ดวงจันทร์ส่องสว่างในคืนฤดูหนาว ลมหนาวพัดพาร่างกายอันอบอุ่นมารวมกันเพื่อผ่านอากาศที่หนาวเย็นในคืนนี้
ภายในห้องขังใต้ดิน มีเสียงคร่ำครวญราวกับสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บดังออกมา ราวกับว่าต้องการส่งสัญญาณบางอย่างออกไป อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เหมือนสัตว์ร้ายที่สามารถกวัดแกว่งกรงเล็บของมันเข้าใส่ผู้ล่าได้ สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่มีทางที่จะป้องกันตัวเองจากอันตรายได้เลย
ภายในห้องขังที่มีกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน มีสิ่งมีชีวิตนอนอยู่ ดวงตาของมันจับจ้องไปที่หน้าต่างเล็กๆ ที่มีลูกกรง สายตาของมันมองไปยังดวงจันทร์อย่างเย็นชา ทว่าดวงจันทร์กลับทำให้มันรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในหัวใจ.
หากใครได้มองใกล้ ๆ จะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในกรงนั้น ไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่กลับเป็นมนุษย์ เเล้วยังเป็นมนุษย์ผู้หญิงอีกด้วย.
แขนขาของเธอถูกตัดขาด ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดเเผลเเละรอยฟกช้ำ ไม่มีใครเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ทั้งที่เธอผ่านการทรมานมามากมายขนาดนี้ แน่นอนคนที่จับตัวเธอมาจะไม่มีทางปล่อยให้เธอตายไปง่ายๆ
จุดประสงค์ของคนที่กักขังเธอคือการทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดทรมานไม่รู้จบ เสี่ยวเฟยหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนูหลายตัวกำลังรายล้อมกัดกินเนื้อและแทะกระดูกของเธอ ทำให้เธอตระหนักได้ว่ามนุษย์และสัตว์ล้วนเเต่เหมือนกันหมด
เพื่อความอยู่รอดของตัวเองพวกมันสามารถกินอะไรก็ได้ แม้แต่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีลมหายใจ
เเต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอต้องตกอยู่ในวงจรของการถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกเเละความเจ็บปวดของเธอ ก็ค่อยๆหายไป เหลือเพียงความเกลียดชังและไร้หนทาง เพียงเท่านั้น
และตอนนี้ความตายกำลังย่างกรายเข้ามา
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่เธอรักและพร้อมเสียสละให้ทุกอย่าง จะทรยศหักหลังเธอหลังจากที่เขาได้ในสิ่งที่ต้องการเเล้ว
ใบหน้าอันหล่อเหลาและสายตาที่อ่อนโยนของหยูเฟิงซู กำลังถูกเผาไหม้ภายในจิตใจของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่เคยมีให้แก่เธอได้กลายเป็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง รวมไปถึงตัวตนที่เเท้จริงของเขาที่น่าขยะแขยง
เธอโง่เช่นนี้ได้อย่างไร? ปล่อยให้ชายชั่วคนนั้นเล่นกับเธอและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมี
แต่เมื่อเธอลองคิดดูอีกครั้ง ไม่มีอะไรเป็นของเธอมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ครอบครัวที่เธอคิดเสมอว่าพวกเขาจะปกป้องเธอกลับนิ่งเฉย ทั้งยังสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูของเธอ ผลักเธอให้ตกต่ำถึงที่สุด เพียงเพื่อผลประโยชน์ เพื่อนที่เธอคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด กลับหัวเราะเยาะและดูถูกเธอ เเละพวกเขายังสนุกกับการที่เห็นเธอตกต่ำลง
ชายที่เธอรักกลับกลายเป็นคนเสแสร้งมาโดยตลอด เขาใช้ความรู้สึกที่มีเธอมีให้ เพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่โง่เขลาที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เธอรัก สุดท้ายแล้วชายคนนั้นกลับเเค่อยากใช้ความรักเพื่อหลอกใช้งานเธอเพียงเท่านั้น
เเต่! ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้
เป็นเพราะเสี่ยวเฟยเลือกที่จะหลับหูหลับตามาโดยตลอด เพราะว่าเธอนั้นรักเขาและกลัวที่จะต้องเสียเขาไป
หลังจากเธอหมดประโยชน์ ในที่สุดเเล้วหยูเฟิงซูก็หมดความสนใจในตัวเธอ และในเมื่อเธอไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว เขาก็ได้โยนเธอทิ้งไปและทำให้เธอกลายเป็นเพียงของเล่นของเขาเท่านั้น อีกทั้งยังปล่อยให้คนเหล่านั้นมาหาความสุขจากร่างกายเธออีกด้วย
น้ำตาของเธอค่อยๆหลั่งริน ความทรงจำที่เธอคิดว่ามันมีค่ามากสำหรับเธอ กลับกลายเป็นเรื่องตลกและความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสี่ยวเฟยหัวเราะกับสถานการณ์ที่เธอได้เจอ ขณะที่น้ำตาไหลอาบไปทั่วใบหน้าที่มีแต่รอยแผล
เสี่ยวเฟยเคยภูมิใจในความงามของเธอและใช้มันเพื่อประโยชน์เสมอ เธอใช้ใบหน้าที่งดงามของเธอในการก้าวออกจากความยากจน เพราะความจนเป็นอาชญากรรมในโลกที่โหดร้ายนี้ สามัญชนทุกเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี ในเมื่อไม่มีทรัพย์สมบัติเหมือนพวกขุนนาง ก็จะถูกปฏิบัติดั่งเช่นสิ่งของ
ถ้าไม่ใช่คนมีความสามารถหรือมีใบหน้าที่งดงาม หรือบางทีอาจจะทั้งสองอย่าง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณแตกต่างไปจากก้อนกรวด
เธอเคยเป็นหญิงสาวที่งดงามจนไม่มีใครเทียบเคียงได้ แม้ว่าเธอจะมาจากพื้นเพที่ยากจน ผู้ชายหลายคนทั้งจากหมู่บ้านหรือจากเมืองหลวงต่างก็สนใจเธอ พวกเขาพยายามทำทุกอย่าง เพื่อเอาชนะใจเธอ
เเต่น่าเสียดาย เสี่ยวเฟยที่เกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่งดงาม มีความภาคภูมิใจและความทะเยอทะยาน เธอต้องการจะบินสูงขึ้นไปอีก เธออยากครองคู่กับชายที่ร่ำรวยที่สุด เธออยากมีทั้งเสื้อผ้าที่สวยงามและอาหารที่หรูหรา
โชคดีที่เธอสามารถบรรลุในสิ่งที่เธอต้องการในที่สุด
หลังจากแต่งงานกับหยูเฟิงซู องค์ชายสี่แห่งอาณาจักรเซิง เสี่ยวเฟยได้อยู่ในอ้อมแขนของทองคำและทุ่งดอกไม้ ผู้คนต่างคนอิจฉาเธอ แต่เมื่อวันนึงเธอถูกโยนตกลงมาจากภูเขาสูงนั้น ผู้คนกลับชี้มายังเธอ พร้อมกับหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของเธอ
ใบหน้าอันงดงาม ที่เคยเธอภาคภูมิใจหายไป แก้มทั้งสองของเธอถูกแผดเผาด้วยเหล็กร้อน แขนขาของเธอก็ถูกตัดขาดเธอไม่หลงเหลืออะไรอีก
ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระยะไกล และค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฝีเท้านั้นหยุดอยู่หน้าห้องขัง เสี่ยวเฟยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะหันไปมองได้ แต่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าพวกคนที่มาคือใครมัน
“ข้าหวังว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่” คำพูดนี้มันดูคล้ายกับคำพูดของหยูเฟิงซู ที่จะชอบพูดออกมาในทุกวันเพื่อตรวจสอบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ก่อนหน้านี้ หยูเฟิงซู นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเฝ้าดูในขณะที่แขนขาของเธอถูกตัดออก เขานั่งยิ้มและดื่มไวน์พร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งบนตักเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและความรังเกียจ เขายังแสดงออกอย่างมีความสุขที่ได้เห็นเธอกรีดร้องและขอความเมตตา
ดวงตาของหยูเฟิงซูเป็นประกาย เมื่อเขาเห็นรูปร่างที่น่ารังเกียจของเธอ ทันใดนั้นเขาก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อและปิดจมูกของเขา กลิ่นที่น่าขยะแขยงแทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในห้องขัง
เสี่ยวเฟยไม่ตอบและยังคงจ้องมองไปยังดวงจันทร์ เหมือนที่เธอทำมาโดยตลอดในหลายวันที่ผ่านมา เธอถูกจ้องมองด้วยสายตาที่เย็นชาหยูเฟิงซู
เธอรู้ว่าหยูเฟิงซูไม่ชอบถูกเพิกเฉยแม้แต่น้อย เขาชอบทำตัวเป็นศูนย์กลางของผู้คน ทุกที่ที่เข้าไปจะต้องมีคนชื่นชมเขา และตอนนี้เมื่อเขาเห็นว่าเสี่ยวเฟยแหงนมองขึ้นไปที่หน้าต่างเขาก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ
บางทีเขาอาจจะเคยชิน กับการที่เสี่ยวเฟยที่เคยมองมายังเขาด้วยความชื่นชมและความรักมาโดยตลอด เเต่ตอนนี้เธอทำกับเขาเหมือนคนไม่รู้จัก มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
“ทหาร! ไปปิดกั้นหน้าต่างบานนั้นอย่าให้แสงจากภายนอกเข้ามาในห้องขังที่น่าขยะแขยงนี้ได้!” เขาตะโกนสั่งทหารทันที
ทหารยามที่อยู่ด้านหลังก็ตกตะลึงทันที จากนั้นพวกเขาก็ยิ้มเมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งจากเจ้านาย เมื่อแสงจากภายนอกหายไป เสี่ยวเฟยถอนหายใจด้วยความผิดหวังและหลับตาลง
“ตอนนี้เจ้ายินดีที่จะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าซ่อนมันไว้ที่ไหน” เขาถามแต่ไม่กล้าเข้าใกล้และแตะต้องกรงเหล็กของห้องขัง
แน่นอนว่าหยูเฟิงซูไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบเธอ เขาเพียงต้องการรู้ว่าเสี่ยวเฟยซ่อนกล่องที่เธอขโมยมาจากแม่ของเขา สนมเซียน ผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงยังไม่ฆ่าเธอ หลังจากที่เธอนั้นไร้ประโยชน์กับเขาเเล้ว เขาเเค่ต้องการสิ่งของที่เธอขโมยมาเเค่นั้นเอง เขาต้องการกล่องนั่น
อันที่จริงเขาไม่ต้องการเสียเวลากับเธอเลยแม้แต่น้อย หากเขารู้ว่าเธอซ่อนกล่องไว้ที่ไหน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเฟยซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด เธอไม่ยอมเปิดปากบอกเขาถึงแม้เธอจะโดนทรมานและได้รับความเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม
เสี่ยวเฟยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แต่ภายในใจของเธอ กำลังคร่ำครวญถึงการสูญเสีย
“เสี่ยวเฟย!” หยูเฟิงซูตะโกนออกมาด้วยความโกรธ สีหน้าของเขาดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเริ่มจะหมดความอดทนในที่สุด
“มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะจำชื่อของข้าได้ หยูเฟิงซู” ในที่สุดเสี่ยวเฟยก็พูดออกมา ขณะที่เธอพูดถึงชื่อของหยูเฟิงซู น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และในความจริงเส้นเสียงของเธอถูกทำลายไปนานแล้ว เสียงที่เธอพูดออกมาจึงฟังดูแย่มาก
เมื่อเห็นว่าเธอเต็มใจจะบอกเขา หยูเฟิงซูก็กล่าวว่า “บอกข้ามาว่าเจ้าซ่อนมันไว้ที่ไหน แล้วข้าจะปล่อยให้ศพของเจ้าไม่บุบสลาย”
น้ำเสียงของเขาฟังดูเยือกเย็นไร้ความอบอุ่น ไม่เหมือนที่เขาเคยแสดงให้นางเห็นในอดีต
เสี่ยวเฟยอยากจะหัวเราะเยาะใส่เขา เธอยังคงปฏิเสธที่จะเปิดปากของเธอ เพราะเธอไม่อยากเสียพลังงานของเธอไปกับเขา คำกล่าวของเขามันฟังดูโง่เขลา เขาคิดได้อย่างไรว่าถ้าหากเธอไม่มีแขนขาและใบหน้าเช่นเดิม ก็ถือว่า ‘ศพของเธอไม่บุบสลาย’
คนเหล่านี้ต้องการจะทรมานเเละสร้างความเจ็บปวดให้กับชีวิตเธอ เพื่อความสะใจเเละความสนุกสนานนี้คือจุดประสงค์ของพวกเขา ร่างกายที่บอบช้ำจากการถูกทรมานซ้ำแล้วซำ้เล่าของเธอ มันชินชาเเละไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เธอรู้สึกได้ว่าความตายเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที
และเธอก็รู้ว่า
ลมหายใจของเธอค่อยๆเเผ่วลง เมื่อความเจ็บปวดที่หน้าอกของเธอก็เพิ่มขึ้น เธอเปิดจิตวิญญาณของเธอเพื่อต้อนรับความตายที่ใกล้เข้ามา
“ในที่สุด ข้าก็ได้หลับตาและเป็นอิสระเสียที”