีเฟิงกับหลิงเข่อที่ท่าเรือซิงเย่ว์โดยบังเอิญ
ฟู่เหยียนเซิง (มุ่นคิ้ว): ไม่เจอกันแค่เดือนเดียว เขาหาม้าอีกแล้วเหรอ
หลิงเข่อ: เมิงต่างหากที่เป็นม้า!
ชีอวี่ที่อยู่ห่างออกไปในสหรัฐอเมริกา: ฉันเสร็จเรื่องแล้วปัดเสื้อหนี ซ่อนเร้นชื่อเสียงเรียงนาม!
……
“แจ้งเตือนจากระบบ” เนื่องจากพี่ชายอ่อยเสร็จแล้วหนีเป็นการกระทำที่ยั่วสวาทเกินไป จึงถูกลงโทษให้เข้าห้องดำสองบท [อีโมจิหน้าหมา]
ชีอวี่: ? ? ?

________________________________________
[1] หมายถึงการแก้ขัดไปก่อน
[2] Investment Banking Department (วาณิชธนากร หรือที่ปรึกษาทางการเงิน)
[3] หมายถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้ง 4 แห่ง ได้แก่มหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น และมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง
[4] เปรียบเปรยถึงคนรุ่นหลังนำหน้าคนรุ่นเก่า
[5] คำเรียกผู้ชายที่หน้าตาดี แสดงถึงความน่ารักสนิทสนม

การปะทะกันของคนตีสองหน้า

การปะทะกันของคนตีสองหน้า

การปะทะกันของคนตีสองหน้า
Status: Ongoing
อ่านนิยายการปะทะกันของคนตีสองหน้าเรื่องย่อ “ชีอวี่” ถูกชายหนุ่มแปลกหน้า เข้ามาขอเบอร์ติดต่อในบาร์เหล้า เพราะมั่นใจว่าคนตรงหน้าจะยอมล่าถอยกับข้อเสนอนี้ เขาจึงท้าให้อีกฝ่ายจูบตนเองเสียก่อน และจะยอมบอกเบอร์ติดต่อ ทว่าเมื่อเสียจูบแรกไปแล้ว อะไรที่สัญญาไว้จึงต้องทำตาม ชีอวี่ให้เบอร์ติดต่อของ “ชีเฟิง” น้องชายฝาแฝดไป แต่คนอย่าง “ฟู่เหยียนเซิง” เมื่อระบุเป้าหมายแล้ว ชีอวี่จะหนีไปไหนพ้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset