เมื่อผู้คนในห้องโถงได้ยินคำกล่าวของนาง ปฏิกิริยาของพวกเขาก็ถูกแบ่งออกเป็นสองด้านทันที
ด้านหนึ่งหลินเซียวเหมิงรู้สึกเเค้นใจและสงสารหลานสาวของเขา เเต่ในขณะที่อีกด้านรู้สึกตกใจไม่พอใจ เเละหยุดชะงักทันที
หลินเสี่ยวเฟย เดินเข้าไปในห้องโถงและหยุดอยู่ห่างจากทั้งสองฝั่งประมาณหนึ่งเมตร
ผิวของเธอขาวดุจไข่มุก ดูสุขภาพดี แก้มสีคล้ายกับดอกกุหลาบ ทำให้รู้สึกน่าทะนุถนอม ริมฝีปากสีแดงของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายว่าเธอกำลังจะยิ้ม
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ซูหวางจีตกตะลึง เมื่อเห็นร่างของหลินเสี่ยวเฟยเข้ามา พวกเขาแทบจะไม่เชื่อในสายตา ซูหวางจีแอบตะลึงกับความงามของเธอ แลหัวใจของเขาก็กระหน่ำเต้นรัว เมื่อเขาได้สบตาเธอ
หลินเสี่ยวเฟย สวมชุดเดรสและเสื้อคลุมสีดำ ดูเหมือนในนางในฝันที่ออกมาจากภาพวาด ผมของเธอพาดไปบนหลัง แกว่งไปพร้อมกับเธอขณะที่เธอเดิน และกิ๊บติดผมสีเงินด้ามเดียวบนผมของเธอที่สะท้านแสง ซึ่งอาจทำให้พวกเขาตาบอดชั่วขณะได้
ในทางกลับกัน ฮูหยินซูก็ตกใจเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าทุกย่างก้าวของหลินเสี่ยวเฟย เปรียบเสมือนเหมือนดอกไม้เบ่งบานที่อยู่ข้างหน้าเธอ ทุกอย่างช่างดูนุ่มนวลไปหมด
ความสง่างามของเธอ เป็นที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง และดวงตาของเธอกวาดสายตาไปยังพวกเขาอย่างเย็นชา ทำให้กระดูกของพวกเขาดูเย็นลง และเมื่อหญิงสาวเข้ามาใกล้ ท่าทางเเละลักษณะของเธอก็ชัดเจนยิ่งขึ้นและทำให้พวกเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้
หญิงสาวอาจมีใบหน้าที่สวยงามหรือมีท่าทางแสดงอารมณ์ที่สง่างาม
สิ่งเหล่านั้น อาจจะสวยงามราวกับอมตะ แต่สิ่งเหล่านั้นมักจะเกี่ยวข้องกับนางเงือกที่ดึงคนไปสู่ความตาย ในขณะที่หญิงสาวที่มีนิสัยอ่อนโยนนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นนางฟ้าที่อาศัยอยู่ภายในดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถอธิบายได้เลย ว่าถ้ามีทั้งสองอย่างนี้จะส่งผลให้เกิดความงามที่น่าพิศวงเช่นไร
แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนจะถูกครอบครองทั้งสองสิ่งที่กล่าวมา
หลินเสี่ยวเฟย เป็นที่รู้จักสำหรับผู้คนเพราะเธอมีใบหน้าที่งดงาม แต่มันถูกปกปิดเพราะมารยาทที่หยาบคายและทัศนคติที่บิดเบี้ยวของเธอ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ตระกูลซูและซูหวางจี ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายก่อนจะนำไปสู่การแต่งงาน
ข่าวลือที่น่ารังเกียจของหลินเสี่ยวเฟย อาจทำให้หน้าตาของตระกูลซูต้องอับอาย หากพวกเขาต้องพบปะกับสหายเเละเหล่าขุนนางระดับสูง พวกเขากลัวว่าผู้คนเหล่านั้นจะกล่าวเรื่องราวต่างๆนี้ต่อหน้าพวกเขา
เมื่อพวกเขาพบเจอและเห็นการกระทำของหลินเสี่ยวเฟย พวกเขาอยากจะย้อนเวลากลับไปและหยุดการสู้รบระหว่างสองตระกูล ก่อนที่ทุกอย่างจะสูญเปล่า
แต่ในวันนี้ ฮูหยินซูมีความรู้สึกแปลกๆผุดขึ้นมาในใจเธอ แต่เธอไม่รู้ว่ามันเป็นอารมณ์แบบไหนกัน
“เฟยเอ๋อ… เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้ายังพักฟื้นอยู่ กลับไปที่พักของเจ้า ตาจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้เอง” หลินเซียวเหมิงกล่าว
เขาสังเกตเห็นการแสดงออกที่ประหลาดใจของตระกูลซู แต่หลินเซียวเหมิงก็ไม่ได้สนใจความคิดของพวกเขาเเต่อย่างใด เเต่เขากลับให้ความสนใจกับหลานสาวของเขา ด้วยความเป็นห่วงเธอ
หลินเซียวเหมิง ขมวดคิ้วเมื่อเห็นผิวซีดของเธอและยืนขึ้นจากเก้าอี้ของเขา เขาหยิบเสื้อคลุมที่วางอยู่หลังเก้าอี้ แล้วเดินไปที่ด้านข้างของหลินเสี่ยวเฟยเพื่อสวมให้เธอ
ด้วยรูปร่างที่ใหญ่ของเขาปกคลุมร่างที่บอบบางของหลินเสี่ยวเฟย ซูหวางจูและคุณหญิงซูจึงหลุดพ้นจากภวังค์ของพวกเขา
ในขณะนั้น ซูหวางจี กล่าวขึ้น “คุณหนูหลิน หมายความว่าอย่างไร”
เมื่อเขาได้ยินหลินเสี่ยวเฟยกล่าว ราวกับว่าเห็นด้วยกับการยุติการหมั้น เขาคิดว่าสิ่งต่างๆในตอนเเรกที่ได้ยินมันดูไม่น่าเชื่อ เเต่กลับกันท้ายที่สุด ด้วยทัศนคติต่างๆของหลินเสี่ยวเฟยในตอนเเรก หากเธอได้ยินว่าการหมั้นของพวกเขาถูกยกเลิก เธอก็คงจะเอะอะโวยวายเกี่ยวกับเรื่องนี้และคงจะโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของซูหวางจีไม่เป็นไปตามที่เขาคิด เพราะหลินเสี่ยวเฟยยังคงนิ่งและไม่ได้มองมาทางเขาตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้
“เฟยเอ๋อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่จะให้ตายกเลิกการหมั้น” หลินเซียวเหมิง กล่าวถาม
ซูหวางจี ไม่ใช่คนเดียวที่คาดหวังกับคิดเรื่องนี้ เเต่หลินเซียวเหมิงก็อยากที่จะเห็นหลินเสี่ยวเฟยเรียกร้องเเละไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เเต่อย่างไรก็ตาม นี่มันคืออะไร? หลินเสี่ยวเฟย เจ้าตกลงที่จะยกเลิกการหมั้นของเจ้าจริงๆใช่หรือไม่?
หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกตลก เมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขา เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะหัวเราะหรือร้องไห้เพราะเธอไม่เห็นภาพเหล่านั้นอยู่ในใจเธอ
ในความเป็นจริง ถ้าเป็นเเต่ก่อน เธอคงจะกรีดร้องเหมือนอยู่ในนรกที่นองเลือดและขอร้องอ้อนวอนพวกเขาไม่ให้ยกเลิกการหมั้นหมาย?
เเต่!! หลินเสี่ยวเฟยไม่คิดเช่นนั้น
“ก็อย่างที่ข้ากล่าวไป ยกเลิกการหมั้นเถอะ” เธอหยุดก่อนจะกล่าวต่อ “ช้าก่อน แบบนี้มันฟังดูน่าสมเพชเกินไป
เธอเผชิญหน้ากับแขกที่มาสร้างปัญหาให้กับหลินเซียวเหมิง และกล่าวขึ้นต่อว่า “ข้าต้องการที่จะยกเลิกการหมั้น”
ในฐานะที่เธอ เป็นคนที่มีชีวิตอยู่สองชั่วอายุ คนอย่างหลินเสี่ยวเฟยไม่ต้องการดูน่าสงสารและกลายเป็นคนที่ทำให้การหมั้นของเธอพังทลายลง แม้ว่าเธอจะเกิดมาในร่างใหม่
เธออยากจะใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ เเละเธอไม่อยากสนใจผู้ใดเพราะเธอต้องการสร้างความหายนะเเละพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้กับผู้คนที่เคยทำลายชีวิตในอดีตที่น่าสังเวชของเธอ
เมื่อเธอนึกถึง แผนแรกของเธอก็กำลังจะเริ่มขึ้น หลังจากนั้นหลินเสี่ยวเฟยเธอก็เริ่มรู้สึกดี
อย่างไรก็ตาม อีกสามคนในห้องโถงยังคงเงียบ ดวงตาพวกเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ
และเห็นสีหน้าของเธอที่เฉยเมย
ความสงบของเธอ ทำให้อารมณ์ของซูหวางจีเเละคุณหญิงรู้สึกกระสับกระส่ายบานสะพรั่งในหัวใจ
แต่ทำไม?
คำถามนี้ไม่ได้ยังคงไม่ได้รับคำตอบ คำถามนี้จะถูกตอบในอนาคต เพราะพวกเขาจะถูกหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสำนึกผิดในครั้งนี้ไว้ในหัวของพวกเขาแล้ว เพราะพวกจะได้รำลึกถึงโอกาสที่ผิดพลาดไปในครั้งนี้
มีเพียง หลินเซียวเหมิงเท่านั้นที่รู้สึกขัดแย้ง เขากังวลว่าหลานสาวของเขา กล่าวคำเหล่านี้เพราะความโกรธของเธอ และไม่ได้หมายความอย่างที่เธอคิด เขาจึงกล่าวถามเธออีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจ กับการตัดสินใจของเจ้าในครั้งนี้ ใช่หรือไม่”
เธอหันมามองเขา และกล่าวอย่างหนักแน่น “ใช่เจ้าค่ะ”
“แต่สิ่งเหล่านี้ จะส่งผลต่ออนาคตเจ้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อนาคตและอดีตไม่สำคัญสำหรับข้า” เธอกล่าวขณะที่มองไปยังซูหวางจี“ และข้าก็ไม่เคยคิด ว่าข้าอยากจะหมั้นกับคนที่มีเเต่ความโลภ ระวังนะ เจ้าอาจพบว่าตัวเองอยู่ในความมืดมิดชั่วนิรันดร์”
เมื่อซูหวางจีได้ยิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มและน่าเกลียด จมูกของเขารู้สึกร้อนวูบวาบ ราวกับกำลังจะโมโห เขาร็สึกว่ากำลังโดนดูถูก ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่เห็นคุณค่าของเธอและโลภมากที่คิดจะจับเหยื่อที่ใหญ่กว่า
คำที่เธอกล่าวมา ช่างดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และดูเหมือนว่ามันจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถเข้าใจหมายในคำพูดของเธอ ‘ความมืดนิรันดร์’ ถูกทิ้งไว้ให้พวกเขาสับสน